บทที่ 1 ตอนที่ 2
ตีสอง...
ตึ๊ด! ตึ๊ด! ตึ๊ด! เสียงของโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียงสั่นร้องปลุกให้เจ้าของลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดมิด ชายหนุ่มเอื้อมคว้าต้นเสียงมาดูหมายเลขโทร.เข้าที่กำลังรบกวนนิทราของเขาแล้วเปิดโคมไฟเพื่อช่วยให้สว่างขึ้น
กัณฑ์รพีกดรับสายเพื่อให้ทางนั้นรู้ว่าเขารับรู้แล้ว ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือที่ใช้แทนหมอนให้กับร่างน้อยซึ่งกำลังหลับใหล ตลบผ้าห่มออกจากร่างเปลือยของตัวเองเบาๆ แล้วก้าวย่างลงจากเตียงพร้อมเสียงทุ้มห้าวสื่อสารกลับไป
“ว่ายังไงบ้าง...”
“เจอตัวแล้วครับ ตอนนี้พวกเราควบคุมอยู่ไม่มีคนตามมา นายจะให้ทำยังไงต่อครับ” ปลายสายตอบรับเสียงเข้ม ไม่มีท่าทีเหนื่อยเพลียกับเวลาที่ควรแก่การพักผ่อน
“พามันเข้าไปในโกดังหลังผับ เดี๋ยวฉันจะตามไป...”
“ครับนาย!!” สิ้นเสียงตอบรับจากลูกน้องคนสนิท ร่างสูงใหญ่เปลือยล่อนจ้อนก็เหลือบหันมายังเตียงอีกครั้ง และดูให้แน่ใจว่าสาวเจ้าคงหลับสนิทไปแล้วจริงๆ และคงไม่ตื่นขึ้นมาระหว่างที่เขาไม่อยู่ ตมิสากลัวความมืด กลัวการอยู่ในห้องเพียงลำพัง ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่ปล่อยเธอไว้โดดเดี่ยวเช่นนี้เด็ดขาด แต่เพราะมีงานสำคัญเกี่ยวพันกับความอยู่รอด ดังนั้นชายหนุ่มจึงผันหน้าอย่างตัดใจแม้จะยังห่วงอยู่ก็ตาม เขาเปิดตู้เสื้อผ้ารีบแต่งตัวด้วยชุดดำสวมทับด้วยเสื้อโค้ทสีเทาเข้ม ไม่ลืมหยิบเอาอาวุธร้ายคู่กายซึ่งซุกเอาไว้ในลิ้นชักลับด้านในสุดติดมือไปด้วย
ก่อนจะเปิดประตูห้องจากไปสายตายังมิวายหันกลับมามองร่างน้อยบนเตียงกว้างด้วยความเสียดายยิ่ง รัตติกาลอันเหน็บหนาวในห้องที่เปิดผ้าม่านอาบแสงจันทร์คืนเพ็ญเขาควรได้นอนห่มกอดคลอเคลียกันจนถึงยามฟ้าสาง ที่ไหนได้ดันมาติดภารกิจสำคัญเสียนี่...น่าหงุดหงิดจริงๆ ใจกลางเมืองหลวงในค่ำคืนที่รอบตัวรายล้อมไปด้วยแสงไฟนีออนหลากสี ร่างทะมึนก้าวเท้าเดินไปทางถนนคอนกรีตที่ทอดยาวไปยังลานจอดรถและโกดังเก็บของด้านหลังของผับใหญ่ซึ่งมีป้ายห้ามเข้า และเส้นแถบล้อมไว้ทั่วบริเวณเพราะสถานที่เพิ่งจะถูกสั่งปิดเมื่อไม่นานมานี้ กัณฑ์รพีเหลียวมองตึกสูงตระหง่านที่ตัวเองกำลังเดินอ้อมรอบๆ ถูกตกแต่งด้วยดวงไฟที่บัดนี้ถูกระงับการใช้งาน มีเพียงไฟดวงใหญ่ที่เพื่อความสะดวกให้กับยามรักษาความปลอดภัยที่คอยดูแลอยู่ เขาเดินต่อไปยังลานกว้างสำหรับลานจอดรถและเลยไปตรงด้านหลังสุดที่เป็นโกดัง ชายหนุ่มใช้มือเคาะประตูม้วนสองครั้ง เว้นระยะ แล้วเคาะอีกครั้ง ตามด้วยอีกสามเป็นสัญญาณง่ายๆ บอกให้คนข้างในรู้ว่าใครมา
“คุณซีล...มาแล้วเหรอครับ...” ประตูม้วนถูกเปิดเสียงไม่เบานักต้อนรับนายใหญ่ผู้มาเยือนตามนัดหมาย
“มันอยู่ไหน...”
“ข้างในครับ ให้คนของเราคุมตัวเอาไว้แล้วกว่าจะจับตัวได้เล่นเอาได้เหงื่อเหมือนกัน ดูเหมือนคนที่อยู่เบื้องหลังก็คงไม่เบานะครับ”
“แน่ใจเหรอว่าเป็นฝีมือของมัน” สองหนุ่มวัยไล่เลี่ยแต่ต่างฐานะพูดคุยกันเบาๆ ขณะเดินเข้าไปด้านใน
“เราตรวจกล้องวงจรปิดในร้าน แล้วก็รอบๆ แถวนี้ด้วยเป็นมันแน่ๆ เพราะมาด้อมๆ มองๆ ตอนผับปิดอยู่เป็นอาทิตย์แล้วครับ อีกอย่างตั้งแต่เข้ามาทำงานมารู้สึกมันจะคอยหลอกถามโน่นถามนี่จากพวกพนักงานคนอื่นตลอดครับ แต่ไม่มีใครสังเกต เพิ่งจะมาเอะใจกันตอนเกิดเรื่องนี่แหละ”
“อืม...แล้วมันปริปากพูดอะไรบ้าง”
“ไม่เลยครับ ขนาดพวกผมซ้อมจนน่วมยังไม่ยอมบอกอะไรเลย” “ดี! ฉันชอบปากแข็งใจแข็งแบบนี้” เขาว่าขณะเดินเคียงคู่กับลูกน้อง สายตาคมกล้านั้นลุกโชนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว กรามถูกขบเข้าหากันจนเป็นสันนูน แก้มตอบลึกตามแรงกัดขบ ไม่บ่อยนักที่เรื่องร้ายแรงจะเกิดขึ้นจนเขาต้องลงมือสืบสาวด้วยตัวเอง สองหนุ่มลัดเลาะตามทางเดินท่ามกลางสิ่งของวางเป็นระเบียบเกือบเต็มทั้งโกดังมาจนถึงกำแพงด้านหลังสุด ร่างสะบักสะบอมของชายคนหนึ่งนอนหายใจรวยรินอยู่โดยมีบรรดาชายฉกรรจ์อีกสามสี่คนคอยคุมเชิง สองมือที่เปรอะเปื้อนของจำเลยถูกมัดไขว้ไว้ด้านหลัง ศีรษะชุ่มไปด้วยเหงื่อและเลือดแหงนมองไปยังทางเดินเมื่อรับรู้ถึงการมาเยือน
“คุณ...คุณซีล...”
“ยังจำได้เหรอ นึกว่าถูกอัดซะความจำดับไปแล้ว” กัณฑ์รพีบอกกับจำเลยขณะย่อตัวนั่งใกล้ๆ ร่างระทวยของมัน
“ถ้าอย่างนั้นคงจำได้สินะว่าแกทำอะไรกับผับของฉันจนต้องถูกสั่งปิด เสียหายเป็นล้านๆ แบบนี้!!” ชายหนุ่มผู้มีอำนาจเหนือกว่าตะคอกใส่ด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว มือข้างหนึ่งตะปบจับปลายคางของเหยื่อแล้วบีบเข้าหากันจนปากที่ช้ำเลือดของมันเจ่อจู๋ ดวงตาเลิ่กลั่กด้วยความกลัวจับจิต
“อื้อ! อื้อ!!”
เผียะ! ใบหน้าบวมปูดหันพลิกไปตามแรงตบจากฝ่ามือใหญ่พร้อมกับร่างที่ล้มหงายไปด้วย จำเลยผู้ไม่อาจเดาชะตาชีวิตพยายามถีบไถพื้นหนีตายตามสัญชาตญาณทั้งที่หนทางรอดนั้นแทบไม่มีเลย
“ผมไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!!”
“ไม่รู้เหรอ...ไม่รู้แล้วทำไมไอ้เด็กที่มันมีสารเสพติดอยู่ในตัวมันบอกว่าแกเป็นคนให้ของล่ะ แล้วยังกล้องวงจรปิดที่จับพิรุธย้อนหลังได้ตลอดตำรวจก็เข้ามาตรวจแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยวันที่แกไม่มาทำงาน...มันหมายความว่ายังไงตอบซิ” กัณฑ์รพีไล่เรียงเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งความเสียหายนับสิบๆ ล้านของเขา จำเลยหลบหน้าฉับพลันกลืนน้ำลายลงคอเฮือก มันรู้ดีว่าหากนายใหญ่มาถึงชะตาชีวิตของมันคงไม่เป็นแค่กระสอบทรายไว้เตะเล่นอย่างที่เหล่าลูกน้องกระทำก่อนหน้า เพราะกัณฑ์รพีมีสิทธิ์เต็มที่ในการตัดสินใจกำหนดความเป็นความตายของมัน หากเขาเอาจริง...มีหรือมันจะรอด
“ผมกลัวแล้วนายอย่าทำผมเลย...” ร่างเปรอะเปื้อนสั่นงกกล่าววอนขอ น้ำตาไหลรินพร้อมเสียงร้องไห้โฮอย่างกลัวตายดังระงมโกดัง กัณฑ์รพีแสยะยิ้มอย่างรู้ทันว่ามันคงมองเห็นชะตากรรมที่แท้จริงแล้วเมื่อเขายื่นมือเข้ามาสะสางด้วยตัวเอง
“กลัวก็บอกมา...ว่าแกทำงานให้ใคร”
“ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ อย่าบังคับผมเลยพวกเขาจะฆ่าผม...”
“ฮึ! เสร็จนาแล้วจะเก็บควายเอาไว้ทำไมล่ะ” กัณฑ์รพีเสริม แอบลอบมองท่าทีสับสนของจำเลยหนุ่ม และพอจะมองออกว่ามันไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับความตายจากเขาเพียงด้านเดียวหรอก
“ฉันจะช่วยแกเอง...ถ้าแกบอกที่ไปที่มาฉันจะปล่อยแกไป” ชายหนุ่มยอมต่อรองด้วยไม้อ่อน
“แต่...พวกเขาก็ไม่ปล่อยผมอยู่ดี”
“แล้วอยากจะตายตอนนี้เลยหรือยืดเวลาอีกหน่อยให้ถึงมือพวกมันล่ะ” สิ้นคำพูดสายตาแดงก่ำของเหยื่อก็เหลือบมองเขาอย่างหวาดหวั่น สับสนระคนกลัวจนร่างกายสั่นเทิ้ม ความตาย...ใครบ้างล่ะปรารถนาเมื่อสามารถจะเลือกที่จะ...ไม่ตายได้ “ผมจะบอก...ผมรู้ว่าตัวเองหนีไม่รอดแน่ๆ แต่ผมอยากขอร้องคุณเรื่องหนึ่งให้ดูแลน้องสาวของผมที่อยู่ต่างจังหวัดให้ผมด้วย อย่าให้เธอมีอันตรายเธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย” “ได้...ฉันรับปาก” กัณฑ์รพีบอกน้ำเสียงจริงจัง เจ้าคนอยู่ใต้อำนาจของเขาคงมีทางเลือกไม่มากไปกว่านี้อีกแล้ว เขาพอจะคาดเดากลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ แต่ไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่าเป็น...ใคร เพราะคู่แข่งสำคัญๆ ที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลนั้นมีอยู่ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว “คุณ...คุณรับปากกับผมแล้วนะ...” มันละล่ำละลักถามเพื่อความแน่ใจซึ่งได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าจากคนกุมชะตาชีวิตของมันไว้ในมือ ก่อนจะกลืนน้ำลายเหนียวฝืดลงคอตัดสินใจเด็ดเดี่ยวจะเปิดเผยเรื่องทั้งหมด “อย่างที่รู้ๆ กันว่าผับนี้คุณเซ้งต่อมาจากเพื่อนที่ล้มละลายแล้วสามีเขาฆ่าตัวตาย...ตอนแรกไม่มีใครคิดว่าคุณจะบริหารได้ตลอดรอดฝั่ง ต่างก็คิดว่าไปไม่รอดกันทั้งนั้นเพราะคุณไม่มีประสบการณ์แต่พอเอาเข้าจริงเพียงไม่ถึงสองปีคุณก็ตีตลาดดึงลูกค้าจากผับอื่นๆ มาได้เกือบทั้งหมด ทำให้...ทำให้ร้านอื่นๆ ขาดทุนเป็นระยะ บรรยากาศเงียบเหงาลงเรื่อยๆ ผับหรือสถานบันเทิงบางแห่งที่ทำธุรกิจอื่นแอบแฝงก็พลอยเสียลูกค้าหลักๆ ไปด้วย...”
“เดี๋ยว! ธุรกิจแอบแฝงเหรอ” กัณฑ์รพีถามอย่างคลางแคลงใจ
“ยาเสพติดครับ...ในช่วงที่ลูกค้ากำลังบูมการค้าขายกันในกลุ่มลับๆ เป็นไปอย่างคึกคักมากเพราะเมื่อคนที่เสพมาเที่ยวก็ถือความสะดวกหาซื้อกันในนั้นเลย แต่พอ...ผับคุณเปิดตัวนักท่องเที่ยวก็แห่กันมาที่นี่หมด”
“ฉันไม่ได้ขายยา!!” เขาตะคอกใส่ทั้งที่คนเล่ายังสาธยายไม่จบ นึกไว้ไม่มีผิดว่าต้องมีเรื่องนรกแบบนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง
“คุณไม่ขายแต่พวกคนที่เสพก็หาซื้อกันตามความสะดวกไงครับ ไม่จำเป็นต้องไปซื้อที่ผับเมื่อตัวเองไม่ได้ไปเที่ยวที่นั่นแล้ว ส่งผลกระทบให้เจ้าของกิจการเหล่านั้นขาดทุนหลายต่อเลยทีเดียว”
“พวกมันเลยส่งแกมาเล่นงานฉัน...บอกมาว่ามันเป็นใคร” เขาต่อให้แบบรวบรัดด้วยใจอยากรู้เหลือเกินว่าผู้บงการที่ทำให้ธุรกิจกลางคืนของเขาต้องถูกสั่งปิด แถมตัวเองซึ่งเป็นเจ้าของยังต้องถูกดำเนินคดีอีกด้วย
“เขาจ้างให้ผมแฝงตัวเข้ามาทำงานที่นี่เพื่อดูลาดเลา ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะ...จะให้ผม...” คนเล่าเริ่มตะกุกตะกักเมื่อถึงตอนที่ตัวเองทำผิดมหันต์กับบุรุษร่างทมิฬตรงหน้า
“ให้แกเอายาเสพติดมาให้เด็กในร้านเสพ จากนั้นก็เอามาซุกเอาไว้แล้วแจ้งตำรวจจับใช่ไหม!!”
“ผมขอโทษ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะให้ทำถึงขนาดนั้นครับ ตอนแรกนึกว่าแค่ให้เข้ามาสืบลาดเลาเฉยๆ...”
“แล้วมันเป็นใคร...ใคร!! ที่มันเล่นสกปรกกับฉัน!!” กัณฑ์รพีคาดคั้น สีหน้าและแววตาเคร่งเครียดของเขาดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าก่อนหน้าเสียอีก ราวกับจะจับคนตรงหน้ารับโทษแทนผู้บงการให้แหลกละเอียดคามือ
“คุณ...คุณอธิปครับ”
“อธิปเจ้าของ Challenger Pub อย่างนั้นเหรอ? ก็ไม่เหนือความคาดหมายเท่าไหร่”
“ใช่ครับ...คุณอธิปเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด แต่พอผมทำงานสำเร็จเขาก็ไม่ยอมจ่ายเงินส่วนที่เหลือให้ แถมยังส่งคนตามล่าอีก ผมเลยต้องหนีหัวซุกหัวซุนทั้งทางคุณแล้วก็ทางโน้นด้วย แต่...คุณก็หาผมเจอก่อน” เป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่รู้ๆ กัณฑ์รพียังพอต่อรองกันได้หากเป็นอีกฝ่ายคงไม่มีอะไรให้ต้องเคลียร์กันอีกนอกเสียจากมันจะถูกกำจัดทันที
“แล้วแกมีหลักฐานไหม...หลักฐานที่ทำให้ฉันเชื่อได้ว่าแกไม่โกหกปลิ้นปล้อนหลอกให้ฉันจัดการนายอธิปเพื่อที่ว่าคนอยู่เบื้องหลังที่แท้จริงได้รอดตัวอย่างลอยนวล วางแผนให้คู่แข่งกัดกันเอง”
แม้นายอธิปที่ว่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่เขาคาดเดาไว้ก่อนหน้า แต่ใช่ว่ากัณฑ์รพีจะวางใจเชื่อเสียทีเดียว วงการสกปรกนี้ลูกล่อลูกชนที่งัดกันมาทำลายคู่แข่งมีมากมายนัก เขาจะไว้ใจเพียงคำพูดเศษสวะที่ยอมถวายชีวิตให้กับเงินนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
“ก็...ผมไม่มีหลักฐานอย่างอื่นนอกจากเงินที่โอนเข้าบัญชีตอนที่ทำงาน ถ้าตรวจสอบได้ว่าใครเป็นผู้โอน แล้วโอนมาจากไหนพอจะใช้ได้ไหมครับ” คนจนตรอกเสนอ
“อืม...น่าจะได้”
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าคุณจะปล่อยผมไปแล้วใช่ไหมครับ...” มันถามอย่างตื่นเต้น มีความหวัง
“ยัง...ฉันต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าแกไม่ได้สอพลอ ถ้าทุกอย่างเป็นจริงอย่างแกว่าฉันปล่อยแกไปแน่ แต่ตอนนี้แกก็ต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน”
กัณฑ์รพีบอกพร้อมลุกยืนเต็มความสูง เขาหันไปกระซิบสั่งการลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่จำเลยจะถูกแก้ให้อิสระกับร่างกายที่บอบช้ำของมันซึ่งยังคงมีสีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงกังวล
“ส่วนเรื่องน้องสาวแก...บอกรายละเอียดทั้งหมดกับลูกน้องของฉันพวกเขาจะไปจัดการดูแลให้ ถ้าคนที่เล่นสกปรกกับฉันเป็นอธิปจริงๆ แกก็รอด แต่หากแกโป้ปดละก็...แกตายโดยที่ใครก็หาแม้แต่กระดูกไม่เจอแน่ จำไว้!!”
“ครับ...ขอบ...ขอบคุณครับที่กรุณาผม...” จำเลยหนุ่มกล่าวละล่ำละลักไล่หลังผู้ไว้ชีวิตของมัน ก่อนจะหันมองชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่สองคนอย่างหวาดๆ เพราะยังจำรสชาติทั้งมือทั้งเท้าคนสองคนนั้นได้ดี มันจึงลุกเลี่ยงเดินไปนั่งอยู่ตรงมุมห้องเสียและทำใจ ชีวิตของมันตอนนี้อยู่ในกำมือของกัณฑ์รพีแล้วไม่มีสิทธิ์ลิขิตด้วยตัวเองอีกแล้ว...
“รู้ตัวแบบนี้แล้วนายจะเอายังไงต่อครับ...” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถามขณะที่พากันเดินออกจากโกดังเก็บของแห่งนั้น กัณฑ์รพีเหลือบมองหน้าคนพูดนิดหนึ่งราวกับกำลังครุ่นคิดและตัดสินใจบางอย่างสองเท้าหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเหล็กม้วนบานใหญ่
“นายอธิปเป็นคนกว้างขวาง แล้วก็อยู่ในวงการคนกลางคืนมานาน ธุรกิจของเขาเกี่ยวเนื่องกับนักท่องราตรีทุกอย่าง ทั้งคาสิโน ค้าผู้หญิงแล้วก็ยา...ไม่แปลกหรอกที่พอเราเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นแล้วดึงนักท่องเที่ยวพวกนั้นมาอออยู่ที่ร้านของเราหมด แล้วเขาขาดรายได้ซึ่งพ่วงกันเป็นทอดๆ ก็เลยคิดจะกำจัดเราให้พ้นทาง...ตอนนี้คงต้องเงียบไว้ก่อนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีกเดือนเดียวร้านก็เปิดได้เป็นปกติ สิ่งที่เราต้องคิดควบคู่กันไปคือทำอย่างไรให้ลูกค้ากลับมาร้านเราเหมือนเดิม เพราะตอนที่ตำรวจบุกค้นบรรดานักท่องราตรีก็ต้องหวาดเสียวไปตามๆ กัน ไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาที่ร้านเราอีกเป็นแน่ ยังไงตอนวันเปิดก็ต้องหาทางดึงความประทับใจของนักเที่ยวให้มากที่สุด สองเดือนมานี้เราขาดทุนไปเยอะถ้าไม่กลับมาบูมเหมือนเดิมเราก็จบเหมือนกัน ทีนี้ก็เข้าทางพวกมัน”
“เรื่องนั้น...ผมจะพยายามให้เต็มที่ครับ ตอนนี้เราก็เริ่มโปรโมทแล้วว่าร้านจะเปิดวันไหนมีโปรอะไรให้ลูกค้าบ้าง แต่ยังไม่แจงรายละเอียดครับกลัวว่าคนที่มันจ้องเล่นงานจะจับทางได้ แล้วเรื่องการควบคุมเราก็เตรียมการกันไว้หมดทุกทางแล้วรับรองไม่มีพลาดให้มันใช้วิธีสกปรกเล่นงานเราได้ครับ”
ลูกน้องคนสนิทกล่าวรายงานขณะที่อีกสองคนช่วยกันเปิดประตู กัณฑ์รพีครุ่นคิด ไม่นึกว่าการก้าวเข้ามาทำงานด้านนี้จะสร้างปัญหาให้เขาอย่างรวดเร็ว และดูท่าคงยืดเยื้อมีเรื่องให้ต้องปวดหัวต่อไปอีกนาน เมื่อคู่แข่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการกำจัดเขาไปจากเส้นทาง “อื้ม...ฝากด้วยก็แล้วกัน เรื่องร้านฉันมีไฮไลท์อยู่ในหัวแล้วเหมือนกัน มีอะไรก็ให้รีบรายงานจะได้จัดการทันที ช่วงนี้งานที่บริษัทก็ยุ่งๆ ไหนจะเรื่องร้านอีก แล้วยังจะ...”
“ครับ...” คนคอยจ้องจะฟังว่านายจะกล่าวอะไรต่อขานรับคล้ายเป็นคำถาม แต่ฝ่ายกัณฑ์รพีกลับหยุดชะงักเหมือนจะคิดได้ว่าเรื่องที่กำลังจะพลั้งปากนั้นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องงานสักนิดเขากลอกตา เบ้ปาก ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบให้ลูกน้องหนุ่มแล้วเดินออกจากโกดังไป
แม้จะมีเรื่องสุมในอกให้ร้อนรุ่มไม่ขาด แต่หาก...ร่างที่ทอดกายหลับใหลอยู่ในห้องนอนนั้นกลับฝังกลบปัญหาทุกอย่างให้มีความสำคัญเพียงน้อยนิด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะทำอะไร ใจ...ของเขาก็ยังคงครวญหาแต่เพียงเธอจนแทบไม่มีสมาธิเลย
แม่มดน้อย...คืนนี้อาจจะรอด แต่รับรองได้เลยว่าไม่เกินสี่สิบสองชั่วโมงเขาจะ ‘กิน’ เจ้าหล่อนให้ได้ ก่อนที่ตัวเองจะขาดใจเพราะความหิวกระหาย...
