บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 วังหลวงสั่นสะเทือน!

บทที่ 3

วังหลวงสั่นสะเทือน!

เซี่ยหยู่หามุมลับ แอบเข้าสู่มิติ เปลี่ยนมาสวมชุดสีดำสนิท ภายใต้แสงจันทร์ นางเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วดุจแมวกลางคืน ดวงตาเปล่งประกายวาววับ

เมื่อลัดเลาะมาถึงตำหนักฮองเฮา เซี่ยหยู่หยิบหน้ากากป้องกันสารเคมีออกมาสวม ก่อนจะเอาเครื่องพ่นสารละอองที่ผสมยานอนสูตรล้มช้างออกมา รมควันคนทั้งตำหนักในพริบตาเดียว

ภายในตำหนักฮองเฮาเต็มไปด้วยของหรูหรามากมาย นางแค่ขยับมือเบาๆ แก้วแหวนเงินทองทั้งหมดก็หายวับเข้ามิติ

[ติ๊ง! ยอดเงินถึงเป้าหมาย ปลดล็อคประตูชั้น 2]

เซี่ยหยู่กะพริบตาปริบๆ อดจะร้อง “โห!” ออกมาไม่ได้

แค่ตำหนักฮองเฮาก็อัพเกรดมิติได้แล้วเรอะ…สุดยอด!

[ติ๊ง! ศูนย์การค้าเปิดใช้งานแล้ว]

“ศูนย์การค้า…? อยากลองแวะเข้าไปดูจัง แต่เอาไว้ทีหลังละกัน”

เด็กสาวเดินต่อจนมาถึงสวนหย่อมข้างตำหนัก นางยกมือกวาดเบาๆ ต้นไม้มงคล ดอกไม้หอมทั้งสวนก็ถูกเก็บเข้ามิติเรียบร้อย ศาลาทรงแปดเหลี่ยมสุดหรูก็ไม่เว้น

เซี่ยหยู่วิ่งลัดเลาะไปยังตำหนักสนมต่อ กวาดเอาของใช้สมบัติเล็กน้อยติดไม้ติดมือมาด้วย

สนมพวกนี้ไร้เส้นสาย สมบัติในตำหนักเลยน้อยนิด แต่ปากมากเกินความจำเป็น เซี่ยหยู่ไม่คิดจะปรานี มือเดียวก็กวาดเอาของมีค่าทั้งหมดของพวกนางมาจนเกลี้ยง

เซี่ยหยู่เคลื่อนไหวต่อ ไม่นานนักก็มาถึงคลังหลวง พลันนั้น ดวงตากลมโตของนางก็ทอประกาย

“โอ๊ะ ข้าวสาร ข้าวสาลี ข้าวขาว…กวาด!”

“หีบเงิน หีบทอง…กวาด!”

“แก้วแหวนเงินทอง กองอัญมณี…กวาดอีก!”

“เครื่องบรรณาการ ไข่มุก ประการัง…เก็บเรียบ!”

“ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าฝ้าย…เก็บอย่าให้เหลือ!”

[ติ๊ง! หอตำราเพิ่มเป็นระดับ 2]

[โฮสต์ต้องการเรียนรู้เลยหรือไม่]

“ได้สิ เรียนเลย”

นางตอบ

เพียงพริบตา พลังกาย พลังปราณพลันเพิ่มขึ้นอีกระดับ ร่างกายเบาสบาย เคลื่อนไหวว่องไวราวกับสายลม

ในขณะวิ่งไปตามเงามืด เซี่ยหยู่ยิ้มบางๆ ด้วยความพอใจ

เมื่อความเหนื่อยล้าหายไปสิ้น เหลือเพียงความฮึกเหิม อีกทั้งท้องฟ้ายังไม่สว่างดี เซี่ยหยู่ไม่รอช้า มุ่งหน้าสู่ห้องเครื่องกับกรมแพทย์หลวง นางยังคงใช้แผนเดิม วางยานอนหลับ ก่อนจะกวาดเอาข้าวของทั้งหมดเข้ามิติรวดเดียว

[ติ๊ง! ทรัพยากรในคลังถึงเป้าหมาย ปลดล็อคประตูชั้น 3]

[ติ๊ง! ความรู้วิชาแพทย์ขั้นต้นเปิดใช้งาน]

[ติ๊ง! ศูนย์การค้าเพิ่มเป็นระดับ 3]

เซี่ยหยู่เก็บกวาดสมบัติในวังหลวงเข้ามิติอย่างเพลิดเพลินราวกับกำลังตามล่าขุมทรัพย์ เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังไม่หยุด

ทว่าขณะวิ่งกลับตำหนักองค์หญิง ใจของนางกลับรู้สึกหนักหน่วง

นอกกำแพงเมือง ชาวบ้านยังอดอยากท่ามกลางภัยแล้ง แต่ภายในวัง สมบัติของจักรพรรดิกลับล้นพระคลัง อาหารในห้องเครื่องก็สุดจะหรูหรา แสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิกับขุนนางชั่วขูดรีดประชาชนมาไม่น้อย

คิดมาถึงตรงนี้ เซี่ยหยูก็กลับมาถึงตำหนักแล้ว

เมื่อเห็นองค์หญิงกลับมาอย่างปลอดภัย ลี่ถิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก

นางกำนัลผู้แสนภักดีไม่ได้ถามองค์หญิงว่าไปที่ใดมา ด้วยเกรงว่าองค์หญิงที่กลับมามือเปล่าจะเศร้าเสียใจ แต่กลับกล่าวปลอบเบาๆ

“ไม่เป็นไรเพคะ ของขององค์หญิงหม่อมฉันจัดใส่หีบเรียบร้อยแล้ว แม้บางส่วนจะหายไปบ้าง แต่ก็ยังมากพอให้ใช้ชีวิตที่ชายแดนได้อีกสองสามปีเลยเพคะ”

“อ้อ” เซี่ยหยู่ตอบสั้นๆ ก่อนจะนั่งพักเอาแรง รอเวลาออกเดินทางในรุ่งเช้า

..

..

รุ่งอรุณมาเยือน

ลี่ถิงช่วยองค์หญิงเซี่ยหยู่อาบน้ำ แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ ถึงใต้ตาของนางจะคล้ำเพราะนอนไม่พอ แต่เซี่ยหยู่ในวัย 16 ปีกลับเปล่งประกายความงดงาม

ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวเนียนดุจไข่มุก ดวงตากลมโตซ่อนความดื้อรั้น จมูกโด่ง ริมฝีปากสีชมพูจิ้มลิ้ม ความงามลงตัวราวถอดแบบจากหวงกุ้ยเฟยสมัยยังสาว

ด้านองค์ชายสามเซี่ยอวี้อายุ 5 ขวบ ใบหน้าเล็กยังกลมแป้นแบบเด็กๆ แก้มยุ้ยนุ่มนิ่ม ดวงตาไร้เดียงสาแม้จะบวมช้ำเหมือนหมีแพนด้าเพราะร้องไห้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่โดยรวมแล้ว เจ้าตัวเล็กหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูไม่ต่างจากพี่สาว

ตอนเดินมาขึ้นรถม้า องค์ชายน้อยเดินผ่านพี่สาวหน้าตาเฉย และก้าวขึ้นรถม้าไปอย่างหน้าตาเฉย จะมีก็แต่แม่นมจื่อฮวาที่หยุดคราวะอย่างนอบน้อมให้กับองค์หญิง

สองพี่น้องเกิดจากมารดาเดียวกันก็จริง แต่ด้วยวัยที่ต่างกันมาก ทั้งนิสัยที่เข้ากันไม่ได้ ทั้งคู่จึงไม่มีความสนิทสนมกันแม้แต่น้อย

เซี่ยหยู่เห็นน้องชายเมินใส่ก็เพียงยักไหล่ ก่อนก้าวขึ้นรถม้าของตน

ในสถานการณ์แบบนี้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่า ราชโองการครั้งนี้แม้ไม่ต่างจากการเนรเทศ แต่ฮ่องเต้สุนัขกลับไม่ได้ถอดถอนฐานันดร พวกนางจึงได้โดยสารรถม้า ทั้งยังมีแม่ทัพที่เพิ่งถูกแต่งตั้งกับทหารองครักษ์อีกสามสิบนายคุ้มกันไปตลอดทาง

ขณะเซี่ยหยู่กำลังจะปิดผ้าม่านลง องค์ชายใหญ่เซี่ยไคเหริน ก้าวฉับเข้ามา แล้วยื่นห่อขนมกับถุงเงินเล็กๆ ให้น้องสาว

“เสด็จพี่ใหญ่?”

พี่น้องของเซี่ยหยู่มีมากมาย แต่กลับมีเพียงพี่ชายคนโตที่เกิดจากสนมชั้นเล็กๆ มาส่งอย่างนั้นหรือ แปลกจริง

ตั้งแต่อายุ 14-15 เซี่ยไคเหรินก็จับดาบเข้าสู่สนามรบ พออายุครบ 20 บริบูรณ์ เขาก็ดำรงตำแหน่งแม่ทัพ ดังนั้นใบหน้าของพี่ชายใหญ่คนนี้จึงบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็มิได้เกลียดน้องๆ เพียงแต่รู้สึกเฉยๆ เท่านั้นเอง

เซี่ยไคเหรินเกิดจากมารดาเผ่าหนี่ว์ เพราะอย่างนั้นจึงไม่อาจมีสิทธิ์ชิงบัลลังก์ เขาเองก็ไม่ได้สนใจ แล้วจะสิ้นเปลืองพลังงานคิดเรื่องบัลลังก์ไปทำไม

“ขนมจากตำหนักข้า น้ำใจเล็กๆ รับไว้สิ” เซี่ยไคเหรินกล่าวเสียงขรึม

“ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่ ว่าแต่…” เซี่ยหยู่รับของพลางยิ้มแฉ่ง ก่อนจะแกล้งสอดส่ายสายตามองหาองค์หญิงองค์ชายองค์อื่น

“เมื่อคืนมีโจรบุกวัง ของหายเกลี้ยงเหมือนพวกมันเดินได้เอง ทุกตำหนักวุ่นวายกันหมด เช้านี้ไม่มีใครมีกะจิตกะใจมาส่งเจ้าหรอก”

เซี่ยหยู่ได้ยินแบบนั้นก็ตีหน้าหวาดผวา “ต้องเป็นผีแน่นอนเพคะ”

“เฮอะ!” เซี่ยไคเหรินแค่นหัวเราะ “งมงายเหลวไหล ผีที่ไหนจะวางยานอนหลับแล้วค่อยขโมย”

“จริงๆ แล้ว เมื่อวานตำหนักของข้ากับองค์ชายสามก็ถูกปล้นนะ ข้าวของหายเกลี้ยง เสด็จพี่ช่วยจับคนร้ายให้ทีเถิด หากปล่อยให้หายไร้ร่องรอยเช่นนี้ ศักดิ์ศรีราชวงศ์ต้าเซี่ยคงกลายเป็นเรื่องตลก”

เซี่ยหยู่ฉวยโอกาสฟ้องเซี่ยไคเหริน ให้เขาจัดการเหล่านางกำนัลกับขันทีที่ใช้ความวุ่นวายจากราชโองการเก็บของในตำหนักหนีหาย

เซี่ยไคเหรินไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจความต้องการของเซี่ยหยู่

แม้เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเซี่ยไคเหริน แต่หากนึกถึงหน้าตาและศักดิ์ศรีของราชวงศ์ การที่คนรับใช้ขโมยของเจ้านายย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

“ได้” เซี่ยไคเหรินตอบอย่างเคร่งขรึม

“ขอบพระทัยเพคะ แล้วพบกันนะ” เซี่ยหยู่กล่าวลาด้วยรอยยิ้มที่สดใส

เซี่ยไคเหรินพยักหน้าอีกครา “อืม...เอ๊ะ!?”

อึดใจสั้นๆ ดวงตาเข้มดุจพญาเหยี่ยวพลันฉายความประหลาดใจ...แล้วพบกันหรือ?

เซี่ยหยู่คงไม่ได้เข้าใจว่า นางกับองค์ชายสามถูกฮ่องเต้ส่งไปเมืองชายแดน เพียงให้ไปเดินเล่นหรอกกระมัง หือ!?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel