ตอนที่1 จุดเปลี่ยน
กานพลู
“คุณหมอ... บอกว่าย่า เป็นอะไรนะคะ” ฉันถามหมอขึ้นเสียงสั่นหลังจากได้ยินสิ่งที่หมอบอกไปก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่ฉันคิดว่าตัวเองคงหูฝาดไปก็เท่านั้น
“คุณย่าปราณีป่วยเป็นมะเร็งลําไส้ ระยะที่สามแล้วครับ” คุณหมอย้ำออกมาอีกครั้ง และมันก็เป็นคําพูดประโยคเดียวกับครั้งแรก
ฉันไม่ได้หูฝาดไป ย่าไม่สบายจริงๆ
“แล้วต้องทํายังไงบ้างคะ มีโอกาสหายไหมคะ” ฉันถามหมอออกไปอีกครั้งด้วยความร้อนรนทันที
ตอนนี้ขอแค่เพียงให้ย่าปลอดภัย อะไรฉันก็ยอม
“ที่ทําได้ตอนนี้ ต้องรีบทําการผ่าตัดนําต่อมน้ำเหลืองออกให้มากที่สุดครับ และต้องทําเคมีบําบัดเพื่อไม่ให้มะเร็งฟื้นตัวและระงับการลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ...”
“ส่วนโอกาสหายนั้นมีอยู่สี่สิบถึงหกสิบเปอร์เซ็น ขึ้นอยู่กับการรักษาดูแลครับ” อย่างน้อยโอกาสรอดของย่าก็ครึ่งหนึ่งเลย นั่นหมายความว่าย่าอาจจะหายก็ได้งั้นสิ
“ค่ะ คุณหมอทํายังไงก็ได้ รักษาย่าหนูให้หายด้วยนะคะ” ฉันตอบตกลงออกไปโดยไม่ต้องคิดอะไรมากหลังจากได้คําตอบที่แน่ชัดแล้ว
“ครับหมอจะพยายามอย่างเต็มที่”
“เอ่อ แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายล่ะคะ” ฉันไม่ลืมถามอีกเรื่องที่สําคัญเหมือนกันออกไป เพราะเรื่องเงิน ถือว่าเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุดสําหรับการต่อชีวิตของย่าฉันเลยก็ว่าได้ เพราะว่าครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยอะไร
“ค่าใช้จ่ายโดยคร่าวๆ อยู่ที่ประมาณหนึ่งถึงสองแสนกว่าบาทครับ”
“สองแสน เหรอคะ” เสียงที่เคยมีความมั่นใจก่อนหน้านี้กลับแผ่วเบาจนฉันเองแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองเหมือนกัน
“ครับ แต่ทางเราแบ่งจ่ายเป็นรอบที่มารักษาได้ครับ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณหมอรักษาย่าหนูได้เลยค่ะ” ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าไหร่ ฉันก็จะหามารักษาย่าให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทํางานหนักแค่ไหน ฉันก็จะยอม เพราะว่าชีวิตฉันมีย่าเพียงคนเดียว ฉันจะเสียย่าไปตอนนี้ไม่ได้ ตอนที่ฉันยังไม่ได้ดูแลทดแทนคุณท่านเลย
สวัสดีค่ะ ฉันกานพลู ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ปี4 มหา’ลัยรัฐฯแห่งหนึ่ง นิสัยฉันก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีทั้งด้านดีและไม่ดี
ตั้งแต่เรียนมา ฉันสอบชิงทุนตลอดจนสามารถได้ทุนเรียนจนจบปริญญา เพราะว่าฉันอยากช่วยย่าประหยัดเงิน และระหว่างเรียน ฉันก็ทํางานพิเศษตลอด
ฉันอยู่กับย่าสองคน ฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไร เรียกได้ว่าหาเช้ากินค่ำก็ได้ แม่ฉันเสียจากอุบัติเหตุรถชนตั้งแต่ฉันยังจำความไม่ได้ ส่วนพ่อฉันท่านเสียไปเมื่อหลายปีก่อนด้วยโรคร้ายแรง(โรคเดียวกับยาย) ทำให้ฉันอยู่กับย่าเพียงสองคนตลอดมา
หลังจากฉันคุยกับหมอเสร็จ ฉันก็กลับมาหาย่าที่ห้องพักคนป่วย เป็นห้องพักรวมสิบเตียง เฉพาะคนไข้ที่มีอาการหนักพอสมควร ฉันใส่หน้ากากอนามัยเดินเข้าไปที่เตียงของย่าก่อนจะมองท่านที่นอนหลับอยู่
“ทําไมย่าไม่เคยบอกกานเลย ย่าไม่สงสารกานเหรอ” ใช่ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าย่าป่วย เพราะย่าไม่เคยบอกอะไรฉัน
ท่านบอกแค่ว่าท่านป่วยเป็นโรคคนแก่ธรรมดาๆ แค่นั้น แล้วฉันก็ไม่ค่อยได้มีเวลากลับบ้านทุกวัน เพราะว่าบ้านฉันกับมหาลัยค่อนข้างไกลกันมาก แล้วฉันทํางานพิเศษหลังเลิกเรียน ทําให้เลิกงานดึก ย่าเป็นห่วง ท่านเลยขอให้ฉันหาหอพักอยู่ และฉันก็ไม่อยากให้ย่าเป็นห่วง บวกกับคิดถึงความปลอดภัยของตัวเองด้วย เพราะยังไงก็ผู้หญิง
ที่ผ่านมาเวลาฉันโทรหาย่า ย่าทําตัวสดใส แข็งแรงเหมือนท่านไม่ได้เจ็บป่วยอะไร จนฉันก็หลงเชื่อว่าท่านปกติทุกอย่าง จะมีก็แค่โรคชราของท่านที่เริ่มแก่ตัวลงเท่านั้น
แต่อยู่ๆ ฉันกลับได้รับสายจากป้าข้างบ้านว่ายายปวดท้องหนักจนต้องส่งตัวมาโรงพยาบาล จนฉันได้รู้ ว่าย่า เป็นมะเร็งระยะที่สามแล้ว
“กานจะทําทุกอย่างเพื่อให้ย่าหาย ย่าต้องสู้นะ ย่าจะต้องอยู่ดูวันที่กานประสบความสําเร็จให้ได้นะ”
และนี่ก็คงจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตฉัน...
