20 ขอรับผิดชอบ
เปิดเทอมวันแรกไทธัชไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า เพราะไม่ได้เจอเพื่อน ๆ มานานเกือบหนึ่งเดือน การอัปเดตข่าวสารของแต่ละคนจึงดังไปทั่วห้อง
หลังจากเข้าแถวเสร็จแล้วทุกคนก็คุยกันเสียงดังโหวกเหวกอีกครั้ง ยิ่งเมื่ออาจารย์ที่สอนคาบแรกแจ้งมาในไลน์ว่าให้ทุกคนอ่านหนังสือกันเองเพราะอาจารย์ต้องไปประชุมกับหัวหน้าสายชั้น เสียงนั้นก็ยิ่งดังขึ้นอีกเท่าตัว
“แทน มึงมาสายนะ” ไทธัชทักทายเพื่อนสนิทเมื่ออีกคนมาไม่ทันเข้าแถว
“กูยังไม่ชิน นอนดึกตื่นสายมาเกือบเดือน เมื่อเช้ากูแทบลุกไม่ขึ้น แล้วมึงเป็นไงบ้างวะ”
“กูก็ตื่นเช้าปกติอยู่แล้ว”
“กูหมายถึงงานพิเศษ”
“อ๋อ กูไปทำงานที่ร้านกาแฟ”
“เงินมันจะพอคืนพี่เขาเหรอวะ”
“ไม่พอหรอก แต่พี่เขายังไม่เอาเงินตอนนี้ เขารอให้กูเรียนจบก่อนค่อยจ่าย”
“พี่ไอ้คิวใจดีฉิบหายเลย กูอยากมีพี่ใจดีแบบนั้นบ้างจัง”
“อือ เขาใจดีกับกูมาก จนกูเกรงใจ”
“ไหนว่ามึงไม่มีเงินแล้วทำไมถึงซื้อโทรศัพท์ใหม่” แทนคุณตาไวเห็นโทรศัพท์ที่เพื่อนรักเอาออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วสอดไว้ใต้โต๊ะ
เขาเลยต้องเล่าเรื่องเมื่อวานให้กับแทนคุณฟัง
“กูกว่ามันก็โอเคนะ ถ้าเขาไม่ได้เข้าห้องผ่าตัดคงเสียเงินเป็นแสน หรือบางที่ถ้าเขาเจ็บมาก ๆ ก็อาจผ่าตัดไม่ได้อีกเลยให้แค่โทรศัพท์แค่นี้กูว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ”
ไทธัชพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนแต่เขาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเพราะไม่ได้ทำเพื่อหวังสิ่งตอบแทน
เพราะที่โรงเรียนจัดอาจารย์พิเศษมาติวให้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก ซึ่งจะต้องเตรียมตัวสอบอีกหลายสนาม ไทธัชจึงไม่มีเวลาไปที่คอนโดของอคิราห์อย่างเคย แต่ทั้งสองก็คุยโทรศัพท์กันทุกวัน
ผลของการทุ่มเทอย่างหนักทำให้ไทธัชได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยตามคณะที่ตัวเองต้องการตั้งแต่การยื่นคะแนนครั้งแรก
เขาโทรศัพท์ไปบอกข่าวดีให้กับมารดาและยายมาลัยทราบเป็นคนแรกจากนั้นก็โทรไปบอกอคิราห์ ซึ่งดูเขาจะดีใจจนออกนอกหน้าและบอกว่าเย็นนี้จะมารับที่โรงเรียนจากนั้นจะได้ไปฉลองด้วยกันที่บ้านของเด็กหนุ่ม
“ไทยืนรออะไร ไม่ขึ้นรถเมล์ฝั่งนู้นเหรอวะ” แทนคุณมองเพื่อนอย่างสงสัยเพราะปกติแล้วทั้งสองก็มักจะนั่งรถเมล์กลับบ้านพร้อมกัน
“วันนี้พี่ซันมารับ”
“อ๋อ งั้นกูกลับก่อนนะดีใจด้วยนะมึงที่ได้ที่เรียนแล้ว”
“อือ เดี๋ยวมึงก็ตามกูไปใช่ไหม” เขาถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“ไม่รู้สิ กูก็ลุ้นรอบสองนี้แหละ ถ้าไม่ได้ก็คงไปเรียนที่อื่น”
“กูว่ามึงต้องได้ กูเอาใจช่วยนะ”
“อือ ชอบใจ กูไปก่อนนะ” แทนคุณวิ่งข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วขึ้นรถเมล์สายประจำที่เคยนั่งด้วยกันทุกวัน
ไทธัชยังคงยืนรออยู่ที่เดิม เมื่อสักครู่อคิราห์บอกว่าออกจากโรงพยาบาลมาแล้วอีกไม่นานก็คงจะถึง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อคิราห์มารับเขากลับบ้าน แต่เขาก็ยังตื่นเต้นอยู่ดีเพราะนั่งรถเมล์มาหลายปีจนชินเสียแล้ว
เมื่อเห็นรถคันหรูแล่นมาที่หน้าโรงเรียนไทธัชก็กระชับเป้ในมือ พอรถจอดเขาก็รีบขึ้นไปนั่งทันทีเพราะบริเวณหน้าโรงเรียนเวลานี้รถค่อนข้างติดมาก
“ดีใจด้วยนะไท”
“ขอบคุณครับ”
การฉลองเป็นไปอย่างเรียบง่ายบนโต๊ะอาหารมีกับข้าวฝีมือของแม่ครัวเองอย่างมารดาและยายของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้ยิ้มแก้มแทบปริ
มนัสสรไม่ได้อยู่ฉลองด้วยเพราะเธอได้งานประชาสัมพันธ์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งอคิราห์เป็นคนแนะนำให้ไปสมัครบรรยากาศเลยดูผ่อนคลายกว่าครั้งก่อนมาก
“สอบเข้าได้แล้วก็ต้องตั้งใจเรียนนะไท”
“ครับยาย”
“แต่อีกนานเลยกว่าจะได้ไปเรียนช่วงปิดเทอมผมจะช่วยแม่กับยายอย่างเต็มที่เลยนะครับ”
“ยายคงสบายไปหลายเดือนเลย ว่าแต่ไทจะต้องไปอยู่หอที่มหาลัยหรือเปล่าล่ะลูก”
“ก็คงต้องไปอยู่ล่ะครับ แต่น่าจะแค่ปีหนึ่ง พอปีสองก็อยู่หอข้างนอกได้”
“ยายกับแม่คงคิดถึงน่าดูเลย”
“โธ่ยายครับ ผมไม่ได้ไปเรียนต่างจังหวัดนะครับ ถึงอยู่หอก็กลับบ้านได้ เขาไม่ได้ห้ามสักหน่อย”
“ยายรู้สึกใจหายนี่ลูก”
“ผมสัญญาว่าจะกลับมาทุกอาทิตย์เลยนะครับ” พอได้ยินหลานชายพูดแบบนั้นยายมาลัยก็เลยยิ้มออก
“แม่กับยายต้องขอบคุณหมอซันด้วยนะที่คอยช่วยติวให้ ถ้าไม่ได้หมอซันก็ไม่รู้ผลจะออกมาเป็นยังไง”
“ไทเป็นเด็กดีครับ เขาเรียนรู้เร็วผมแทบไม่ต้องบอกอะไรเลย เขาขยันฝึกทำแบบฝึกหัดและข้อสอบเก่า ๆ ครับ” อคิราห์บอกกับมารดาของเด็กหนุ่มไปตามความจริง
เขาไม่ค่อยมีเวลาติวให้ไทธัชมากนัก เพราะต้องทำงานเกือบทุกวัน แต่เด็กหนุ่มก็มักไปขลุกอยู่ที่คอนโด เพราะที่นั่นค่อนข้างเงียบทำให้มีสมาธิอ่านหนังสือมากกว่าอยู่ที่บ้าน โดยเฉพาะช่วงที่มนัสสรยังไม่ย้ายออกไป
“แม่ละดีใจจริง ๆ อย่างนี้ทำกับข้าวขายจนลืมเหนื่อยเลยแน่ ๆ”
“แม่ครับผมว่าขึ้นปีหนึ่งจะกู้เงินเรียนนะครับ”
“ทำไมล่ะ แม่ไม่อยากให้กู้เลย แม่พอมีเงินสำรองไว้ให้ไทเรียนอยู่แล้ว”
“อาจารย์แนะนำมาครับ อย่างน้อยก็จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่”
“งั้นก็ตามใจ แต่ใจจริงแล้วแม่ไม่อยากให้กู้เลยนะ จบออกมาก็ต้องใช้หนี้อยู่ดี เขาไม่ได้ให้ฟรีสักหน่อย”
“ผมเห็นด้วยนะครับ เรียนจบแล้วก็ยังต้องมากังวลกับการใช้หนี้อีก ไทไม่ต้องกู้หรอก ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกพี่ได้”
“นี่พี่กะจะให้ผมเป็นหนี้พี่แค่คนเดียวใช่ไหมครับ”
“คิดมากเกินไปแล้วพี่ก็แค่อยากช่วยเห็นว่าเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน”
“ไทไปว่าหมอซันแบบนั้นได้ยังไง”
“แม่ครับ แม่เข้าข้างคนอื่น” ไทธัชพูดพร้อมกับทำหน้าง้ำอย่างไม่พอใจ
“ดูสิโตจนจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วยังงอนเป็นเด็กไปได้” ทั้งสามคนพากันหัวเราะกับท่าทางของไทธัชอย่างอารมณ์ดี
“ยายครับแม่ครับ ผมขอพูดอย่างจริงจังอีกครั้งนะครับ ผมเอ็นดูไทเหมือนน้องชาย ผมอยากรับผิดชอบเรื่องเรียนของเขาให้ถึงที่สุด ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเขาเองแต่เพื่อตัวผมเองด้วย การที่ไทเข้ามาในช่วงเวลาที่ผมสูญเสีย มันทำให้ผมกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้ง”
“แต่แม่ว่ามันมากเกินไปนะคะหมอซัน ค่าเรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช่ถูก ๆ”
“ก็เพราะอย่างนั้นผมถึงอยากช่วย ให้ผมได้ช่วยเถอะนะครับผมไม่ได้หวังให้ไทต้องมาตอบแทน หรือใช้หนี้หลังเรียนจบอย่างที่เจ้าตัวพูดอยู่ตลอดหรอกนะครับ ผมแค่หวังดีจริง ๆ ผมอยากเห็นเด็กคนหนึ่งเติบโตและประสบความสำเร็จในชีวิต น้องชายผมก็คงดีใจที่ผมช่วยเหลือเพื่อนของเขา”
“ยายเข้าใจนะหมอ แต่ยายก็เกรงใจเหลือเกิน”
“ไม่ต้องเกรงใจเลยครับ ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินเลย”
“ไทล่ะว่ายังไง” มัทนาหันไปถามลูกชายที่นั่งนิ่งฟังผู้ใหญ่คุยกัน
“ถ้าพี่ซันจะช่วยผมก็ไม่ว่าอะไร แต่มีข้อแม้ว่าถ้าเรียนจบผมมีเงินเดือน ผมจะทยอยคืนให้ อาจจะหลายปีหน่อย ถ้าพี่โอเค ผมก็ยอมให้พี่จ่ายค่าเรียนให้”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ เพื่อความสบายใจของนาย”
“ดิลนะครับ”
“อือ ดิล”
เมื่อตกลงกันอย่างจริงจังต่อหน้ามารดาและยายแล้วไทธัชก็รู้สึกโล่งใจขึ้น
“ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“หมอซันน่าจะค้างที่นี่สักคืน นี่มันดึกมากแล้วนอนห้องเดียวกับเจ้าไทมันก็ได้” ยายมาลัยไม่อยากให้อคิราห์ขับรถกลับในเวลาดึกเช่นนี้
“ไม่เป็นไรครับยาย ยังไม่ดึกมาก บางวันผมก็เลิกงานดึกกว่านี้อีก”
“แม่ลืมถามเลยว่าวันนี้มาฉลองกับพวกเราหมอซันขาดงานมาหรือเปล่า”
“เปล่าครับแม่ ผมแลกเวรกับเพื่อนมาแล้ว”
“งั้นก็โล่งอก คนเป็นหมอเวลาแต่ละนาทีมีค่า แม่ก็กลัวจะมาเสียเวลากับเจ้าไท”
“หมอก็เหมือนกับอาชีพอื่น มีเวลาเข้างานและมีเวลาพัก หรือถ้ามีธุระก็แลกเปลี่ยนเวลางานกับเพื่อนได้ครับ”
“อ้อ” ยายมาลัยที่ฟังอยู่ก็พยักหน้าเข้าใจ
“ขอบคุณนะครับพี่ซัน”
“อือ แล้วอย่าลืมนะ อยากได้อะไรเป็นรางวัลก็คิดไว้เลย วันอาทิตย์พี่ว่าจะได้ไปซื้อด้วยกัน” อคิราห์พูดขณะที่ไทธัชเดินมาส่งที่รถ
“ยังนึกไม่ออกเลยครับ”
“ค่อย ๆ นึก พี่ไปล่ะ นายก็รีบเข้าบ้าน พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียน”
“รู้แล้วครับ พี่ก็เหมือนกันรีบกลับไปนอนพักนะครับ พรุ่งนี้จะได้มีแรงตรวจคนไข้”
“อือ”
อคิราห์ปิดประตูรถแล้วขับออกมาจากบ้านหลังเล็ก เขาโล่งใจที่มารดาและยายของเด็กหนุ่มยอมให้เขาช่วยเรื่องเรียนของไทธัช เด็กหนุ่มที่เขาถูกชะตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว
ความสนิทสนมมีเพิ่มมากขึ้น เขาไม่นึกเลยว่าตัวเองจะรู้สึกดีกับใครมากมายอย่างนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ปล่อยเวลาผ่านมานานขนาดนี้ แต่นี่เป็นไทธัชเด็กหนุ่มนิสัยดี อคิราห์ไม่อยากทำลายเจ้าของดวงตาที่มองเขาอย่างชื่นชมเพียงเพราะความต้องการของตัวเอง
