EP 5 อาซ้อ
ได้เวลาอาหารเย็น
ท่านฟู่ ฟู่เทียนหยู และก็หลินฮวา ต่างมานั่งพร้อมหน้าพร้อมตากัน
กลิ่นหอมของอาหารที่ป้าหวังทำลอยมาเตะจมูกจนหลินฮวารู้สึกอยากจะกลืนน้ำลาย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่อนข้างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
พ่อสามีหันมามองนางอยู่เป็นระยะ แต่ว่านางเองกลับไม่กล้าสบตาเขากลับเลย ส่วนสามีของนางน่ะหรือเขามัวแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวหาได้รู้เรื่องอะไรไม่
พอเห็นหลินฮวาดูเกร็ง ๆ ท่านฟู่จึงได้พูดขึ้นมาเพื่อให้สถานการณ์ผ่อนคลายลง
“ช่วงนี้อาหยูก็จะงานเยอะสักหน่อยนะ อาจจะไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้า หวังว่าหลินเอ๋อร์คงจะไม่เคือง”
หลินฮวาเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมาตอบอย่างตะกุกตะกักว่า
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้คิดมากอะไร”
“นี่อาหยู ว่าง ๆ เจ้าก็พาหลินเอ๋อร์ไปเดินเล่นที่ห้างการค้าของเราดูสิ เผื่อหลินเอ๋อร์อยากได้อะไร” ท่านฟู่หันไปพูดกับลูกชายตนเอง
“ได้ขอรับท่านพ่อ” เทียนหยูตอบเสียงราบเรียบ
ปกติแล้วคนสกุลฟู่มิใช่พวกที่จะพูดคุยกันมากสักเท่าไร ยิ่งระหว่างท่านฟู่กับเทียนหยูด้วยแล้ว แทบจะไม่คุยกันเลย ส่วนมากก็จะคุยเรื่องงานกัน
ท่านฟู่เองเป็นคนสุขุมจึงมีน้อยครั้งนักที่เขาจะพูดคุยกับใครอย่างไม่เป็นทางการ
ส่วนหลินฮวาเองก็เป็นคนใหม่ นางยังไม่ค่อยกล้าที่จะพูดอะไรมากนัก เทียนหยูก็ไม่ค่อยได้คุยกับนาง ทำให้บรรยากาศในบ้านค่อนข้างเงียบเหงา จะครึกครื้นก็แค่ตอนที่นางได้คุยกับป้าหวังเท่านั้น
เช้าวันต่อมา
เทียนหยูตื่นตั้งแต่เช้า เพราะว่าวันนี้มีประชุมที่ห้างการค้าเรื่องสินค้าใหม่ที่จะนำเข้ามาขายที่เซี่ยงไฮ้ และนานกิง รวมถึงเรื่องการที่จะต้องไปหาทำเลสร้างห้างการค้าที่ปักกิ่งด้วย
ตอนนี้ท่านฟู่ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ดูแลที่มีอำนาจรองจากท่านฟู่แล้ว ความรับผิดชอบของเขาจึงต้องเพิ่มมากหน่อย
หลินฮวาเองก็ตื่นแต่เช้าเช่นกัน หน้าที่ของนางในตอนเช้าของทุก ๆ วัน ก็คือ การจัดเตรียมเสื้อให้สามีใส่ไปทำงาน
อีกทั้งวันนี้นางต้องตระเตรียมของตนเองด้วย เนื่องจากท่านฟู่จะให้นางไปเปิดหูเปิดตาที่ห้างการค้า นางเลือกแต่งตัวในชุดกี่เพ้าสีแดงพิมพ์ลายดอกโบตั๋น
ชุดกี่เพ้ารัดรูปขับให้เห็นทรวดทรงองค์เอวของนางอย่างชัดเจน หุ่นที่อวบอั๋นน่าเคล้นคลึงนั้น ใครเห็นก็เป็นต้องมองตามเป็นแน่
ทรงผมทำเป็นแบบมวยต่ำตามยุคสมัยนิยม ปักปิ่นประดับไว้บนผมหนึ่งอันเป็นว่าเรียบร้อย ส่วนใบหน้าก็ทาแป้งแค่พองามเผยให้เห็นผิวที่เนียนละเอียดดั่งสาวแรกรุ่น
และที่ขาดไม่ได้คือลิปสติกสีแดงตามแบบของฝรั่งที่ทำให้ดูเป็นสาวสวยและมั่นใจขึ้นมา
เมื่อทุกคนพร้อมกันแล้วก็พากันออกเดินทางไปยังห้างการค้า บ้านตระกูลฟู่เป็นบ้านที่ร่ำรวยก็จริง แต่ทว่าพวกเขามีรถไว้ใช้เพียงคันเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นรุ่นที่ค่อนข้างเก่า
เนื่องจากท่านฟู่ไม่ได้มีนิสัยฟุ่มเฟือยจึงใช้งานของทุกอย่างอย่างคุ้มค่า และเหตุผลที่ไม่ได้ซื้อรถให้ลูกชายก็เพราะว่าเวลาไปทำงาน ก็ต้องไปด้วยกันอยู่แล้ว จะซื้ออีกทำไมให้สิ้นเปลือง
แต่ถ้าลูกชายของเขาอยากจะไปไหนเขาก็อนุญาตให้ใช้รถของเขาได้ ส่วนตัวเขาเองชอบที่จะใช้รถรางสาธารณะมากกว่า เพราะอย่างไรเซี่ยงไฮ้ก็เป็นเมืองที่ค่อนข้างเดินทางสะดวกอยู่แล้ว
ทั้งสามคนขึ้นไปนั่งบนรถโดยที่สารถีของวันนี้ก็คือเทียนหยู ส่วนท่านฟู่กับหลินฮวานั้นนั่งด้วยกันที่เบาะหลัง รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวช้า ๆ มุ่งหน้าไปยังห้างการค้าตระกูลฟู่
“เมื่อข้าพบกับทุกคน ข้าต้องพูดว่าอย่างไรหรือคะ” หลินฮวาที่ดูไม่ค่อยมั่นใจเอ่ยถามขึ้น
ท่านฟู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็หันไปมองนางและพบว่าสีหน้าของนางดูเป็นกังวลอยู่จริง ๆ
“เจ้าก็แค่ทำตัวตามสบาย ถ้าพวกเขาถามก็ตอบไป ถ้าไม่สะดวกตอบ เจ้า... เทียนหยูก็ตอบแทนแล้วกัน” พูดจบก็พยักพเยิดไปทางลูกชายที่กำลังขับรถอยู่
“ขอรับ” เทียนหยูรับคำ
ท่านฟู่อยากให้ทุกคนที่ห้างการค้ารู้จักกับหลินฮวาในฐานะภรรยาของเทียนหยู
พอได้เห็นหลินฮวาทุกคนต่างก็ชมเป็นเสียงเดียวกันว่านางช่างงดงามจริง ๆ สมแล้วที่ได้เป็นสะใภ้ของตระกูลฟู่ เวลาที่นางเดินผ่านพนักงานในห้างการค้าต่างก็ผงกศีรษะให้พร้อมพูดว่าอาซ้อ ๆ
ห้างการค้าตระกูลฟู่ ถือว่าเป็นห้างการค้าที่ใหญ่ที่สุดรองลงมาจากห้างการค้าของรัฐบาลที่ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ถ้าเทียบกันถึงเรื่องคุณภาพของสินค้าแล้วสินค้าของห้างการค้าตระกูลฟู่ย่อมเป็นที่หนึ่ง
ผู้คนที่พอจะมีเงินในยุคนั้นต่างก็มาซื้อสินค้าที่นี่กันทั้งนั้น เว้นก็แต่พวกคนจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ที่ต้องซื้อของจากห้างการค้าของรัฐบาลเนื่องจากราคาถูกกว่า
เมื่อก่อนห้างการค้าตระกูลฟู่ยังเป็นเพียงแค่ร้านค้าเล็ก ๆ ที่เปิดตามซอกมุมต่าง ๆ ของเซี่ยงไฮ้ จุดประสงค์ก็เพียงแค่อยากจะหาสินค้าที่พอจะมีคุณภาพหน่อยมาขายในราคาถูกให้กับชาวบ้านที่ไม่ค่อยมีกำลังซื้อ
เพราะฟู่เทียนเฉินอดที่จะสงสารผู้คนที่ต้องทนใช้ของห่วย ๆ กินอาหารแย่ ๆ ไม่ไหว แต่พอยุคของสงครามหมดลง ผู้คนต่างก็มีชีวิตที่ดีขึ้นถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะยังยากจนอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังพอมีกำลังซื้อมากขึ้น
ร้านค้าตระกูลฟู่จึงได้ขยับขยายจนมาเป็นห้างการค้าตระกูลฟู่ในทุกวันนี้
“เทียนหยู เจ้าพาหลินเอ๋อร์ไปเลือกดูของเถอะ เดี๋ยวพ่อจะไปคุยงานกับท่านอาเจียงสักหน่อย”
ฟู่เทียนเฉินกล่าวกับลูกชายของตนก่อนที่จะหมุนตัวเดินจากไป
“ขอรับ” เทียนหยูรับคำ