ตอนที่ 5 ใต้หล้าที่เหนือกว่า
“หนูจะเล่า ถ้าพี่ใหญ่พอ” เธอตอบ
“เรื่องนั้น...ฉันก็คิดว่าตัวเองไม่เล็กนะ เทียบกับเพื่อน ๆ ในกองแล้ว ก็สู้ได้อยู่” เขาตอบ ทำเอาคนฟังหน้าแดงพรืดขึ้นมา
เธอ...คิดอะไรอยู่ ไม่สำคัญหรอก
ที่ฉันพาเธอออกมาข้างนอก เพราะในห้องนอนมันอันตรายสุด ๆ ฉันอาจจะตะครุบเธอทั้งคืน แค่เธออาบน้ำฉันก็จินตนาการเตลิดไปแล้ว ไหนจะไอ้ชุดเสื้อลายพรางที่ไม่พรางอะไรนั่นอีก
ร่างกายสองคนต่างร้อนรุ่ม เสียงหายใจและไออุ่นที่รินรดไล่ตามซอกเนื้ออ่อนจนร่างบางเสียวซ่านหวามไหว เผลอหดกายหนี แต่ลิ้นสากที่เฉอะแฉะของเขากลับลากโลมเลียมไปเรื่อย
จากเพียงแค่ขอสัมผัสกลิ่นกาย กลายเป็นแตะปลายจมูกลงบนผิวละเอียด ปากอ้างับดูดดึงให้หญิงสาวตกใจจนเผลอร้องออกมา
“แค่นี้ก็กลัวจะแย่ ทำไมถึงกล้ามายังมีหน้ามาขอเป็นเมียอีกนะ”
“…….” คนตัวเล็กกัดริมฝีปาก กดจนเห็นร่องสีแดงเรื่อ ฉันโน้มใบหน้าเข้าใกล้ ก่อนจะส่งลิ้นเลียเพื่อช่วยให้คนตื่นเต้นจนปากแห้ง คอแห้งนั้นมีน้ำชุ่มชื้น
“ยัยบ้าเอ๊ย…เรื่องขอใช้นามสกุลแค่นี้ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันนี่แหละ อาทิตย์พาณิชตัวจริง”
“หนะ...หนู...”
“ถ้าอยากเป็นนัก ก็ต้องทนให้ได้”
แล้วทุกอย่างก็ขาดผึงลงพร้อมกับสติที่ควรมี เพราะฉันกระแทกเอวสอบเข้าจนช่องทางรักที่เล็กและคับแคบนั้นคายน้ำหวานออกมาหล่อเลี้ยงไม่ทันรับจังหวะ
ฉันจะทำจนเอวบางลอยแอ่น พร้อมเสียงครางเพราะไม่เคยมาก่อน เธอคงพยายามหาทางเอาตัวรอดจากความรู้สึกมากมายที่พุ่งเข้ามา และพบว่าหากได้ร้องออกไป เธอจะรู้สึกดีขึ้น
“อ๊า~”
“เสียงยิ่งกว่าหนัง AV อีกนะ”
“อย่า…ค่ะพี่ใต้หล้าขา”
“อย่าอะไร…ตอดฉันขนาดนี้”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ…หนูอายนะ”
“นี่เธออายเหรอ เด้งเอวสิ ทำให้มันสุด ไม่ใช่มานอนกินแรงให้พี่เอาคนเดียว”
แล้วฉันจะแกล้งดุให้เธอต้องร้องไห้ จากนั้นฉันจะจูบซับน้ำตาคนที่ตอดรัด ฉันจะใช้ปากสร้างความสุข ปรนเปรอสองเต้านุ่มที่ยกขึ้นลงตามแรงลมหายใจ
“หนูเสียว~”
“นี่แหละ งานที่เธออยากทำนักหนา ยกสะโพกแล้วกระแทกขึ้นมา ให้มิดโคน ถ้าเธอกั๊ก หรือทำไม่ถึง ฉันจะรู้”
“ฮือ…ไอ้บ้า…ก็คนมันทำไม่เป็น”
“ไม่เป็นงาน แล้วอยากได้งานเหรอ โลภไปแล้ว”
เสียงรัวตับใหญ่กระแทกเสียจนคนใต้ร่างตัวสั่น ผมสยาย หยาดเหงื่อผุดตามผิวกาย เสียงครางอื้ออึงดังอยู่ตลอดเวลา
และทั้งคืนที่ไม่มีช่องว่างระหว่างกายนานเกินไป ถุงยางชิ้นแล้วชิ้นเล่า เสียงแหบแห้งของเธอ หรือเสียงคำรามยามเขาถึงฝั่งฝัน เซ็กซ์ดุดันที่ระบายใส่คนไร้เดียงสาที่กล้ามาขอยื่นข้อเสนอบ้าบอ ทั้งที่เขาอุตส่าห์ไว้ชีวิตเธอมาตั้งกี่หน
หญิงสาวหลับอย่างคนหมดสภาพ แต่ฉัน...คนที่สอนประสบการณ์คืนแรกให้เธอนั้น กลับนั่งหลังพิงหัวเตียง สูบบุหรี่สบายใจ...อ้อ ไม่ใช่สิ เราไม่มีเตียงนี่
.
.
.
“ฮ่า ๆ ตลก! หนูหมายถึงอำนาจสิ ไม่ใช่ไอ้นั่น” เธอตอบเสียงดัง จนนกกาในป่าส่งเสียงร้องตีปีกบินแตกรังกันวุ่น พอ ๆ กับการเรียกสติใต้หล้าให้เลิกจินตนาการอะไรอยู่คนเดียว
“พี่คงคิดแบบนั้นล่ะสิ ป๋าคะ ช่วยหนูหน่อย หนูขอถวายตัวหนูให้ป๋าเป็นค่าตอบแทนนะคะ ฮ่า ๆ นิยายมากแม่ ฮ่า ๆ” คนตัวเล็กหัวเราะไม่หยุด ทำเอาใต้หล้าหงุดหงิด
“เรื่องนั้น ฉันไม่ใหญ่ แต่ฉันไม่เคยกลัวใคร” เขาพูดราวกับเมื่อครู่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในสมองเลย นอกจากเรื่องข้อเท็จจริงของอำนาจและบารมีครอบครัว
“ไม่เอา ไม่พอ แบบนั้นเล่าไม่ได้” ดวงตากลมโตมองเขา เธอโบกมือปฏิเสธอย่างจริงจัง
“ทำไม เรื่องของเธอมันคอขาดบาดตายเหรอ
เธอไปมีเรื่องกับนักการเมืองหรือมีปัญหากับคนดัง อะไรแบบนั้นเหรอ” เขาถาม กระป๋องเบียร์ในมือถูกวางลงกับแผ่นไม้เรียบ ๆ ที่จัดวางไว้อย่างเหมาะเจาะ
“เอาเถอะ ถ้ามันเรื่องเล็ก คนแบบเธอคงไม่หนีออกจากบ้านหรอกใช่มั้ย” ใต้หล้ายกยิ้ม
และเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นแววตาอ่อนโยนกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร สิ่งสำคัญคือ เขาส่งมันให้เธออย่างตรงไปตรงมา
“เคยมีคนคนหนึ่งพูดว่า ธรรมชาติ คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เรื่องนั้นฉันไม่เถียงเลย ไม่มีใครเอาชนะธรรมชาติได้ แต่ถ้าถามว่า ในประเทศนี้ ครอบครัวไหนใหญ่ที่สุด ฉันเองก็ไม่เถียงเหมือนกัน ที่ฉันเติบโตในครอบครัวแบบนั้น
ถ้าพูดแบบนี้ เธอพอเข้าใจมั้ย” ใต้หล้าถาม
“พี่เป็นอาทิตย์พาณิช จริง ๆ ใช่มั้ย”
“อือ”
“แล้วพี่เป็นอะไรกับอีกคนที่หน้าคล้าย ๆ กัน...เออ เอาจริง ๆ พี่หน้าเหมือนกันมาก แต่รูปร่างต่างกันนิดหน่อย”
“เธอรู้จักมันเหรอ”
“ไม่รู้จัก เอ้อ รู้จัก แต่คือ ไม่ได้อยากรู้จักน่ะค่ะ” หญิงสาวไม่รู้จะพูดอย่างไร
ท้องฟ้าเริ่มสลัวลงเรื่อย ๆ ใต้หล้าลุกเดินไปหยิบบรรดาบาร์บีคิวที่แม่บ้านทำเตรียมไว้ให้ เขาไปยืนเขี่ยให้เตาไฟที่จุดไว้แค่เพียงฝั่งเล็กกระจายถ่านไปทั่ว ฟ้ารินเลยต้องลุกขึ้นมาดูด้วย
“ล้างมือก่อน” ใต้หล้าชี้ไปที่ถังแกลลอนสีฟ้า
“แล้วเอาน้ำออกมายังไง” เธอถาม
“อืม...นั่นสิ” ชายหนุ่มวางทุกอย่างในมือ แล้วเดินนำเธอ เขายกแกลลอนขึ้น จนกล้ามแขนเห็นชัดเจน ก่อนจะค่อย ๆ รินน้ำเทใส่ถังเล็กเท่าที่ใส่น้ำแข็งในร้านเหล้า
ฟ้ารินนั่งยอง ๆ ค่อย ๆ เทน้ำออกมาล้างมือ แล้วช่วยเทให้ชายหนุ่มด้วย
แกลลอนสีฟ้าถูกจับเทอีกรอบ คราวนี้ใต้หล้านั่งคุกเข่า ใช้มือจุ่มน้ำแล้วเอามาเช็ดตามเรียวขาที่เปื้อนโคลนของเธอ
“ทำอะไรอะ”
“ทำความสะอาด”
ใจก็อยากปล่อยเขาทำไป เพราะเธอหิว แต่ไอ้อาการจับเนื้อต้องตัวกันมันจะชวนคิดไปอย่างอื่น หญิงสาวจำต้องสงบนิ่ง ไม่ให้ตัวขยับไปมา รวมไปถึงสำรวมจิตใจไม่ให้คิดอะไรเกินเลย
ที่หน้าเตา ไอความร้อนระเหยขึ้นมาเป็นระยะ ๆ สองคนยืนปิ้งบาร์บีคิวเสียบไม้ ที่มีมากเกินกว่าจะกินกันแค่นี้ เธอลอบมองเขาตลอด เพราะความหล่อเหลาที่ชวนให้ใจเต้น และความกังวลว่าอาจมีวิกฤติอะไรเกิดขึ้น เหมือนในความฝันนั้น...เอ๊ะ! หรือฝันร้ายจะกลายเป็นดี
“มองอะไร” เขาถาม โดยไม่มองหน้าเธอ ทำเป็นปิ้งไก่ กลับหมู หมุนผัก เขี่ยถ่าน งานยุ่งไปหมดที่หน้าเตาแห่งนี้
“หนูรู้จักกับพี่ณคุณค่ะ แต่ถ้าคุณบอกว่าเป็นอาทิตย์พาณิช พี่ณคุณก็คือลูกจ้างพี่ใช่มั้ยคะ” เธอถาม
แต่ใต้หล้าไม่ได้สนใจจะตอบ เขาสนใจถามกลับเรื่องฝาแฝดตัวเองมากกว่า
“แล้วไงอีก เกี่ยวอะไรกับไต้ฝุ่น”
“คนนั้นชื่อไต้ฝุ่นเหรอคะ”
“ใช่”
“อ่อ เขาก็มาดเจ้านายแหละค่ะ ไม่นั่งโต๊ะร้านเหล้ากระจอก ๆ แล้วก็ทำหน้าตารังเกียจความจน” ฟ้ารินพูด
ทำเอาใต้หล้าแสยะยิ้ม
“แต่ถึงอย่างนั้น ก็ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะคะ หนูแค่ไม่ชอบขี้หน้าเฉย ๆ” เธอพูดต่อ
“ฉันกับมัน เป็นพี่น้องกัน”
“พี่น้อง...แล้วเป็นเจ้าของสนามแข่งเหรอคะ พี่เลยเอารถมาใช่มั้ย”
“ไม่ได้เป็นเจ้าของสนามแข่ง ราปิโดของณคุณ แต่รถของฉัน” เขาตอบ
“ราปิโดของพี่ณคุณ” ฟ้ารินค่อย ๆ ทวนคำพูดนั้น
“แปลว่า พี่ณคุณ คือ อาทิตย์พาณิชเหมือนกันเหรอคะ”
“ใช่ พ่อของพวกเราเป็นพี่น้องกัน ส่วนฉันกับไต้ฝุ่น เป็นแฝดกัน”
“OMG! ปริศนาไขกระจ่างหมดแล้ว ทั้งหน้าตาที่เหมือนกัน บัตรนั่น และการขโมยรถ” ฟ้ารินพูดออกมา ปริศนาบ้าบอของเธออันนี้ ใต้หล้าฟังแล้วอยากจะขำ
“หมดเรื่องฉันแล้วมั้ย” เขาถาม
“ยังค่ะ ๆ เราพากันมาบนนี้ทำไมคะ แล้วถ้าดึกแล้ว เราจะลงยังไง”
“ก็กลับได้” เขาตอบ “ยกเว้นเธออยากนอนที่นี่”
“บ้า ไหนพี่บอกเราต้องตัวติดกันไง พี่ไปไหน ฉันไปด้วย ยิ่งตอนนี้พี่คืออาทิตย์พาณิชแล้ว ฉันจะขอเกาะพี่ไว้ก่อนเลย”
ใต้หล้ายกยิ้มให้อีกครั้ง ส่งดวงตาที่ระยิบระยับผ่านเตาไฟปิ้งอาหาร
“แสบตาเหรอคะ มายืนฝั่งนี้มั้ย ต้นลม” เธอบอก
ชายหนุ่มยิ้มหนักกว่าเดิม...ฟ้ารินนี่ตลกดีจริง ๆ
“เธอชอบไอ้ฝุ่นเหรอ” เขาถาม
“บ้า ใครจะไปชอบ ชื่อยังไม่อยากจะจำเลย” เธอรีบปฏิเสธเสียงแข็ง
“ฉันขี่มอเตอร์ไซค์วิบากเก่งกว่า ไอ้ฝุ่นอาจจะกางเต็นท์ไม่เป็นด้วยซ้ำ เคยออกมาปีนเขามั้ยก็ไม่รู้ อีกอย่างฉัน แข็งแรงกว่า ว่ายน้ำชนะมัน ยิงปืนก็แม่นกว่าด้วย ฉันแบกมันได้สบาย ๆ”
“ดูทรงก็น่าจะแบบนั้นมั้ยคะ พี่เหมือนนักมวยปล้ำ ไม่ก็ทหาร หรืออาจจะเป็นนักมวย”
“แล้วไต้ฝุ่นเหมือนอะไร”
“นักธุรกิจผู้รวยล้นฟ้า จนเดินดินไม่ได้...เพราะนามสกุลอาทิตย์พาณิชเหรอ แต่...เอ...ก็ไม่น่าใช่เนอะ เพราะพี่ณคุณนิสัยดีมาก น่ารัก จิตใจดี สุภาพ แถมยังไม่เคยทำท่าทีให้รู้สึกว่าเราต่างระดับกัน”
“อ้าว! ณคุณก็ด้วยเหรอ” เขาโพล่งขึ้นมา
“ด้วยอะไรเหรอคะ”
“เธอก็ชอบณคุณเหรอ”
คำถามเขา ทำเอาเธอหัวเราะเขิน ๆ ถ้าเมื่อสองสามปีที่แล้วก็ใช่แหละ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
“ชอบมาก เคยชอบแบบกรี๊ด ๆ แล้วพี่เขาก็มีแฟน เลยอด แต่ตอนนี้คิดว่าดีแล้ว เพราะถ้าได้เป็นแฟนกับเขาจริง ๆ หนูคงร้องไห้ขี้มูกโป่ง เพราะฐานะเราต่างกันเกินไป”
แสดงว่าชอบณคุณมากกว่าไต้ฝุ่นสินะ ใต้หล้าวิเคราะห์จากท่าทีของหญิงสาว ผู้ชายคนนี้เปิดโหมดฟังแต่เรื่องที่เขาอยากฟัง ส่วนเรื่องฐานะแตกต่างอะไรนั่น ไม่ใช่ประเด็นที่เขาใส่ใจ
ใต้หล้าใช้ไม้แท่งยาว ๆ เขี่ยถ่านให้ร้อนมากขึ้น สมองคิดเรื่องที่จะพูด ส่วนฟ้ารินเริ่มมองไปรอบ ๆ ความมืดที่ครอบคลุม เสียงจักจั่นหรือแมลงอะไรสักอย่าง มันร้องดังใกล้ชิดจนรู้สึกเสียงก้องไปหมดในรูหู
“ฉันเก่งกว่าณคุณ” จู่ ๆ ใต้หล้าก็โพล่งขึ้นมา
“ฮะ!? เก่ง…อ่า...เก่งกว่ายังไงคะ”
“........” ใต้หล้ากำลังคิด ว่าเขาเก่งกว่าณคุณเรื่องอะไร ชายหนุ่มใช้สมอง มือก็หมุนพลิกไม้ย่างไปมา พอเห็นว่าได้ที่แล้วก็ยกขึ้นมาเป่าไล่ความร้อนออกไปให้
“อะ กินก่อนเลย” เขายื่นบาร์บีคิวไม้แรกที่สุกแล้วให้
“ว้าว...น่ากิน” หญิงสาวยิ้มกว้าง สงสัยกรี๊ดเยอะไปหน่อยตอนขึ้นเขา พอเจออาหารแบบนี้เข้าไปเลยหิวขึ้นมา
“ฉันทำอาหารเป็น อยู่กับฉันไม่มีอดตาย”
“อืม ดีค่ะ” เธอแยกริมฝีปากยิงฟันขาวขบกัน เพื่อกัดชิ้นเนื้อที่เพิ่งลงจากเตา กัดไป เป่าไป ชายหนุ่มจัดโซนนิ่งให้บรรดาบาร์บีคิวที่เหลือ เพื่อให้ค่อย ๆ สุกในพื้นที่ไฟอ่อน ส่วนตัวเองเดินมาหาคนที่ยืนต้นลม
มือหนาจับไม้แหลมยาวออกจากมือเธอ แล้วเป่าให้อีกครั้ง ใช้นิ้วจับเนื้อนุ่มฉีกออก ป้อน!
“.......” ฟ้ารินมองตาคนที่เอาอาหารใส่ปากเธออย่างไม่ให้ตั้งหลักทัน
“อร่อยมั้ย”
“อื้อ” เธอพยักหน้ารับที่เขาถาม แต่หัวใจเต้นระรัว อะไรกันเนี่ย ป้อนด้วยเหรอ บะ...บ้าไปแล้ว...
“ฉันทำอาหารเก่งกว่า อาจซ่อมรถไม่เก่งหรือขับ F1 ไม่ได้ แต่ณคุณขับเป็นแต่บนทางเลียบนะ ทางวิบากนี่ไม่ได้เรื่องเลย อีกอย่าง ฉันอยู่เมืองไทยน้อยกว่ามัน แต่พูดและใช้ภาษาไทยได้ดี ถูกต้อง ร.เรือ ล.ลิง ฉันควบกล้ำถูกหมดนะ ตอนอยู่กองทัพ ช่วงพักงาน ฉันคือครูสอนภาษานะ”
“อือ ๆ แล้วพี่จะอวดทำไมว่าตัวเองเก่งกว่าพี่ณคุณ”
“อ่า...” ใต้หล้าเป่าผักที่เก็บความร้อนไว้ภายในระอุจนควันลอยระบายออกมา เหมือนหัวใจเขานี่แหละ
“มันน่าจะหายร้อนแล้วนะ หนูถือเอง” เธอแย่งไม้กลับไป เพราะความหิวกำลังครอบงำ ปากเล็กอ้างับชิ้นเนื้อที่เสียบปลายไม้ กลีบปากอวบอิ่มที่มันแผล็บเพราะไขมันจากอาหารทำใต้หล้าอยากลองเลียให้หายเงาวับ
“หนูจะชื่นชมพี่ณคุณก็ไม่แปลกหรอกนะคะ หนูรู้จักพี่เขามาตั้งหลายปีแล้ว แต่พวกเราเพิ่งรู้จักกัน ส่วนอีกคนนั่นไม่นับ ไม่ได้อยากรู้จักหรอก ไม่เคยคุยจริงจังด้วยเลยสักครั้งเดียว และไม่คิดจะคุยด้วย” เธอพูด
“เธออาจรู้จักฉันมาก่อนแล้วก็ได้” เขาพูด
“ฮะ! พี่ว่าอะไรนะ เมื่อกี้เคี้ยวผักอะ เสียงดังลั่นหูมาก พี่ใต้หล้ากินอันนี้มั้ยคะ ถ้าไม่กินหนูขอ สงสัยมันอร่อยอะ เจริญอาหารมากแม่” คนตัวเล็กเคี้ยวแก้มตุ่ย กินอะไรก็อร่อยไปหมด ลืมเขินเรื่องที่เขาแอบป้อนเธอไปแล้ว
ใต้หล้าหันไปตั้งใจปิ้งไม้ที่เหลือ ความงง ๆ นิดหน่อยกับความพูดมากของตัวเอง แถมมีความคิดไร้สาระโผล่มาเป็นระยะ ๆ เขาอดทนได้ดีมาตลอด...ต้องไม่ทำลายความดีที่สั่งสมมา
ชายหนุ่มคิดอะไรเพลิน ๆ ร่างกายทำอะไรไป แทบไม่รู้สึกตัว ขายาว ๆ ก้าวเดินเลยไปหยิบเบียร์กระป๋องใหม่ มาเปิด ทั้งที่อันเก่าก็ดื่มค้างไว้
“แล้วเราจะกลับกันยังไงอะ ตอนฟ้าสว่างยังเบอร์นั้นเลย” เธอถาม
“เปลี่ยนใจแล้ว นอนด้วยกันที่นี่ดีกว่า” นี่ไงความดีที่สั่งสมมา...ถือเป็นแต้มบุญเอามาใช้แทนแล้วกัน
“เอ้า! จะดีเหรอ คือว่า...” เธอทำสายตาล่อกแล่กไปมา โน้มใบหน้าข้ามเตาไปหาอีกฝั่ง
“มันมีสัตว์ป่ามั้ย” เธอกระซิบ
“ถ้ามันมา ฉันจะปกป้องเธอเอง”
“กลับง่ายกว่ามั้ย” เธอถามอีกรอบ แต่คราวนี้ทำเสียงปกติ
ทีแรกว่าจะกลับแหละ แต่ตอนนี้อยากนอนค้าง
“พอดีฉันลืมคิดไปว่า ถ้าเราขึ้นมาแค่กินข้าวอย่างเดียวแล้วก็ลงไป คนที่ขึ้นมาช่วยเตรียมพวกนี้ให้ คงรู้สึกเหนื่อยสุด ๆ ใช้ไม่คุ้มค่ากับที่เขาอุตส่าห์แบกมา เรามาใช้ มากินของพวกนี้ให้หมด แล้วก็นอนเต็นท์ที่มีคนกางไว้ให้”
“ไหนว่ากางเต็นท์เก่ง”
“ฉันก็ช่วยกาง”
“ขี้จุ๊เหมือนกันนะคะ อาทิตย์พาณิชนี่”
“ฉันชื่อใต้หล้า อย่าเรียกทีเดียวทั้งตระกูลแบบนั้น”
“แล้วที่การ์ดเขียนว่าอะไรคะ อ่านไม่ทัน พอดีใช้เวลาทั้งหมดสะกดนามสกุลสุดยาวนั่นอยู่”
“เตชินท์”
“ง่อววว ชื่ออย่างเท่ แล้วพี่อีกคนล่ะ”
“ไต้ฝุ่น เมฆินทร์”
“เท่เหมือนกัน พี่ใต้หล้า เตชินท์ ไต้ฝุ่น เมฆินทร์เหรอ เออ ๆ เท่ อะ”
“ชื่อฉันแข็งแกร่งกว่า”
“จ้า” เธอตอบเขา แล้วหัวเราะ
“ดีที่หนูไม่มีพี่น้อง” ฟ้ารินพูดอีกที เห็นเขาชอบเอาชนะกันแล้ว พอนึกออก ที่เห็นณคุณกับไต้ฝุ่นชอบทะเลาะกัน คงเป็นอารมณ์แบบเดียวกันนี้
ใต้หล้ายกทุกไม้ที่สุกใส่จานกระดาษ มาที่ใต้หลังคาเต็นท์ พร้อมชวนหญิงสาวมานั่งกินด้วยกัน
“ที่บ้านหนูอยู่กับแม่ค่ะ มีพ่อเลี้ยง แล้วพ่อเลี้ยงก็ไม่ค่อยจะน่ารักเท่าไร”
“แบบไหน นิสัยไม่ดี หรือทำอะไรเธอ” ปากที่กำลังจะอ้างับบาร์บีคิว ถึงกับหยุดทันที
“ไม่ถึงขนาดขั้นเลวร้าย แต่มันก็เหมือนเขาเริ่ม ๆ ทำแบบนั้นแหละค่ะ แบบที่ผู้ชายพยายามทำกับผู้หญิง”
คำบอกเล่าสั้น ๆ เหมือนฟ้าผ่ากลางใจคนฟัง
“ไปฆ่ามันด้วยกัน!” เขาพูดแล้วลุกขึ้นยืน
“ไม่เป็นไร ตอนนี้หนีมาแล้ว” เธอพูดแล้วชักแขนให้คนตัวโตนั่งลง
“เป็นแบบนี้มานานหรือยัง” เขาถาม
“เหมือนจะเริ่มหนักขึ้นช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา” เธอตอบ
“รู้สึกแย่ว่ะ พ่อเธอชื่ออะไร”
“พ่อเลี้ยงเหรอคะ ชื่อ อุทัย”
“ไม่ต้องกลับไปที่นั่นอีก เธออยู่กินกับฉันนี่แหละ” เขาพูด ทำฟ้ารินมองหน้า รอยยิ้มจาง ๆ กำลังนึกขำในใจที่เขาใช้คำว่า อยู่กิน คงไม่รู้สินะว่ามันหมายความลึกซึ้งอย่างสามีภรรยานะ
“ตกลงมั้ย” เขาถาม
“ฮ่า ๆ ต้องตอบว่าอะไรล่ะเนี่ย หนูติดรถพี่มา แถมมาติดเขากับพี่อีก”
สองคนนั่งกินบาร์บีคิวกับเครื่องดื่มจนอิ่มแน่นท้อง สมองใต้หล้าเริ่มคิดง่วนไปหมด ยิ่งฟังความชื่นชมของเธอที่มีต่อบรรดาพี่น้องของเขาแล้ว รู้สึกไม่อยากปล่อยให้เธอสบายใจแบบนี้ ในเมื่อเขาอยู่ข้าง ๆ เธอ
จะทำอย่างไร…จู่โจมเลยดีมั้ย ฟ้ารินก็ดูแสบนิด ๆ ไม่น่าจะถึงขนาดร้องไห้หรอกนะ ถ้าเขาจะอยากสัมผัสเธอ…แถมยอมตามมาด้วยกันขนาดนี้
แสงดาวระยิบระยับเหมือนกับเป็นหลังคาใหญ่ที่ห้อมล้อมขุนเขาไว้ ดูก็รู้ว่านี่คือการจัดเตรียมไว้อย่างดี
เต็นท์กว้างใหญ่กับฟูกนอนที่ปูไว้เรียบร้อย หลังคาแบบที่มองเห็นดาวได้แบบนี้ช่างดีงาม
“แพงมั้ยคะ”
“ใช้ได้อยู่” เขาพูด แล้วถอดเสื้อตัวเองออก โยนไปที่พื้นอีกแล้ว
“ทำอะไรคะ” ฟ้ารินร้องถามเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อหันมาเห็นฉากเดิม ๆ เพราะรู้ว่าเขาก็เป็นลูกช่างถอด ไม่ค่อยแคร์สายตาใคร
“เราอยู่กินกันก็ต้องจริงจังหน่อยแล้วล่ะ”
“หา!?!?!?!?”
หมับ!
แล้วฉันก็เดินเข้ามาอุ้มเธอ ใบหน้าที่สูงลอยขึ้นไปกับช่วงขาที่เกี่ยวเข้ากับเอวเขาเพราะตกใจเกรงตัวเองจะหล่นลงมา ดวงตาเบิกกว้างกับการกระทำที่ไม่คาดคิด นึกว่ามันจะเป็นมุกตลกอะไรอีก
“พี่เอาจริงเหรอ”
“เธอบอกว่า ถ้าฉันใหญ่มาก”
“ปล่อยหนูลง!”
“ไม่ ก่อนอื่น เธอกับฉันต้องเป็นหนึ่งเดียวกันก่อน”
ฉันจะจู่โจมอย่างไม่มีจังหวะเว้นว่าง ฉวยกลีบปากบางไว้ดูดดึงให้เธอหวั่นไหว จนเธอหน้าแดง ตัวแดงลามไปทั่วผิวกาย
“ขอโทษที มันยั้งไว้ไม่ทัน” ถ้าเขาได้พูดแบบนั้นกับเธอที่กำลังหายใจหอบแรง
“นี่พี่กำลัง...”
“อยู่กินกับเธอไง”
“บ้าเหรอ ไม่ได้”
“ได้สิ”
ในขณะที่อีกคนเหม่อลอยไปแสนไกล
“ถ้าไม่ติดว่ายุงเยอะ อยากนอนดูดาวมากเลยนะ” เธอพูดทำนองเสียดาย เพราะบรรยากาศรอบตัวดีเหลือเกิน
“เดี๋ยวพาไปนอนดูดาว” เขาตอบกลับ ขณะช่วยกันจัดการฟืนไฟให้เรียบร้อย
“ฟ้าริน เธอเคยคิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปมั้ย อย่างเช่นอะไรที่เคยชอบ เดี๋ยวนี้ไม่ชอบแล้ว”
“หนูเหรอ ก็มีบ้างนะคะ เมื่อก่อนมีช่วงหนึ่งฮิตกินน้ำผักปั่นเพราะแบบอยากดูสวย ดูคูลอะไรแบบนั้น แต่ทำตามกระแสเขาเฉย ๆ สักพักก็เลิก”
“ไม่สิ ฉันหมายถึงกิจกรรมที่เคยชอบมากกว่านั้น อย่างเช่น ตอนเด็ก ๆ อาจจะชอบตั้งแคมป์มาก หรือชอบเล่นอะไรเสียว ๆ”
“บ้า พูดอะไรอะ” คนเขิน เอามือตีไหล่ผู้ชายยกใหญ่ แต่อีกคนกลับ...
“ฉันทำแบบนี้ เธอรังเกียจมั้ย” เขาจับมือเธอยกขึ้น แล้วจูบลงที่หลังมือเบา ๆ ทำฟ้ารินใจเต้นแรง ใบหน้าร้อนฉ่า ไหล่คนตัวเล็กยักไหว แต่ดวงตาของเธอดูตระหนกตกใจ รีบเบี่ยงหน้าหนี อีกฝ่ายก็ดึงเธอเข้าไปใกล้อีก เธอยื้อ ค้านแรงคนโต
“เธอกอดฉันตอนซ้อนรถ” ใต้หล้าพูด เหมือนจะเอามาเป็นข้ออ้างว่าเธอก็ใกล้ชิดเขาแบบแนบแน่นไปแล้วนะ
“ก็มันกลัวตก” ฟ้ารินรีบแย้ง
“ผู้ชายทุกคนน่ะ อยู่ใกล้เธอก็ทรมานทั้งนั้น แต่ฉันไม่อยากเป็นแบบไอ้พ่อเลี้ยงที่เธอกลัวหรอกนะ แต่ว่า...”
“พี่ไม่เหมือนหรอก ฉัน…ระ…รู้…รู้…” ลิ้นพันกันไม่พอ เธอเริ่มเหงื่อผุดตามมือ ตามผิวหน้า
“เธอรู้ก็โอเค งั้นฉัน...”
“เอ้อ...เต็นท์สวยนะคะ อยากเข้าไปดูข้างในจังเลย” เพราะเขินหรือเพราะไปต่อไม่ถูกไม่รู้ หญิงสาวพยายามแกะมือออกจากพันธนาการที่ชวนให้หวั่นไหว แล้วรีบปลีกตัวหนีเข้าไปหาที่หลับที่นอนก่อน
ชายหนุ่มเดินง่วนอยู่ด้านนอก ถ้าเขาเข้าไป ต้องอดใจไม่ได้แน่ ๆ
ใต้หล้าพยายามจัดการพื้นที่หน้าเต็นท์ให้ปลอดภัย เผื่อกลางคืนสัตว์มาคุ้ยเขี่ยอาหาร และบรรดาฟืนไฟต่าง ๆ ถูกดับลงจนมอดไหม้ รวมถึงไฟร้อนรุ่มของฮอร์โมนเพศชายที่เริ่มออกฤทธิ์ยามใกล้ชิดและอยู่กันสองต่อสอง ที่สำคัญ…เพราะฟ้ารินมีเสน่ห์ดึงดูดเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว