ตอนที่ 7.2 บรรยากาศพาไป
“อ๋อเปล่าหรอกค่ะ.. ขอบคุณนะคะที่ให้พัก ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอรบกวนหน่อยนะคะ” เธอพูดจบก็คว้ามือกั๋วซุนไว้แน่น แล้วดึงเขาเดินเข้าไปในห้อง
ทั้งคู่เข้ามาในห้องนอนเล็ก ๆ ที่ได้รับการจัดไว้ให้ แม้จะเรียบง่ายแต่ก็อบอุ่นจนสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเจ้าของ เตียงไม้ขนาดพอดีตัวถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสะอาดเรียบร้อย มุมห้องมีตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ กับโต๊ะเตี้ย ๆ ที่ดูเหมือนจะเอาไว้แต่งหน้าแต่ตอนนี้ว่างเปล่า บรรยากาศโดยรวมให้ความรู้สึกเหมือนบ้านของคนธรรมดา ๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่กลางไร่ชามาชั่วชีวิต
เยลลี่มองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ กลิ่นของฝนที่โชยเข้ามาผ่านช่องระบายอากาศให้ความรู้สึกสดชื่นปนเย็นเฉียบเล็กน้อย
เธอเดินไปที่หน้าต่าง ก่อนจะค่อย ๆ ดันบานไม้ให้เปิดออก แล้วก็พบว่าข้างนอกยังคงมืดครึ้มมีเม็ดฝนกระหน่ำตกลงมาไม่หยุด ลมพัดแรงจนเห็นใบชาปลิวไหวเป็นริ้ว ๆ ผ่านความมืด ที่รู้สึกว่ายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหนาวเธอจึงรีบปิดหน้าต่างกลับดังเดิม
กั๋วซุนมองรอบห้องเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยิบผ้านวมจากปลายเตียงแล้วเอาไปปูไว้บนพื้น ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เยลลี่หันมาเห็นพอดี
“นายทำอะไร”
“ก็นอนข้างล่างไง” เขาตอบเรียบ ๆ ฝ่ามือก็ขยับผ้านวมปูพื้นเรื่อย ๆ
หญิงสาวนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะกวาดตามองบนเตียงเล็กที่ทั้งสองพอจะแทรกตัวลงนอนได้อย่างเบียด ๆ แล้วหันไปพูดกับเขาเสียงเรียบ
“แล้วคืนนี้จะเอาอะไรห่ม ผ้ามีผืนเดียวนายเอาไปปูข้างล่าง ฝนตกหนักขนาดนี้ ไม่หนาวรึไง” เขาหันไปมองผ้าห่มที่เพิ่งปูเสร็จ แล้วก็เหมือนว่าจะเพิ่งคิดได้ว่าที่เธอพูดมันก็ถูก
สุดท้ายก็ถอนใจยาว ๆ ก่อนจะหยิบผ้าห่มผืนนั้นกลับขึ้นไปบนเตียงเหมือนเดิม
“ฉันไม่ชอบนอนริมหน้าต่าง นายไปนอนตรงนั้นละกัน” เยลลี่พูดขึ้นเรียบ ๆ แล้วชี้ไปที่ฝั่งติดหน้าต่าง
เขาปรายตามองตามเรียวนิ้วเธอเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่พยักหน้าแล้วก้าวขึ้นเตียงไปนอนฝั่งริมหน้าต่างอย่างว่าง่าย
เยลลี่เองก็ขึ้นเตียงตามไป แล้วก็ดึงผ้านวมมาห่มไว้ครึ่งตัว ส่วนกั๋วซุนก็ขยับยื้อผ้านวมมาห่มเช่นกัน
หลังจากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ สองร่างนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ดวงตาจ้องเพดานผ่านความมืดโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ในหูก็ได้ยินเสียงฝนที่ยังคงกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งนอกหน้าต่าง แล้วก็เป็นเสียงเรียบนิ่งของชายหนุ่มที่ดังขึ้น
“ถ้าไม่ปิดไฟผมนอนไม่หลับ คุณอยู่นอกลุกง่ายไปปิดให้หน่อยได้ไหม” เยลลี่หันขวับมามองเขาเขม็ง
แต่ก็แค่นั้นเพราะวินาทีถัดมาเธอลุกไปปิดไฟให้เงียบ ๆ แล้วกลับมานอนท่าเดิม
ผ่านไปเกือบสิบนาที ไม่มีใครพูดอะไรออกมา และก็เป็นเยลลี่เองที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวก่อน เธอตัดสินใจตะแคงหันหลังให้กั๋วซุน หูฟังเสียงฝนตก เสียงฟ้าร้อง และมองแสงฟ้าแลบไปพลาง
ทั้งที่ควรจะเหนื่อยล้าจากการเที่ยวตลอดทั้งวัน แต่เธอกลับรู้สึกไม่ง่วง นอนไม่หลับ และจู่ ๆ ก็มีความคิดบางอย่างลอยเข้ามาในหัวอย่างไม่น่าให้อภัย
‘ถ้าหากลองทำแบบเมื่อคืนนี้ที่นี่.. จะรู้สึกยังไงนะ’
เธอสะบัดหัวทันทีที่คิดแบบนั้น ไล่ความคิดฟุ้งซ่านไปให้ไกลแล้วพยายามข่มตาหลับอีกครั้ง.. แต่ก็ไม่สำเร็จ
สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจหันกลับไปฝั่งกั๋วซุน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเขาเองก็กำลังมองเธออยู่ก่อนแล้ว
สองสายตาสบกันกลางความมืด ในจังหวะที่สายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้าดังเปรี้ยง แสงแปลบปลาบสะท้อนเข้าตาคนทั้งคู่ มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีแต่กลับชัดเจนอย่างประหลาด
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
“นอนไม่หลับเหรอ”
“อืม” เขาตอบสั้น ๆ ง่าย ๆ
“งั้น..” และก็เป็นเยลลี่ที่พูดไปพลางขยับตัวเข้าใกล้ไป
“เรามาหาอะไรทำกันไหม”
