บทที่ 6 เวลาผ่านไปเร็วนัก
ชายหนุ่มเดินไปถอดกลอน ยังไม่ทันจะเปิด บานประตูก็ถูกผลักให้เปิดออก แล้วใครคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ไมเซรินุส!!”
เขาเกือบผงะไปด้านหลังเมื่อถูกร่างที่สูงทัดเทียมกันโผเข้ากอด แล้วตบหลังลูบไหล่เป็นพัลวัน
“โอซิริส!!”
“ทำไมกลับมาอย่างเงียบเชียบนัก! ถ้าข้าไม่สังหรณ์ใจคงไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาถึงแล้ว นึกว่าจะพักอยู่ที่โกเบก่อนซะอีก” โอซิริสถอยออกมายืนมองน้องชายฝาแฝดด้วยความตื่นเต้นยินดี
“ข้ากับท่านฮูร์เร็มห้อม้ากลับมาก่อน ขบวนทัพที่เหลือยังอยู่ที่โกเบ คงจะมาถึงช่วงสายๆ เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?” ไมเซรินุสเชื้อเชิญพี่ชายฝาแฝดนั่งบนเก้าอี้
“เสด็จพ่อทรงแข็งแรงดี เจ้าดูน่าเกรงขามมากเลยนะ เหมือนราชสีห์” โอซิริสเอ่ยชมน้องชายที่ดูแข็งแกร่งและห้าวหาญขึ้นมาก หากได้สวมชุดเกราะนักรบเต็มยศ ข้าศึกคงจะขวัญหนีดีฝ่อตั้งแต่ยังไม่ลงมือ
“พี่ต่างหาก...ที่ยังสง่างามไม่เปลี่ยน สงสัยเจ้าหญิงทั้งหลายคงได้อกหักร้องไห้แน่ หากไม่ได้พี่เป็นคู่ชีวิต” ไมเซรินุสยิ้มบางๆ รู้ดีว่าแม้จะเป็นฝาแฝดที่เหมือนกันจนแยกไม่ออก หากแต่บุคลิก อุปนิสัย และการใช้ชีวิต กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าต่างหากที่เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่สาวๆ ขนาดอยู่เทเบยังได้ยินมาถึงที่นี่”
“ใครกันบังอาจพูดถึงข้าลับหลัง?”
“ก็ท่านผู้หญิงทั้งหลายน่ะสิ พวกนางชื่นชมเจ้ามากนะ”
“ข้าล่ะเกลียดนักพวกผู้หญิง ส่งเสียงวี้ดว้ายน่ารำคาญ อยากจะฆ่าทิ้งเสียให้หมดโลก” ไมเซรินุสแสยะริมฝีปาก
“เจ้า! ยังไม่เคยพึงพอใจหญิงใดเลยหรือ?” โอซิริสตกใจเป็นอันมากเมื่อได้เห็นท่าทีของน้องชาย ที่พูดถึงสตรีราวกับพูดถึงกองทัพศัตรู
“หากไม่มีหญิงใดในโลกที่เพียบพร้อมทั้งรูป ทรัพย์ และเก่งกาจเหมือนข้า พวกนางก็เป็นได้เพียงแค่มดปลวก!”
โอซิริสแทบจะหงายหลังตกเก้าอี้เมื่อได้ยินจากปากของน้องชายฝาแฝด แม้จะรู้อยู่แล้วว่าไมเซรินุสมีความทรงจำที่เลวร้ายเกี่ยวกับผู้หญิงตั้งแต่เยาว์วัย แต่ไม่คิดว่าเขาจะยังฝังใจเรื่องนั้นมาจนบัดนี้
ก็แล้วใครเล่า? จะมีคุณสมบัติเช่นนั้น ทั้งรูปโฉม ทรัพย์สมบัติ และฝีมือรบอันฉกาจ ไม่เคยมีใครเทียบเทียมน้องชายเขาได้แม้แต่คนเดียว
“หรือว่า...เสด็จพี่...มีคนรักแล้ว?” ผู้ที่ถูกเปรียบเป็นราชสีห์หรี่ตา
“เปล่าๆ” โอซิริสรีบโบกมือปฏิเสธ “ข้าเองก็ยังไม่คิดเรื่องนี้หรอก”
“แต่เสด็จพ่อนี่สิ” ทรงต่อในใจมิได้เอื้อนเอ่ยออกมา เพราะกลัวน้องชายจะรู้
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบแต่งตัวแล้วไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกันดีกว่า ข้าอยากเจอเสด็จพ่อเหลือเกิน” ไมเซรินุสกระโดดลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง ทำให้พี่ชายฝาแฝดรีบลุกขึ้นด้วย
“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนหรอก เดี๋ยวข้าจะไปทูลเสด็จพ่อก่อน แล้วจะรอรับเจ้าอยู่ที่วิหาร แล้วพบกันนะน้องรัก”
เจ้าชายโอซิริสบอกกับน้องชาย แล้วเดินออกไปจากห้อง ครั้นเมื่อก้าวผ่านพ้นประตู ร่างที่เคยเดินเนิบๆ อย่างสง่างามอยู่เสมอ ก็ลิ่วๆ ออกไปจนขาแทบจะพันกัน
“โธ่! เสด็จพ่อ…เห็นทีท่านจะต้องใช้มาตรการบังคับไมเซรินุสแล้วล่ะ แล้วนี่ถ้ารู้ว่าอาเซน่าอยู่ในวัง มีหวังนางจะต้องถูกฆ่าแน่ๆ”
เมื่อคืนนี้ เจ้าชายไมเซรินุส ไม่ได้เห็นสภาพบ้านเกิดเมืองนอนเพราะห้อม้ามาถึงกลางดึก หากแต่ในเช้าวันนี้ เจ้าชายที่จากบ้านไปอยู่เทเบถึงแปดปี ก็เพิ่งจะได้เห็นความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ของมหานครเมมฟิสแบบจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก
เมื่อมองจากข้างบน บริเวณด้านล่างของมหาวิหารมีการขุดคูคลองขนาดใหญ่เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำไนล์ให้ไหลเข้ามาในบริเวณตัวเมือง และระบายสู่ไร่นาของประชาชนที่ทำการเกษตรอยู่บริเวณโดยรอบ พ่อค้าจากต่างถิ่นมีมากขึ้น สังเกตได้จากขบวนกองคาราวาน และประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอยเดินขวักไขว่มองไกลๆ เหมือนมดแตกรัง
เจ้าชายละความสนใจจากทัศนียภาพโดยรอบ หันกลับมามองบรรยากาศภายในวิหารขณะเดินผ่านสระน้ำซึ่งอยู่ใจกลางระหว่างวิหารของเขากับวิหารหลวง
เช้าๆ อย่างนี้ ทหารยามกำลังผลัดเวร นางกำนัลเดินกันขวักไขว่ บ้างถือเหยือก บ้างกำลังทำความสะอาด บ้างก็จับกลุ่มคุยซุบซิบตามประสา
“ถวายบังคมเจ้าชาย"
เขาเพียงแต่พยักหน้ารับเหล่าทหารยามที่ก้มศีรษะทำความเคารพ นึกขำในใจว่าพวกนี้คงยังไม่รู้ว่าเขาไม่ใช่โอซิริส
“เจ้าชายเพคะ...ทรงลืมพระภูษาเพคะ”
เขาสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ นางกำนัลหญิงคนหนึ่ง โผล่พรวดมาข้างหลัง แล้วลุกลี้ลุกลนยื่นผ้าคลุมไหล่ให้จนมือของนางแตะถูกที่แขน
ตอนแรกเขานึกว่านางคงจะไม่ตั้งใจจึงให้อภัยที่นางบังอาจมาแตะเนื้อต้องตัว หากแต่เมื่อเอื้อมมือจะไปหยิบผ้าผืนนั้น นางกลับทำท่ากระมิดกระเมี้ยนทำท่าเขินอายราวกับกำลังโดนเขาเกี้ยวอยู่
“ให้หม่อมฉันแต่งพระภูษาให้พระองค์นะเพคะ”
“ไม่ต้อง!! จะไปไหนก็ไป อย่ามาให้ข้าเห็นอีก!” เจ้าชายกระชากผ้าคลุมไหล่มาถือไว้ รู้สึกขนลุกขนพองขยะแขยงสายตาคู่นั้นจนอยากจะจับแม่นั่นไปขังไม่ให้มาเห็นเดือนเห็นตะวันอีก
เกลียดนัก! พวกเล่นหูเล่นตา คิดจะใช้เรือนร่างไต่เต้าขึ้นมาเป็นบุคคลชั้นสูง แม้จะเป็นหน้าที่ของพวกหล่อนที่ต้องคอยปรนนิบัติพัดวีแม้แต่ในยามอาบน้ำ ยามกิน หรือนอน แต่ไม่มีวันซะล่ะ ที่ผู้หญิงจะได้เห็นเรือนร่างที่งดงามของเขาง่ายๆ
เขาสะบัดผ้าคลุมไหล่อย่างรังเกียจเมื่อนึกได้ว่ามันต้องมือของนางกำนัลคนนั้นก่อนที่จะมาถึงมือเขา ก่อนจะโยนมันทิ้งลงบนพื้นโดยมีทหารติดตามคอยเก็บไว้ให้เหมือนอย่างเคย
“มาเร็วดีจังน้องพี่ เสด็จพ่อกำลังรออยู่เลยเชียว”
เจ้าชายโอซิริสเดินออกมาต้อนรับ การปรากฏตัวพร้อมๆ กันของทั้งสองพระองค์ทำให้ทหารและนางกำนัลที่อยู่บริเวณนั้นแตกตื่น และส่งเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่
“เจ้าชายไมเซรินุสกลับมาแล้ว!”
“อะไรนะ! เจ้าชายน้อยกลับมาแล้ว!”
“เจ้าชายที่ไปปราบกบฏที่เทเบน่ะหรือ?”
เสียงจากบนวิหาร ถูกส่งต่อกันเป็นทอดๆ อย่างตื่นเต้น จนกลายเป็นความโกลาหลไปชั่วขณะ เมื่อใครๆ ต่างก็เข้ามารุมล้อมพระโอรสแฝดด้วยความปิติยินดี ทั้งส่งเสียกเรียกพระนามของทั้งสองพระองค์จนดังกึกก้อง
ไม่นาน...ประชาชนที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็กรูกันเข้ามาแหงนหน้ามองเจ้าชายและส่งเสียงเรียกพระองค์ บ้างก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด จนคนที่เพิ่งกลับมาอดยิ้มไม่ได้
“ไหนบอกว่ารำคาญเสียงกรี๊ดกร๊าดยังไงล่ะ” โอซิริสมองหน้าคนที่มีใบหน้าเหมือนเขาด้วยความฉงน เขาเพิ่งได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของไมเซรินุสเรื่องนางกำนัลคนหนึ่งหยกๆ นี่กลับโบกไม้โบกมือให้กับประชาชนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มซะงั้น
“การมีคนชื่นชมเป็นเรื่องที่น่ายินดีพะยะค่ะ โดยเฉพาะพวกมดเหล่านั้น” ไมเซรินุสตอบพี่ชายแล้วส่งยิ้มกว้าง มองประชาชนที่พากันแซ่ซ้องเรียกชื่อพระองค์ด้วยความพึงพอใจ
เจ้าชายโอซิริสผงะ! เมื่อได้ยินคำตอบจากน้องชาย พลันหัวใจก็ชาวาบเมื่อสมองทำการวิเคราะห์พฤติกรรมประหลาดๆ นั้นอย่างรวดเร็วและได้ข้อค้นพบว่า
แฝดผู้น้องของเขา...เป็นพวกหลงตัวเอง!
“ฟาโรห์! องค์ฟาโรห์เสด็จออกมาแล้ว!”
“เสด็จพ่อ!” ไมเซรินุสผู้ซึ่งยังไม่รู้ว่าถูกวินิจฉัยโรค หันหลังกลับไปยังวิหารเมื่อประชาชนเอ่ยเรียกพระบิดา ขายาวๆ ก้าวฉับๆ เข้าไปข้างในด้วยความตื่นเต้นเป็นล้นพ้น
เขายืนตะลึงจังงังไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นร่างสูงสง่าของพระบิดาซึ่งสวมชุดเต็มยศออกสมาคม แม้จะทรงพระชนมายุใกล้จะห้าสิบพรรษาแล้ว ทว่ากษัตริย์ผู้เป็นเลิศในแผ่นดินนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว หนำซ้ำ ยังดูมีบารมีแก่กล้าขึ้นกว่าเดิมมาก
