ตอนที่ 1 พักรบ
ตอนที่ 1
พักรบ
เมื่อเรือลาดตระเวนของเหล่านาวิกโยธินแห่งราชนาวีไทยทอดสมอลงเทียบท่า เหล่าทหารกล้าสวมเครื่องแบบทหารเรือเต็มยศสะพายเป้ก็เดินเรียงแถวออกมาจากท้องเรือ นำหน้าด้วยนายทหารที่มียศน้อยเรียงไปจนถึงผู้บังคับการจนถึงกัปตันเรือ หนึ่งในนั้นมีร่างสูงตระหง่านของน.ท.นักรบ ผดุงกิตติศักดิ์ ร.น. หรือที่ใครๆ ต่างก็เรียกขานว่า‘ผู้พันรบ’ในชุดลายพรางติดเครื่องหมายแผ่นผ้าไว้บนหน้าอกด้านขวา มีรูปท้องทะเล ท้องฟ้า ภูเขาและหน้าผา ระหว่างสมอสองอันที่พันกันด้วยเชือก มีความหมายว่า ภายใต้ความสามัคคีกลมเกลียวของกองทัพเรือ จะเป็นรั้วที่เข้มแข็งเพื่อคุ้มครองป้องกันภัยที่จะมาคุกคามต่อน่านน้ำ น่านฟ้าและชายฝั่งทะเลของไทย ตรงกลางมีครุฑเหยียบโลกที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ประเทศไทย มีสมอเสียบปักอยู่ หมายถึงการเป็นทหารนาวิกโยธินที่ขึ้นตรงต่อกองทัพเรือและปฏิบัติงานภายใต้การควบคุมและสนับสนุนจากกองทัพเรือ
ร่างสูงเดินสะพายเป้คล้องไหล่ออกมาจากเรือลาดตระเวนของหน่วยรีคอน หรือหน่วยลาดตระเวนสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกและจู่โจม มีชื่อเต็มๆ ว่า Amphibious Reconnaissance and Raid เมื่อเหล่าทหารต่างพากันเดินเรียงแถวตอนลึกออกมาแล้วแทนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านหลังจากที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมานานแรมปี พวกเขาก็พากันไปหยุดยืนเรียงแถวหน้ากระดานราวกับตอนที่อยู่บนเรือ และเมื่อร่างของผู้พันรบเดินเข้าไปใกล้ เสียงกล่าวคำปฏิญาณก็ดังกึกก้องและกล่าวออกมาได้อย่างพร้อมเพรียงกัน จนผู้บังคับกองพันอย่างนักรบต้องยืนนิ่ง ยืดอกแล้วกล่าวไปพร้อมๆ กับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักชาติ
แม้จะถูกต้านทานอย่างหนัก จากศัตรูที่โหดเหี้ยม
ภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศ จะเลวร้ายสักปานใดก็ตาม
ก็หาทำให้ทหารหน่วยนี้เสียขวัญ จนเปลี่ยนความตั้งใจแต่อย่างใดไม่
เพราะเรายึดมั่นอยู่เสมอว่า ภารกิจเหนือสิ่งอื่นใด...แม้ชีวิต
ตามมาด้วยการทำความเคารพผู้บังคับบัญชาและเสียงตบเท้าที่ดังตามมา นักรบตีหน้าขรึมทั้งที่อยากยิ้มอย่างนึกดีใจที่ประเทศชาติได้มีรั้วที่จงรักภักดีมอบกายถวายใจให้อย่างหมดสิ้น ดังคำปฏิญาณที่พร้อมใจกันกล่าวแม้ในยามที่พักศึกยกพลขึ้นฝั่งเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้าน เยี่ยมเยียนบุพการีและทุกคนที่รออยู่เบื้องหลัง คำปฏิญาณที่เป็นเหมือนคำสัตย์สาบานฝังรากลึกอยู่ในใจ จนอยากจะกล่าวออกไปทั้งสามเวลา คนได้ยินก็ใจชื้นและนึกนิยมชมชอบทหารรักชาติกองนี้
“รีคอน นักรบเลือดเหล็ก กลับบ้านกันครั้งนี้ก็จงจำไว้ว่าอย่าทำตัวเหลวไหล ให้เสียชื่อเกียรติภูมิความเป็นทหารกล้า จนต้องอับอายขายหน้ากันทั้งกอง”
“ผู้พันครับ ผมจะไม่ทำตัวเหลวไหล แต่ผมจะไหลไปตามน้ำ” หนึ่งในนั้นตอบกลับมาหน้าแป้นแร้นจนเห็นฟันขาวตัดกับหน้าคล้ำๆ เกือบจะเป็นนิโกรเพราะกรำแดดกรำฝนมานาน
“น้ำเมาล่ะสิมึง ถ้ากูรู้ว่าพวกมึงคนใดคนหนึ่ง เมาจนขาดสติ ทำตัวให้เสียเกียรติความเป็นทหารกล้า ตีรันฟันแทงกับคนอื่น กลับกองเมื่อไหร่กูจะจับถ่วงน้ำ ล่อฉลามกันให้เข็ด”
“โธ่...ผู้พันล่ะก็ใจร้ายตลอดเลย” ยังมีเสียงโอดครวญดังออกมาให้ได้ยิน
“กูไม่ได้พูดเล่น!” นักรบกล่าวเสียงขรม “รึพวกมึงคนใดคนหนึ่งอยากลองดีก็เอา”
“ไม่ดีกว่าครับ ไปเถอะพวกเรา ไปซะก่อนจะถูกจับถ่วงน้ำ”
นักรบส่ายหน้ายิ้มๆ มองกลุ่มทหารที่พากันเดินจากไป เขาไม่ได้พูดเล่นหรือแค่คิดจะขู่ให้กลัวเกรง แต่ถ้ารู้เมื่อไหร่เป็นได้เจอของจริงเมื่อนั้น และเขาก็เชื่อมั่นว่าไม่มีใครกล้าคิดลองดี เพราะรู้จักผู้บังคับกองพันเช่นเขาเป็นอย่างดี คนอย่างเขาพูดคำไหนเป็นคำนั้นไม่เคยพูดแค่จะข่มขู่
เขาเดินตามหลังเหล่าทหารกล้าแห่งหน่วยลาดตระเวนสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกและจู่โจมไปเรื่อยๆ เพราะตั้งใจว่าจะกลับบ้านด้วยการโดยสารรถทัวร์เหมือนดังเช่นทหารคนอื่นๆ แต่เท้ายาวๆ ในรองเท้าคอมแบ็ตก็ต้องชะงัก เมื่อมีรถหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดตรงหน้า
“ว่าไงไอ้เสือ”
เสี่ยยุทธนาเป็นบิดาของนักรบ พอทราบว่าบุตรชายได้พักราชการก็ดีใจจนออกนอกหน้าแล้วรีบบึ่งรถจากกรุงเทพฯ มารับในทันที
“คุณพ่อ! รู้ได้ยังไงว่าผมจะกลับบ้าน” นักรบตอบยียวนตามสไตล์ของเขา
“ฉันรู้แต่ว่า แกจะต้องไปกับฉันไอ้รบ” ฝ่ายคนเป็นพ่อก็ไม่คิดจะยอมแพ้ กว่าจะได้เจอหน้ากันก็นานเป็นปี จะให้ติดปีกบินเป็นนกนางแอ่นไปเกาะโน้นเกาะนี้ก็กระไรอยู่
นาวาโทหนุ่มหรือถ้าเปรียบเป็นยศนายทหารที่เรียกกันง่ายๆ ก็คือพันโท ถึงกับอมยิ้มและรู้สึกว่ากำลังจะได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนก็คราวนี้ กลับไปนี่จะไปนอนหนุนตักมารดาให้หายคิดถึง
“ถ้าผมไม่กลับ มีหวังคุณนายนภาพรคงตามไปดึงหูยานแน่ๆ ใช่ไหมครับ” ร่างสูงกล่าวแล้วเปิดประตูรถพาตัวเองเข้าไปนั่งข้างบิดา แล้วก้มลงกราบบนบ่าหนาๆ ของท่าน “คุณพ่อสบายดีนะครับ”
“เออ...พ่อกับแม่สบายดี” เสี่ยยุทธนาจับต้นแขนลูกชายก่อนจะลูบไปมา “แกล่ะ สบายดีสินะ”
“ครับ ผมไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ป่วยที่ตรงไหน”
“แต่เดี๋ยวแกอาจจะปวดหัวเพราะแม่แกก็ได้ เตรียมตัวไว้เถอะ”
“ตารบ!!! ตารบของแม่ กลับมาแล้วเหรอลูก!!” คุณนภาพรหรือคุณนายนภาพร มารดาของนักรบรีบวิ่งเข้ามาหาอย่างไม่เกรงว่าจะสะดุดอะไรล้ม ทรวดทรงองค์เอวที่เปลี่ยนไปตามวัยที่มากขึ้นทำให้เวลาวิ่งเนื้อกระเพื่อมไหวเลยทีเดียว
นายทหารเรือหนุ่มยิ้มกว้างย่อตัวลงพับเพียบกับพื้นแล้วกราบลงที่เท้าของมารดา คุณนายนภาพรก้มลงไปลูบศีรษะแล้วดึงตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสุดแสนรักขึ้นยืน
“ฮือๆ ลูกแม่สบายดีใช่มั้ยลูก ฮือๆ” ทุกครั้งที่เห็นหน้านักรบ มารดาก็เป็นต้องน้ำตาไหลได้ทุกครั้ง
“นี่คุณ ป่านนี้แล้วยังร้องไห้ทุกครั้งที่ลูกกลับมาอีกเรอะ” คนเป็นสามีกระเซ้า
“แหม...ก็ลูกของเราต้องไปเสี่ยงอันตรายมากมายกว่าจะกลับมานี่คะ ฮือๆ อิฉันก็ดีใจที่ได้เห็นหน้าลูกน่ะสิ” บอกแล้วก็ปาดน้ำตาลวกๆ แต่น้ำตาที่ยังไหลออกมาเป็นสายก็ยังไม่มีท่าว่าจะหยุด
“คุณแม่ครับ จำได้มั้ยครับว่าผมเคยพูดว่ายังไง” นับรบถาม แล้วก็ได้รับค้อนงามๆ จากมารดามาเสียหลายวง
“ฮึ...จะทวนความจำของแม่รึ แม่จำได้หรอกน่ะว่าจะต้องภูมิใจที่มีลูกเป็นรั้วของชาติ และต้องทำใจแข็งเมื่อลูกต้องออกรบ แต่ไอ้หน่วยของลูกนี่มันอันตรายเสียจริง ไม่เพียงแค่ทำหน้าที่อยู่กลางน้ำกลางทะเล ยังต้องไปช่วยทั้งบนบกและบนฟ้าโน่นอีก แบบนี้จะให้แม่ไม่ดีใจจนน้ำตาตกได้ยังไงกันฮึ”ลงท้ายด้วยคำประชดประชันเล็กๆ น้อยๆ
“คุณแม่ก็ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจสิครับ ว่าลูกของแม่คนนี้จะเอาชีวิตรอดกลับมาให้คุณแม่ได้เห็นทุกครั้ง ผมสัญญาแล้วไงครับ แม่จำไม่ได้เหรอ”
“จำได้ เอาเถอะ แม่จะพยายามก็แล้วกัน” คุณนายนภาพรเดินไปหาสามีแล้วป้องปากกระซิบกระซาบ “คุณ...แบบนี้อิฉันคงต้องหาสมัครพรรคพวกเสียแล้ว ถ้าได้ลูกสะใภ้เมื่อไหร่ อิฉันคงมีเพื่อน”
“แล้วกันคุณ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
นักรบส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างบิดากับมารดา
“คุณแม่คงต้องรอนานหน่อยนะครับ เพราะตอนนี้ผมยังไม่คิดจะมีเมีย”
“ต๊าย!! ไม่ได้นะ อายุเราก็ตั้งมากแล้ว 32 ปีนี้แล้วนี่ จะให้แม่รอจนแกแก่หัวหงอกเลยหรือแม่ต้องตายก่อนล่ะ”
“โธ่...ผู้ชายอายุ 32 ใครบอกว่าแก่ครับ ผมยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว แถมยังแรงดีอีกต่างหาก แต่ถึงจะ 40 ผมรับรองว่ายังฟิตปั๋งนะครับ” นักรบโอ้อวดสรรพคุณ ยิ้มกว้างด้วยความสุขชีวิตในตอนนี้เขาก็มีความสุขอยู่กับงานที่ทำ ออกเรือไปแทบจะไม่มีผู้หญิงตกถึงท้อง ขึ้นบกได้พักเมื่อไหร่นั่นแลจึงจะหาความสุขใส่ตัว แต่ยังไม่อยากหาเหาใส่หัวในตอนนี้
“40 น่ะนานไป แม่ไม่รอแกหรอกนะตารบ ถ้าแกยังหาลูกสะใภ้ให้แม่ไม่ได้ แม่จะหาให้แกเอง”
“ผมว่าคุณอย่าไปบังคับลูกเลยนะ ไอ้ลูกเราน่ะบังคับได้ซะที่ไหน บังคับไปเดี๋ยวก็หายหน้าไป 5 ปี แล้วคุณจะเสียใจนะคุณนภา” เสี่ยยุทธนาเตือนศรีภรรยาด้วยความหวังดี เพราะรู้จักบุตรชายเป็นยังดีว่าไม่ชอบถูกใครบังคับ
“ผมเป็นทหาร จะหาคนที่เหมาะจะเป็นเมียทหารก็ต้องดูกันให้รอบคอบ ถ้าได้มาแล้วเอาแต่กระซิกๆ ขยับตัวไปไหนก็ไม่ได้ ผมคงโบกมือบ๊ายบายดีกว่าครับ แม่ให้เวลาผมหน่อยนะครับ ถ้ารอไม่ไหวก็บอก เดี๋ยวผมจะเลือกใครสักคนในกองมาแต่งงานด้วย”
“ห๊า...เดี๋ยวนี้นาวิกโยธินเขามีผู้หญิงแล้วเรอะ” มารดาทำตาโตอย่างสงสัย
“เปล่าหรอกครับ ก็ถ้าคุณแม่รีบ เดี๋ยวผมก็เลือกทหารในกองนั่นแหละครับ เลือกเอาสักคนมาเป็นลูกเขย เอ๊ย! ลูกสะใภ้ โอ๊ย!!!” เสียงสุดท้ายร้องลั่นเมื่อต้นแขนถูกหยิกหมับแล้วบิดแรงๆ
“นี่แน่ะ ตารบนะตารบ อย่าทำอย่างนั้นเชียวเสียชาติเกิดกันหมด” มารดาสะบัดหน้าพรืด
นับรบหัวเราะลั่น นึกอยากจะเล่าเรื่องของทหารบนเรือให้มารดาฟัง แต่นึกไปนึกมาก็กลัวจะทนฟังไม่ได้เลยตัดใจไม่เล่าดีกว่า เก็บไว้เป็นความลับสุดยอดของเหล่าทหารกล้าก็แล้วกัน คิดแล้วก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำเหล่านั้น แต่เข้าใจว่าความต้องการอันมากล้นซึ่งเกิดจากการเก็บกักไว้นานจะต้องถูกปลดปล่อย แล้วในเมื่อผู้หญิงน่ะหาไม่ได้ก็ต้องใช้พลังมือวิเศษหรือรูมหัศจรรย์แทนเป็นกรณีไป เมื่อครั้งที่ออกเรือใหม่ๆ พอพบเจอเขาเองก็รับไม่ได้ แต่พอนานๆ เข้าก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
“แล้วกิจการของเราเป็นยังไงบ้างครับพ่อ” เขาถามบิดาหลังจากอาบน้ำพักผ่อนไปหลายชั่วโมงแล้วลงมาพบกันที่โต๊ะอาหาร
“ก็ดี ไปได้เรื่อยๆ พรุ่งนี้ก็มีทัวร์จากมาเก๊า มะรืนนี้ก็เป็นทัวร์ของกลุ่มแม่บ้านทั่วไทย”ที่พูดมานี่ล้วนแล้วแต่เป็นทัวร์กรุ๊ปใหญ่ที่มีไม่ต่ำกว่า 400 คน แล้วยังไม่นับทัวร์กรุ๊ปเล็กๆ ที่แบ่งกันแต่ละคันรถ เรียกว่าจำนวนรถทั้ง 150 คัน มีคิวเต็มตลอด
“อืม...แสดงว่ามีงานตลอดสินะครับ แบบนี้คุณพ่อคงเหนื่อยน่าดู”
“เหนื่อยแต่ก็สนุก พ่อคงเหมือนแกที่รักจะทำงานนี้แล้วเลิกไม่ได้ กว่าพ่อจะขึ้นมาอยู่จุดนี้ได้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน แล้วจะให้วางมือทั้งที่ยังทำไหวน่ะไม่มีทาง”
นักรบเข้าใจว่าคนรักในอาชีพที่ทำมีความรู้สึกยังไง บิดาของเขาก่อร่างสร้างตัวมาจากการขับรถทัวร์ แล้วผันตัวเองมาเป็นไกด์ ก่อนจะลงทุนสร้างรากฐานจากบริษัททัวร์เล็กๆ กระทั่งเป็นบริษัททัวร์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน ชื่อเสียงของเสี่ยยุทธนาไม่มีใครไม่รู้จัก และน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักบริษัท ผดุงกิตติ์ทัวร์ จำกัด ชื่อเสียงที่ก้องกังวานล้วนแล้วมีแต่ด้านดีๆ เท่านั้น ทั้งด้านการบริการ การเอาใจใส่ และการปรับปรุงให้อยู่บนเส้นมาตรฐานตลอดเวลา
“แล้วแบบนี้ต่อไปถ้าทำไม่ไหวล่ะครับ”
“ถ้าทำไม่ไหว แกก็ต้องมารับช่วงแทนพ่อสิตารบ”
นักรบทำหน้าเหมือนปลาสำลักน้ำ เรื่องธุรกิจไม่ต้องพูดถึงเพราะเขาไม่รู้เรื่องและไม่เคยคิดจะเรียนรู้แม้ครอบครัวจะมีกิจการใหญ่โต เพราะตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะเป็นทหารจนกว่าจะเกษียณไปตามกาลเวลา
“เฮ้ย! พ่อล้อแกเล่นน่ะ” เสี่ยยุทธนาตบบ่าลูกชาย “พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวแกมากนะ ถึงแม้บางครั้งจะอดเป็นห่วงเสียไม่ได้ แต่ก็ภูมิใจที่มีลูกรับใช้ประเทศชาติ เพราะหากไม่มีทหารหาญประชาชนตาดำๆ ก็ไม่รู้จะอยู่อย่างไร”
“ขอบคุณครับพ่อที่เข้าใจผม”
“แม่ก็ภูมิใจในตัวลูกนะตารบ แต่พอเห็นข่าวที่นั่นที่นี่เกิดเรื่อง รู้ว่าบางแห่งอาจจะมีลูกแม่อยู่ในนั้นด้วย ก็ทำให้แม่ข่มตานอนไม่หลับเป็นพักๆ ไหว้พระสวดมนต์ขอให้ลูกของแม่ปลอดภัยกลับมาทุกครั้ง”
“ผมดีใจที่ได้ยินแม่พูดแบบนี้นะครับ” นักรบโน้มตัวกอดเอวมารดาแน่น “คืนนี้ขอนอนหนุนตักแม่จนกว่าจะหลับนะครับ”
“ได้สิลูก” คุณนายนภาพรบอกอย่างยินดี
“แต่อย่านานนักนะ นั่นน่ะเมียพ่อนะเว้ย” เสี่ยยุทธนากระเซ้าครื้นเครง หัวเราะจนพุงกระเพื่อมไปมา
“เมียพ่อแต่แม่ผมนี่ครับ ผมไม่ขัดจังหวะคุณพ่อนานๆ หรอกครับ ก็แค่...คิดถึง”
“ช่างประจบจริงไอ้ลูกคนนี้”
แล้วเสียงพูดคุยถามไถ่เรื่องราวทั่วๆ ไป ก็ลอยออกมาตามลมที่พัดโกรกอยู่ภายนอก บางช่วงบางตอนก็มีเสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮาตามประสาพ่อแม่ลูก ที่นานๆ ทีจะอยู่กันพร้อมหน้าค่าตาแบบนี้ ความสุขและความอบอุ่นรายล้อมอยู่รอบบ้านหลังงามที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณกว้างขวาง มีสวนไม้ค่อนข้างหนาครึ้มตามความชอบของเจ้าของ ทั้งสดชื่นและอบอุ่นเสียนี่กระไร
“ตารบ อยากจะไปพักผ่อนบ้างหรือเปล่าล่ะลูก” เสี่ยยุทธนาถามบุตรชายขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ในขณะที่นักรบตื่นนานแล้วด้วยความเคยชินและสวมชุดวอร์มออกวิ่งตั้งแต่เช้ามืด จนตอนนี้เนื้อตัวนั้นชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อจนเสื้อกล้ามที่ใส่นั้นเปียกโชกแนบไปกับร่างแกร่ง
“ก็กำลังคิดๆ อยู่เหมือนกันครับพ่อ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร” ชายหนุ่มตอบพลางยกผ้าขนหนูซับเหงื่อบนหน้าคร้ามคม
“ถ้างั้นวันนี้แกว่างสินะ”
“ครับ พ่อมีอะไรจะให้ผมทำหรือเปล่าฮะ”
“เมื่อกี้นายแดงลูกน้องพ่อมันโทรมาลางาน มันบอกว่าท้องเสียคงไปขับรถให้ไม่ได้ นี่ก็เหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงเดียว เราต้องไปรับลูกทัวร์ให้ทันซะด้วย”
“ก็เลยจะวานให้ผมไปขับรถแทน”
“ใช่ แกเคยขับบ่อยๆ ใบขับขี่ก็มี ช่วยพ่อหน่อยนะ งานนี้ไม่ต้องไปไกล ไปแค่จันทบุรีนี่เอง อีกอย่างเราไปกันเป็นขบวนจะมีรถตำรวจนำหน้า พ่อว่าแกน่าจะช่วยพ่อได้”
นักรบฟังๆ ดูแล้วก็พยักหน้า ถือโอกาสย้อนอดีตทำอะไรที่เคยทำนอกเหนือจากงานที่รัก แถมยังได้พักผ่อนไปในตัว
“ก็ได้ครับ ผมจะขับให้เอง ว่าแต่ไปกี่วันแล้วไปกี่คัน ไปที่ไหนพักอย่างไรล่ะครับ”
บิดายิ้มแล้วหยิบแพลนงานประจำกรุ๊ปส่งให้ดู ก่อนจะอธิบายทุกอย่างโดยละเอียดและรวดเร็วที่สุด จากนั้นร่างสูงก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวและเก็บเสื้อผ้าข้าวของที่จำเป็นใส่กระเป๋า โดยไม่ลืมหยิบแว่นกันแดดและหมวกแก๊บติดมือไปด้วย งานนี้เขาขอร้องไม่ให้บิดาบอกว่าตนเป็นใคร เขาจะแสดงตนเป็นคนขับที่เข้ามารับจ็อบพิเศษ เพื่อดูการทำงานของพนักงานทุกคนที่ออกทัวร์ไปพร้อมกันในครั้งนี้ ซึ่งบิดาก็เห็นด้วยจึงบอกทีมงานว่านักรบเป็นเพียงพนักงานชั่วคราวเท่านั้น
กว่าลูกทัวร์จะขึ้นรถครบทุกคน และกว่าจะใช้เวลาสำรวจความเรียบร้อยทุกอย่างจนเสร็จสรรพ ก็กินเวลาเป็นชั่วโมง เวลาที่แพลนเอาไว้จึงยืดออกไปอีก คนขับกิตติมศักดิ์ซึ่งแฝงตัวมาเป็นคนขับรถชั่วคราวก็เข้าประจำที่ นักรบคุ้นชินกับการขับรถบัสมาพอสมควรเพราะเติบโตมากับธุรกิจนี้ เขาถูกฝึกหัดให้จับพวงมาลัยตั้งแต่ 5 ขวบ และหัดเหยียบคันเร่งเจ้ายานพาหนะ 10 ล้อ (รถสองชั้น) นี่ตั้งแต่ 18 ปี จนบัดนี้ 32 แม้จะห่างหายแต่ความคุ้นเคยก็ยังมีอยู่ เขาเคลื่อนรถบัสคันใหญ่ลวดลายการ์ตูนสีสันสะดุดตา ซึ่งตกแต่งภายในระดับวี.ไอ.พี. เรียกว่ามีพร้อมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทีวี เครื่องเล่นซีดี คาราโอเกะ และห้องน้ำเล็กๆ ในยามจำเป็นที่ชั้นล่าง ทุกอย่างแม้จะไม่ใช่ของใหม่แกะกล่อง แต่ก็สะอาดเอี่ยมน่าจับต้องไม่น้อย
ในห้องคนขับ นักรบจะมีเพื่อนเป็นผู้ช่วย 1 คน ชื่อเอกพล เป็นเด็กหนุ่มอายุไม่เกิน 25 ปี แต่หน่วยกร้านก็ดีพอตัว เอกพลเป็นคนคุยเก่งและเป็นฝ่ายชวนนักรบคุยก่อน
“พี่มารับงานพิเศษเหรอ แล้วงานประจำพี่ทำที่ไหนล่ะ”
“งานประจำพี่อยู่กลางทะเลกับชายฝั่งน่ะไอ้น้อง บางทีก็อยู่บนบกไม่ก็โน่นบนฟ้า”
“โห...พี่ทำงานอะไร ทำไมอยู่ทุกที่เลยล่ะ”
นักรบยิ้ม จะให้บอกหรืออธิบายมากไปกว่านี้ก็คงไม่ได้ บอกไปมีหวังความลับเปิดเผย
“รับจ้างน่ะไอ้น้อง แล้วเอ็งล่ะ ทำงานที่นี่มานานรึยัง”
“เรียกผมว่าเอกก็ได้นะพี่ ผมทำงานกับลุงแดงมา 2 ปีแล้ว ผมชอบนะได้เที่ยวไปเรื่อย สนุกดี แล้วพี่ล่ะชื่ออะไร ผมยังไม่รู้ชื่อพี่เลย”
“เรียกพี่รบก็แล้วกัน”
และก่อนที่ทั้งคู่จะพูดคุยกันต่อ เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นอยู่บนหัว ซึ่งเป็นชั้นสองของรถบัสปรับอากาศคันนี้
“สวัสดีค่ะ มาเจอกันอีกครั้งนะคะกับ...กับ...เอ...ไหนตอบสิคะว่าคนสวยคนนี้ชื่ออะไร” คนที่บอกว่าตัวเองสวยหัวเราะในตอนท้าย
นักรบหุบปากฟังเสียงหวานของเธอคนนั้นอย่างตั้งใจ เสียงหวานแบบนี้เป็นเสียงผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัย เสียงของเธอมันทำให้เขาอยากเห็นหน้าตาของเธอขึ้นมาตะหงิดๆ อยากรู้ว่าจะสวยเหมือนเสียงหรือเปล่านะ
“คิตตี้” ฝ่ายลูกทัวร์ที่นั่งอยู่ช่วงหน้าตอบ
“ชาคริต” แต่ฝ่ายลูกทัวร์ที่นั่งอยู่ช่วงท้ายของรถบัสตอบไปอีกอย่าง ก่อนจะมีเสียงทั้งผู้ชายผู้หญิงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“ว้าย...ไม่เอานะคะ ไม่พูด ชาคริตไม่ชอบอ่ะ เค้าชื่อชาครียาไม่ใช่ชาคริตซะหน่อย เดี๋ยวมีงอน” ไกด์สาวโต้ตอบซ้ำยังสะบัดหน้าทำราวกับขุ่นเคือง แต่รอยยิ้มหวานกลับกระจ่างอยู่บนใบหน้าเรียว “ฮิ ฮิ ตอบใหม่สิคะ คราวนี้ถ้าตอบไม่ถูกใจ ดิฉันจะไม่แจกรางวัลนะ”
“คิตตี้” คราวนี้ตอบเป็นเสียงเดียวกันดังลั่นรถ เรียกเสียงหัวเราะจากไกด์สาวในทันที
“ถูกต้องค่ะ แหม...ที่ตอบเนี่ยอยากได้รางวัลกันใช่มั้ยล่ะ ถ้างั้นตอบให้คิตตี้ชื่นใจอีกครั้งซิ ต้องตอบถูกใจด้วยนะ ไม่งั้นคิตตี้ไม่แจก ฮิ ฮิ” เธอหัวเราะใส่ไมค์ นักรบจึงนึกเร่งเวลาให้เธอลงมาข้างล่างเพื่อเขาจะได้เห็นหน้าเสียที
“งั้นตอบมาก่อนว่าคิตตี้สวยมั้ย”
“สวย”
นักรบได้ยินคำตอบก็อมยิ้ม เสียงเธอสวยใบหน้าเธอก็คงสวยไม่ต่างจากเสียง เรื่องหุ่นคงต้องดูกันก่อน แต่เสียงแบบนี้ไม่น่าจะอ้วนหรอกนะ ชายหนุ่มนึกเสียดายที่เขาขึ้นประจำที่คนขับตั้งแต่มาตั้งขบวนรอ โดยไม่ลุกไปไหน ไม่งั้นคงได้เห็นหน้าแม่ไกด์สาวคนงามแล้วล่ะ
“ว้า...ตอบพร้อมกันทั้งคันรถแบบนี้ ของรางวัลคงไม่พอแจก ขอแจกเป็นแก้มของคิตตี้แทนล่ะกัน ดีมั้ยคะ ฮิ ฮิ ฮิ ล้อเล่นนะคะ ถ้าได้หอมแก้มคิตตี้กันทั้งคันรถ มีหวังคิตตี้คงแก้มช้ำแน่นอน เอางี้ ใครยกมือตอบก่อนรับรางวัลกันไปเลย นี่...” เธอยกเสื้อที่ถูกม้วนและผูกโบว์สีชมพูให้ดู “เป็นเสื้อสีสดใส เป็นของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้เราสนุกสนานกัน จะได้ไม่หลับ เอาล่ะนะ คำถามก็คือ คิตตี้สวยมั้ยคะ”
แล้วนักรบก็ได้ยินเสียงตอบ คนตอบก็ได้รางวัลกันไป เขาตั้งใจฟังว่าไกด์สาวจะหาอะไรมาเล่นสนุกอีก แล้วก็ได้ยินเสียงเธอสั่งให้ลูกทัวร์ทำโน่นทำนี่อยู่พักใหญ่ อยากรู้จริงเชียวว่าแม่ไกด์สาวชาครียาคนนี้เป็นคนยังไง
“เอาล่ะค่ะ เราจะแวะกันที่อ่าวคุ้งกระเบน เพื่อทานอาหารกลางวัน และให้เวลาพักผ่อนตามอัธยาศัย 1 ชั่วโมงนะคะ อากาศร้อนๆ อย่างนี้ อย่าลืมสวมหมวกใส่แว่นกันแดดเวลาเดินชายหาดนะคะ และใครพกครีมกันแดดติดตัวมาตอนนี้ก็โปะเคลือบผิวกันไว้ก่อนเลย ไม่งั้นถ้าผิวเสียจะหาว่าคิตตี้ไม่เตือนไม่ได้นะ แล้วที่ลืมไม่ได้เด็ดขาด บัสของเราคือบัส...บัสอะไรคะ ใครรู้บ้าง”
“บัสสี่จ้ะน้องคิตตี้” มีผู้ชายคนหนึ่งตอบเสียงดังฟังชัด “ตอบถูกแล้วจะให้รางวัลอะไรพี่ดีจ๊ะ” ต่อด้วยการเกี้ยวพาราสีสักเล็กน้อย
“พี่คนที่ตอบถูก อยากได้รางวัลอะไรจากคิตตี้คะ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไก่ย่าง เพราะคิตตี้ไม่อยากถูกเสียบ”
“ฮิ้ว...แบบนี้พี่ก็ขอรางวัลเต้นไก่ย่างไม่ได้แล้วสิ”
“ได้ค่ะ แต่ขอบอกว่าคิตตี้ไม่เต้นคนเดียว คุณพี่ต้องเต้นกับคิตตี้ด้วย ฮิ ฮิ”
คราวนี้คนที่นึกจะเกี้ยวพาราสีชาครียาเป็นอันหุบปาก เพราะอายหากจะเต้นท่าไก่ย่างให้ใครดู
“ไหน...ใครอยากเห็นคิตตี้เต้นไก่ย่างบ้าง”
ลูกทัวร์บนรถบัสยกมือขึ้นทันควัน มติดูเหมือนจะเป็นเอกฉันท์ ชาครียาจึงเปิดยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงซี่สวย
“ถ้าอยากเห็น คืนนี้เราจะมีการจัดรอบกองไฟกันที่ชายหาด พวกพี่ๆ จะต้องดันพี่ผู้ชายมาเต้นไก่ย่างกับคิตตี้ให้ได้ ขอบอกว่างานนี้คิตตี้จะเต้นแบบสุดสวิงริงโก้อีโต้บั้ม ฮิ ฮิ”
เสียงเฮลั่น คนที่ตอบถูกหน้าซีดเพราะยังไงงานนี้ต้องโดนเต้นท่าไก่ย่างแน่อย่างไม่ต้องสงสัย คนที่นั่งในช่วงท้ายของรถเฮฮาเป็นเชิงบอกว่า ‘ผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้’ แล้วผู้ชายทั้งแท่งจะน้อยหน้าไกด์สาวได้อย่างไร
“เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ฟังคิตตี้ก่อนนะคะ หลังจากได้พักผ่อนตามอัธยาศัยในเวลาที่กำหนด ทุกคนอย่าขึ้นรถผิดคันนะคะ รถทั้งหมดมี 8 คัน ของเราอยู่บัสที่ 4 จำไว้นะคะว่าบัส 4 แล้วเจอกับคิตตี้อีกครั้งหลังจากรถเคลื่อนขบวนค่ะ”
ชาครียา เอกบวรเลิศ หรือที่ทุกคนเรียกว่าคิตตี้ พาร่างอรชรอ้อนแอ้นเดินลงไปชั้นล่างของรถบัสซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วนระหว่างห้องคนขับและห้องโดยสาร เธอเดินไปหน้ารถแล้วส่งยิ้มให้เอก ก่อนจะปรายตามองโชเฟอร์ซึ่งขับรถนิ่มอย่างน่าเชยชม
โครงหน้าด้านข้างของโชเฟอร์หนุ่มดูคมคายเสียจนชาครียาแทบจะถอนสายตาไม่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีแว่นกันแดดที่เข้ากับรูปหน้าได้อย่างเหมาะเจาะและมีหมวกสวมอยู่บนศีรษะ ผู้ชายคนนี้ก็ดูน่ามองเท่าทวีคูณ ก่อนขึ้นรถเธอไม่เห็นเขาเลยไม่รู้ว่าวันนี้มีโชเฟอร์คนใหม่มาแทนคนเก่า
“พี่เอกคะ วันนี้เราได้โชเฟอร์คนใหม่รึเนี่ย คิตตี้นึกว่าเป็นลุงแดงคนเดิมเสียอีก”
เธอถามเอกอย่างเป็นกันเอง ในขณะนั้นนักรบจึงปรายตามามองซีกหน้าด้านข้างของไกด์สาว แล้วสิ่งที่เห็นเมื่อลอบกวาดสายตาไปทั่วร่างระหงอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้นาวาโทหนุ่มอย่างนักรบเกือบสะอึก เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น แต่เมื่อเปรียบเทียบผู้หญิงร่วมร้อยที่ผ่านเข้ามาในชีวิตกับเธอคนนี้ ดูทีรึแม่คนนี้จะได้คะแนนติดลบในเรื่องของรูปร่าง เขานึกว่าหล่อนจะสวยหยาดฟ้ามาดินเหมาะกับน้ำเสียงใสแจ๋วนั่นซะอีก แต่ทีเห็นแม้จะเป็นแค่ลำตัวด้านข้าง เขายังนึกแปลกในว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือกระไร
“ลุงแดงท้องเสีย ก็เลยมาขับรถให้ไม่ได้ วันนี้คิตเลยได้นั่งรถที่ขับนุ่มกว่าฝีมือลุงแดง ไม่ดีหรอกหรือ”
“ว้าย! บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้เรียกคิตตี้ ไม่ใช่คิตเฉยๆ น่าเกลียดจริงๆ เลยพี่เอก”
เสียงหวานที่เดี๋ยวต่ำเดี๋ยวสูงทำให้เปอร์เซ็นแห่งความสงสัยของนักรบนั้นเกือบเต็มร้อย ไม่ผิดแน่ แม่คนนี้ เอ๊ย! ยัยคนนี้ เอ๊ย! จะเรียกว่ายังไงดีวะ อ้อ...แม่กระเทยคนนี้ต้องเป็นสาวประเภทสองชัวร์!!!
“พี่ก็เรียกตามแม่เธอไง วันนั้นได้ยินแม่เธอเรียกแบบนี้ พี่ก็เรียกตาม นี่...ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้น่ะมันดีอยู่แล้วนะ คิตอย่างโน้น คิตอย่างนี้ ดีกว่าคิตตี้เป็นไหนๆ”
“อ๊าย!!! ฉันไม่พูดกับพี่เอกแล้ว งอน!” ว่าแล้วแม่ไกด์สาวก็พาร่างบางระหงหันหลังเดินไปในส่วนของห้องโดยสารชั้นล่าง
นักรบผินหน้ามองตามแค่เพียงเล็กน้อย เพราะใจนั้นฟันธงว่าเธอเป็นสาวประเภทสอง ก็มีอกไข่ดาวขนาดนั้น มองยังไง๊ยังไงก็ทำมา แถมยังโครงหน้าเรียวแล้วมีจมูกโด่งก็ดูจะเป็นดวงหน้าผู้ชายมากกว่าผู้หญิง น่าเสียดายที่เขาเห็นดวงตาเจ้าหล่อนไม่ถนัด ไม่งั้นคง...ขนลุกซู่ ที่ดันไปคิดวาดหวังว่าหากได้ใกล้ชิดเจ้าของเสียงหวานๆ ที่เจื้อยแจ้วอย่างสนุกสนานบนชั้น 2 เมื่อไหร่ คงมีความสุขดีพิลึก
อูย...ขนลุก
รถบัสคันที่ 4 ถูกบังคับให้เคลื่อนตัวเข้าไปจอดเรียงแถวที่ลานจอดรถ สถานที่ท่องเที่ยวอันลือชื่อแต่น่าเบื่อไม่น้อยสำหรับนักรบ เพราะเขาอยู่กับชายฝั่งและท้องทะเลมานานหลายปี แต่ต้องยอมรับอยู่ว่าทะเลที่ไหนก็ไม่สวยงามเท่าทะเลบ้านเรา
หลังจากที่ลูกทัวร์เข้าไปรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อย โชเฟอร์จำเป็นอย่างนักรบก็แยกตัวออกไปหาอะไรทานตามลำพัง ที่จริงอาหารเตรียมไว้พร้อมสำหรับเลี้ยงทุกชีวิตที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ แต่ชายหนุ่มเลือกจะปลีกตัวไปคนเดียวเงียบๆ
เมื่อลูกทัวร์ที่นั่งอยู่บนบัส 4 ทานเสร็จ ชาครียาก็เริ่มกระบวนการย่อยอาหาร เธอทั้งร้องและเต้นไม่ต่างจากสาวประเภทสองในสายตาของนักรบซึ่งจับจ้องมองอยู่ห่างๆ ทั้งท่าทางยั่วเย้าส่ายสะบัดดูยังไงเขาก็ว่าเธอต้องเป็นกระเทย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อาจถอนสายตาไปจากเธอได้ นั่นก็คือดวงตากลมทั้งคู่ ที่ประดับด้วยขนตายาวงอนเช้ง กลีบปากอิ่มย้อยลงมามีสีระเรื่อ มันทำให้อยากรู้รสชาติว่าจะเป็นเช่นไร
‘ไอ้บ้าเอ้ย!! มึงจะใส่ใจสาวเทียมให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ ปากอิ่มๆ นั่นก็คงถูกฉีด ขนตานั่นก็แค่ติดขนตาปลอม เดี๋ยวนี้ชายไม่แท้เลียนแบบผู้หญิงได้ง่ายจะตาย’
นักรบกร่นด่าความรู้สึกหวั่นไหว แค่ได้เห็นดวงตาและริมฝีปากของไกด์ที่เขาเข้าใจว่าเป็นสาวประเภทสอง น่าแปลกที่ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นกับเขา หรือว่า...เขาจะเป็นพวกรักร่วมเพศแล้วกระมังถึงได้มองเห็นดอกไม้เทียมสวยเท่าดอกไม้สด
‘เว้ย!!! ไม่ใช่เด็ดขาด’
ชายหนุ่มยืนมองเธอเต้นแร้งเต้นกาอย่างสนุกสนานโดยไม่คิดจะสงวนท่าทีอยู่ชั่วครู่ แล้วพาตัวหายไปจากหลังต้นสนต้นนั้น
เมื่อออกเดินทางกันต่อเพื่อจะไปยังโรงแรมที่พักระดับ 4 ดาว นักรบก็เข้าประจำที่คนขับ แล้วเคลื่อนรถไปตามขบวน ไม่กี่นาทีก็มาถึงโรงแรมที่พัก ลูกทัวร์ต่างหยิบสัมภาระข้าวของลงจากรถนำไปวางไว้ยังจุดที่ติดป้ายว่าเป็นที่วางสัมภาระของรถบัสคันไหน หลังจากนั้นก็เข้าห้องประชุมจัดเลี้ยงซึ่งทางโรงแรมเตรียมสถานที่ไว้เพียงพอกับลูกทัวร์ทั้ง 400 คน
เวลานั้นเองที่โชเฟอร์ทุกคนได้พักผ่อน นักรบเองพอทราบว่าจะได้พักที่ไหนอย่างไรเขาก็ขอกุญแจห้องจากประชาสัมพันธ์
“ต้องรอให้คณะลูกทัวร์ออกจากห้องประชุมก่อนนะคะ เราถึงจะแจกกุญแจห้อง” ประชาสัมพันธ์สาวบอกเขาเช่นนั้น
“ทำไมหรือครับ ผมเป็นโชเฟอร์ ตอนนี้ก็เสร็จงานของผมแล้วนี่นา ทำไมผมถึงยังไม่ได้เข้าห้องพักอีก”
“มันเป็นกฎของทางคณะทัวร์ค่ะ เมื่อก่อนจะแจกกุญแจให้ตั้งแต่ได้เข้าโรงแรม แต่พอถึงเวลากินเลี้ยงก็มีคนบางส่วนหายตัวขึ้นไปนอนก่อน”
“อ้อ...การแก้ปัญหาก็เลยเป็นแบบนี้สินะ สรุปว่าผมต้องรอให้ลูกทัวร์ 400 คน ออกมาจากห้องประชุมนั่น ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมง ถ้างั้นผมขอไม่ใช้สิทธิ์โชเฟอร์ที่มากับคณะทัวร์แล้วกัน เปิดห้องใหม่ให้ผม 1 ห้องนะ”
“เอ๊ะ! ห้องที่นี่ คืนละ 1,800 บาท เป็นห้องที่ถูกที่สุดนะคะ”
“ไม่ต้องกลัวว่าผมจะจ่ายเองไม่ได้หรอกน่ะ คุณมีหน้าที่บริการก็บริการไปเถอะ เอ้านี่” นักรบส่งเครดิตการ์ดสีทองให้ประชาสัมพันธ์ของโรงแรม “ผมขอห้องที่อยู่ในชั้นเดียวกับไกด์ หวังว่ามันจะยังมีเหลืออยู่บ้าง” บอกความประสงค์แล้วกระตุกมุมปากมอบรอยยิ้มกระชากใจสาวอย่างตั้งใจ
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
“ขอบคุณครับ” เขาถอดแว่นกันแดดออกแล้วขยิบตาข้างหนึ่งให้สาวๆ ความหล่อล่ำกระชากใจเรียกรอยยิ้มหวานจากสาวๆ ประชาสัมพันธ์ได้ไม่ยาก
รอสักครู่เดียวกุญแจห้องในชั้นที่ต้องการก็อยู่ในมือ สวัสดิการการเข้าพักของไกด์ก็เหมือนสวัสดิการของพนักงาน บริษัทไม่มีทางจะให้พักห้องละคนอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ต้องไม่ต่ำกว่า 3 คน เป็นการประหยัดงบประมาณไปในตัว เพราะห้องพักของโรงแรมระดับนี้มีราคาสูงพอสมควร
“อ้าว...มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ”
ชายหนุ่มเกือบสะดุ้งไม่ใช่เพราะเสียงดังอยู่ข้างหลัง แต่เพราะเป็นเสียงหวานที่หลอกหลอนเขาอยู่ในหัว ยัยไกด์กระเทยนั่นจะเรียกทำไมกัน
นักรบสวมแว่นกันแดดปิดบังดวงตาเช่นเดิม ก่อนจะหันไปมองเห็นเธอเอียงหน้ามองเขาราวจะจับผิด แต่เขากลับยืดอกแกร่งๆ อวดโอ้ว่าเขาเป็นชายแท้ต้องการแต่ผู้หญิง ไม่ใช่ชายก็ได้หญิงก็ดี
“ผมมาขอกุญแจห้องพัก”
“ยังไม่ได้เวลารับกุญแจเลยนะคะ ต้องรอให้ลูกทัวร์ออกจากห้องประชุมก่อนนะ” ชาครียาอธิบาย
“แต่ผมเหนื่อย อยากพัก”
“ถ้าคุณเอาไปตอนนี้ วินัยที่วางไว้ก็เสียหมดน่ะสิ ทำไมคุณไม่ออกไปเดินเล่นหรือนอนรออยู่ในรถก่อนล่ะ”
“ในรถที่ดับเครื่องน่ะร้อนจะตายชัก ใครจะไปนอนรออยู่ไหว จะติดเครื่องนอนรอจนกว่าจะได้เวลา ก็ก่อให้เกิดมลภาวะเป็นพิษเอาเปล่าๆ คุณนี่ไม่รักโลกเอาซะเลยนะ”
ชาครียาเริ่มฉุนกึก เธอก็พูดอธิบายดีๆ แล้วทำไมเขาไม่ยอมฟังกันบ้าง รอนิดรอหน่อยทำเป็นไม่ไหว อีตานี่นิสัยยอดแย่จริงๆ เลย
