ตอนที่5 กำลังใจ
ตอนนี้ฉันยืนอยู่ในห้องที่หรูหราและกว้างขวางห้องหนึ่งเรียกได้ว่ามันใหญ่พอๆ กับบ้านหลังหนึ่งเลย ห้องที่ทั้งชีวิตฉันไม่มีปัญญาเข้ามาเหยียบได้ด้วยตัวเอง ถ้าหากไม่มีเขา คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าชีวิตของฉันตอนนี้
หลังจากวันนั้นที่ฉันตกลงที่จะเป็นผู้หญิงของเขา เขาก็บอกสิ่งที่ฉันต้องทำอย่างง่ายๆ และไม่มีอะไรเยอะ นั่นก็คือ
ระหว่างที่ฉันเป็นผู้หญิงของเขา ฉันไม่มีสิทธิ์ยุ่งกับผู้ชายที่ไหน ฉันต้องลาออกจากงานที่ฉันทำทุกอย่างแต่เขาจะให้เงินเดือนฉันแทนทุกเดือนระหว่างที่ฉันยังอยู่ในการดูแลของเขา เรื่องค่ารักษาของย่า เขาจะรับผิดชอบทุกบาทรวมทั้งจ้างคนดูแลให้ด้วย ฉันจะเยี่ยมย่าตอนไหนหรือไปทำอะไรก็ได้ แต่ต้องห้ามนอนที่นั่นหรือที่อื่น เพราะเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าวันไหนเขาจะมาหาฉันบ้าง แล้วถ้าวันที่เขามา เขาจะต้องเจอฉันอยู่ที่ห้องตลอด(หมายถึงตอนกลางคืน) ห้องที่เขาพึ่งจัดการซื้อให้ฉันใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ ที่มันทั้งหรูหราและกว้างขวาง และมันใกล้ทั้งโรงพยาบาลของย่าที่เขาจัดการย้ายมาอีกโรงพยาบาลหนึ่ง และมหา’ลัยของฉันนั่นเอง
และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาย้ำกับฉันนั่นก็คือ ห้ามเอาเรื่องนี้ไปพูดบอกใคร และฉันไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาทั้งสิ้น และถ้าฉันไม่อยากเสียใจ ก็ห้ามรักเขา
แต่ถึงเขาไม่บอก ฉันก็คงไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครหรอก เพราะแค่นี้ฉันก็อายตัวเองจนไม่รู้จะมองตัวเองยังไง แล้วคิดว่าถ้าคนอื่นรู้ เขาจะมองฉันแบบไหนล่ะ ฉันไม่ได้แคร์ความคิดของคนอื่นหรอก แต่ฉันกลัวว่าเรื่องมันจะลามจนวันหนึ่งเข้าหูย่าฉันได้ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ กันไว้ก่อนดีกว่า
“หึ!” ฉันแค่นหัวเราะออกมาอย่างสมเพชตัวเอง พอมองย้อนกลับมามันก็เป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออก หรือแทบจะขำออกมาทั้งน้ำตาก็ว่าได้
นี่สินะชีวิตคนเรา อะไรก็ไม่แน่นอน อย่างชีวิตฉันตอนนี้ไง ที่เคยคิดว่าจะไม่พาตัวเองเดินเข้าไปเป็นเมียน้อยใคร ไม่ขายศักดิ์ศรีให้ใคร
แต่สุดท้าย กลับกลายมาเป็นเด็กเลี้ยงของผู้ชายที่เจอกันสองครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะทางเลือกที่มีอยู่แค่ทางเดียว
“ย่า เป็นยังไงบ้างจ๊ะ” ฉันถามย่าขึ้นหลังจากมาเยี่ยมท่านหลังเลิกเรียน
เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เลิกเรียนมาได้มีเวลาอยู่กับย่านานๆ ไม่ต้องรีบไปทำงาน ถึงแม้ว่าผลจากการรักษาของย่าตอนนี้จะเป็นไปในทางที่ดี แต่ก็ยังไว้ใจอะไรไม่ได้เพราะเชื้อพวกนี้มันลุกลามได้รวดเร็วมาก ฉันเลยอยากมีเวลาอยู่กับย่าให้มากที่สุด
“ย่าสบายดี” ย่าตอบกลับด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกครั้งแต่ก็ไม่ได้สดใสมากเหมือนเมื่อก่อน เพราะผลข้างเคียงทำให้ย่าดูซึมๆ
“ย่าหิวไหม เดี๋ยวกานหาอะไรให้กิน” ฉันถามย่าขึ้น
ย่าส่ายหัวด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะมองหน้าฉัน แล้วพูดขึ้น
“กาน พาย่ากลับบ้านเถอะนะลูก ย่าอายุขนาดนี้แล้ว ถึงรักษาหายจากโรคนี้ ไม่นานย่าก็ตาย...”
“อย่าเอาเงินเอาทองมารักษาย่าเลยนะ” ย่าพูดขึ้น และเป็นแบบนี้ตลอดเวลาที่ฉันมาเยี่ยมแล้วย่าตื่น
ย่าจะกังวลอยู่เรื่องนี้ตลอด เพราะครั้งแรกที่ท่านตื่นมาแล้วเห็นว่าตัวเองอยู่โรงพยาบาล ย่าก็รบเร้าให้ฉันพากลับบ้าน แต่ฉันไม่ยอม
แล้วยิ่งอีกรอบที่ตื่นมาแล้วเห็นว่าถูกย้ายมาอยู่ห้องพักพิเศษ ย่าก็ยิ่งตกใจหนักกว่าเดิมและถามว่าฉันจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย มันสิ้นเปลือง ไม่รักษาแล้วนั่นนี่ ฉันต้องโกหกว่าฉันหางานเพิ่มอีกที่ แล้วเจ้าของที่ทำงานเป็นคนรวยมากๆ เลยให้ยืมเงินไม่คิดดอก
“ย่าเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว แล้วก็ไม่ต้องสนใจเรื่องเงิน กานมีย่าคนเดียว ต่อให้เหนื่อยและหนักหนายังไง กานก็ไม่ยอมปล่อยให้ย่าเป็นอะไรเด็ดขาด” ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าอนาคตคนเราก็ต้องมีจุดจบเดียวกัน
แต่แล้วยังไง การสูญเสียที่เกิดขึ้นช้า มันก็ดีกว่าเร็วไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นไปได้ไม่มีใครอยากพบกับการสูญเสียอยู่แล้ว แต่เรื่องแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ อย่างน้อยก็พยายามทำทุกอย่างที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็ยังดี
“แล้วเรื่องเรียนละลูก กานไม่ได้หลอกย่าใช่ไหม” ย่ายังคงถามถึงเรื่องนี้ทุกครั้ง เพราะย่ากลัวว่าฉันจะออกจากเรียนแล้วไปทำงานหาเงินมารักษาย่าอย่างเดียว
ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ตอนนั้นฉันยังพอมีสติคิดให้รอบคอบจนไม่ได้ตัดสินใจลาออก ไม่งั้นฉันคงรู้สึกผิดกับย่ามาก ที่ให้ย่านับวันรอที่จะได้เห็นฉันประสบความสำเร็จด้านการเรียน
“ย่าเชื่อกานนะ กานรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ย่าเฝ้ารอ กานจะคว้าใบปริญญามาให้ย่าให้ได้” ฉันกุมมือย่าแล้วตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
หมอบอกเสมอว่าโรคแบบนี้และไม่ว่าจะโรคอะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดมากกว่าการรักษา ก็คือกำลังใจ หากคนไข้มีกำลังใจจะสู้ และมองโลกในแง่บวกควบคู่ไปกับการรักษา มันจะเป็นผลดีมาก และนั่นก็ทำให้ฉันพยายามพูดทุกอย่างเพื่อให้ย่าสบายใจและไม่คิดมาก ถึงแม้บางอย่างฉันต้องโกหกท่านไปก็ตาม แต่คำโกหกที่ทำให้รู้สึกดี มันก็ดีกว่าการพูดความจริงแล้วทำให้รู้สึกเจ็บปวดไม่ใช่เหรอ
ฉันนั่งคุยกับย่าต่อไปเรื่อยๆ จนย่าเริ่มเพลียและหลับไป ฉันก็ยังคงเฝ้าย่าอยู่แบบนั้น ไม่อยากห่างไปไหน อยากอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา อยากนั่งมองหน้าย่าแบบนี้ไปนานๆ
แต่ฉันก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะว่าฉันมีอีกหนึ่งหน้าที่ ที่ต้องทำเพื่อตอบแทนกับสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ฉัน
