บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 พวกเจ้าสมควรหรือ?

หลังจากนั้นบนโต๊ะก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ผ่านไปครู่ใหญ่น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยก็ดังขึ้น

“อิ่มแล้วก็ไปกันเถิด" หลังจากที่เห็นว่านางนั้นกินเสร็จแล้ว มู่หรงเว่ยหมินก็ลุกขึ้น ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าเอื่อยเฉื่อย

"สาวน้อย วันนี้เจ้าโชคดีที่เจอข้า องค์ชายห้าผู้ใจดีจะอาสาพาเจ้าไปส่งถึงจวนสกุลหลินอย่างปลอดภัยเอง..."

ในขณะที่ซุนยวี่เหอกำลังจะเอ่ยถามเขาว่าเขาจะกลับวังหมินเลยหรือไม่นั้น กลับถูกตอกกลับด้วยสายตา “...”

ก็ได้ๆ ข้าไม่ถามแล้วก็ได้ เช่นนั้นข้าจะกลับไปนอนแล้ว...

เหอะ...องค์ชายห้าไม่เห็นสหายอย่างเขาอยู่ในสายตาแล้ว ซุนยวี่เหอเดินตามหลังของทั้งสองไปด้วยอารมณ์สุดเศร้า หลินจื่อเหยาครุ่นคิดอยู่สักพักนางจึงเอ่ยขึ้น

“ข้าไม่รบกวนองค์ชายห้ากับคุณชายซุนแล้วแค่นี้ข้าก็ติดค้างพวกท่านมากแล้ว”

หลินจื่อเหยารู้สึกว่าองค์ชายห้ามู่หรงเว่ยหมินผู้นี้ นอกจากข้อมูลภายนอกอย่าง อายุ ชื่อ เรื่องสำคัญอื่นๆ นางกลับไม่สามารถมองออกมาได้

หรืออาจจะเป็นเพราะความสามารถของนางนั้นยังไม่ฟื้นคืนหรือไม่นะ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้...

แต่ถึงอย่างไรนางก็จะต้องพยายามอยู่ให้ห่างๆ เขาเอาไว้จะดีกว่า

“หืม?” มู่หรงเว่ยหมินพอได้ยินคำพูดนี้ก็หยุดชะงักทันที จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นมา

"เจ้าติดค้างอะไรกัน เจ้าอุตส่าห์ช่วยเตือนคุณชายซุน ดังนั้นพวกเราก็แค่เพียงแลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรมไม่ใช่หรือ”

กล่าวจบเขาก็นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมุมปาก "เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่? หากเจ้ารู้สึกว่าติดค้างจริงๆ ไม่สู้เจ้าเล่าเรื่องขององค์รัชทายาทในช่วงนี้ให้ข้าฟังสักหน่อยเป็นอย่างไร

ข้าไปท่องยุทธภพมานานหลายปี วันนี้มาถึงก็ได้พบเจ้าดังนั้นข้าถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน ข่าวซุบซิบในช่วงหลายปีที่ผ่านมาข้าจำเป็นต้องรู้"

หลินจื่อเหยามองเขา ขมวดคิ้ว "องค์รัชทายาทหรือ? ซุบซิบหรือ?"

นางรู้ความหมายของคำว่าซุบซิบ มันหมายถึงเรื่องสนุก ข่าวลือ แล้วมันเกี่ยวอันใดกับองค์รัชทายาท?

เห็นทียังมีเรื่องใหม่ๆ ของยุคสมัยโบราณนี้ที่นางยังจะต้องเรียนรู้อยู่อีกมาก

“เขาค่อนข้างเข้าออกจวนตระกูลหลินอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือ?” มือของมู่หรงเว่ยหมินวางที่รถม้าแล้วพูดขึ้นมาอีกว่า "เป็นอย่างไรเจ้าช่วยคลายความอยากรู้อยากเห็นของข้าหน่อยได้หรือไม่?” จากนั้นเขาก็ยกมือทําท่าเชิญ

แววตาของหลินจื่อเหยาชะงัก

ในตอนที่มาโลกมนุษย์ครั้งแรกนางอยู่ที่เมืองจีนใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นปรับตัวเพื่อเข้ากับโลกมนุษย์อยู่นานจนในที่สุดนางก็เข้าใจ

ต่อจากนั้นในโลกที่สองและสามนางก็ไปโผล่ที่ยุโรปด้วยสถานะที่ต่างกันกับชีวิตที่อยู่เมืองจีน ด้วยเหตุนี้ถึงรู้ขนบธรรมเนียมมารยาทต่างๆ ของทุกราชวงศ์ในยุโรป

การผายมือแบบนี้มีต้นกำเนิดมาจากราชวงศ์ประเทศวาย

แต่ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่สิบหกได้ถูกเลิกใช้แล้วก็นำกลับมาใช้กับยุคสมัยใหม่อีกครั้ง นางไม่คิดว่ายุคสมัยนี้ก็มีใช้กันแล้ว

“หากเจ้ายังไม่ขึ้นรถม้า อีกเดี๋ยวเขาก็จะออกมาแล้วนะ” มู่หรงเว่ยหมินเหลือบมอง

"เจ้าก็เห็นว่าข้านั้นเป็นเพียงองค์ชายผู้ไม่เอาไหน ไม่มีอำนาจ เกิดเขาจับพวกเราสองคนไปด้วยกันจะทำอย่างไร?”

คำพูดนี้ทำให้หญิงสาวตัดสินใจเลือกได้นางเดินขึ้นไปบนรถม้านั่งลงตรงตำแหน่งด้านข้าง

มู่หรงเว่ยหมินเลิกคิ้วแล้วก้าวเดินตามนางขึ้นไปนั่งลงตรงข้ามกับนางเอ่ยถาม

"มู่หรงจินเหยียนมีความสามารถมากขนาดนั้นเชียวหรือ?"

หลินจื่อเหยารู้ความหมาย นางเอ่ยตอบ "กับข้านั้นก็แค่คนน่ารำคาญ”

มู่หรงเว่ยหมินอึ้งไปเล็กน้อยนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะเบาๆ

แสงจากไข่มุกราตรีสาดส่องผ่านผมดำสลวยของเขาวูบไหวไปมา ฉาบดวงตาของเขาให้เป็นสีทองอ่อน

ริมฝีปากสีแดงกับผิวพรรณที่ขาวโดยกำเนิดของเขาตัดกันอย่างเห็นได้ชัด มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างไม่เสื่อมคลาย

"ไปจวนตระกูลหลิน" เขาสั่งคนขับรถม้าเสร็จก็หันหน้ามาหานาง

“ได้ยินจากยวี่เหอว่าเจ้าเป็นคนที่องค์รัชทายาทต้องหมั้นหมายด้วยอย่างนั้นหรือ?"

“อืม" หลินจื่อเหยานึกย้อนความทรงจำ "แต่เขาร้องขอกับฮ่องเต้เปลี่ยนราชโองการเป็น หลินเสี่ยวเซวียน เพราะข้าไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับเขา

ข้าเป็นคนโง่เขลาไร้ความสามารถเป็นเพียงหญิงสาวที่มีจิตใจโหดร้าย ไร้ยางอาย...

ข้าจำได้ว่าตอนนั้นข้าก็ยินดีที่จะเข้าไปศึกษาที่สำนักศึกษาเพื่อที่จะให้เป็นผู้หญิงที่มีความรู้ความสามารถ

แต่คนที่เขาต้องการไม่ใช่ข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ที่ผ่านมาข้าเป็นเพียงคนโง่เขลาที่ถูกปั่นหัวเพื่อให้ใครสักคนดูสูงส่ง

จากนี้ไปคนคนนั้นได้ตายไปแล้ว ข้ารู้ทันพวกเขาแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะทำเพื่อตัวข้าเองแล้ว"

"เจ้าหมายความว่าเจ้าจะเข้าเรียนที่สถานศึกษาโหยวหนานอย่างนั้นหรือ?" มู่หรงเว่ยหมินเอ่ยถาม

สถานศึกษาโหยวหนานเป็นสถานศึกษาชื่อดังของแคว้นเหยาฮั่นที่บรรดาคนสูงศักดิ์ คุณหนูคุณชายต่างๆ เข้าไปศึกษา

ดังนั้นในสถานศึกษาจึงมีนักศึกษาจำนวนมาก การเรียนการสอนจึงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือบุ๋นและบู๊

ฝ่ายบุ๋นอักษร กวี พิณ หมาก เย็บปัก ทั่วไป ฝ่ายบู๊คือสำหรับผู้ที่ต้องการจะฝึกยุทธ พลังลมปราณ เหาะเหินและต่อสู้ด้วยพลังลมปราณทั้งหลาย

ดังนั้นค่าสถานศึกษาแห่งนี้มีเงินอย่างเดียวไม่สามารถเข้ามาเรียนได้ เด็กต้องมีความสามารถด้วย นักเรียนคนใดก็ตามที่สามารถเรียนได้ทั้งสองแบบจะถูกสำนักเต๋อหวงรับเข้าไปเป็นศิษย์ในทันที

ดังนั้นเหล่าฮูหยิน ขุนนางต่างก็ต้องการให้บุตรหลานของตนเองได้เข้าไปศึกษาอยู่ในนั้น

หลินจื่อเหยามองออกไปนอกหน้าต่างนางหรี่ตาลง “ใช่ ข้าต้องการเข้าร่วมสำนักฝวูจื๊อ”

สำนักฝวูจื๊ออยู่เหนือสำนักเต๋อหวงขึ้นไปอีกหลายขั้น เป็นสำนักที่รวบรวมเหล่าชาวยุทธและผู้มีความรู้ความสามารถระดับสูงอยู่ในนั้น

นางไม่ต้องการสำนักเต๋อหวง เพราะถ้าหากความสามารถของนางฟื้นกลับคืนมา สำนักเต๋อหวงนับว่าเป็นอะไรได้

นิ้วของมู่หรงเว่ยหมินชะงักเล็กน้อย "เพราะเหตุใดเจ้าถึงต้องการเข้าสำนักฝูวจื๊อ?” ไม่ใช่ว่านางเป็นคนโง่เขลาหรอกหรือ? ผู้ที่จะเข้าสำนักฝูวจื๊อได้ต้องมีความสามารถรอบด้านและต้องอยู่ในขั้นเทพเลยก็ว่าได้ถึงจะผ่านการคัดเลือก

หลินจื่อเหยายกมือขึ้นเท้าคาง ตอบอย่างไม่ใส่ใจเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง “ข้าแค่เพียงจะทวงความยุติธรรมให้กับตัวเองก็เท่านั้น

คนอย่างข้าใช่ว่ามู่หรงจินเหยียนจะคู่ควร...”

"___"

มู่หรงเว่ยหมินหันหน้ามาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นยื่นออกมาลูบหัวของนางเบาๆ

เหมือนลูกแมว

หลินจื่อเหยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเขาด้วยสีหน้าของนางที่ไร้ความรู้สึก แววตาปรากฏความอาฆาต “เจ้าทำอะไร?”

“ข้าเพียงอยากจะบอกว่าเจ้าอย่าคิดมาก ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนโง่เขลา! ต้องสามารถเข้าไปในสำนักฝูวจื๊อได้อย่างแน่นอน" มู่หรงเว่ยหมินยกยิ้มจากนั้นเขาก็เปิดผ้าม่านออกดู

"ใกล้จะถึงแล้วหล่ะ"

ไม่นานรถม้าก็ค่อยๆ ชะลอตัวและหยุดลงในที่สุด จวนตระกูลหลินเป็นจวนตระกูลขุนนางระดับสูงป้ายตระกูลได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้หลายสมัยสืบทอดกันมา

“เจ้าเข้าไปเถอะ ถึงแล้วก็รีบพักผ่อนเสีย” มู่หรงเว่ยหมินมองตามเด็กสาวก้าวลงจากรถม้าผ่านทางผ้าม่าน ก่อนที่นางจะเดินออกไปน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยก็ดังขึ้น "ยามว่างก็ดื่มน้ำพุทราลําไยบ่อยๆ”

ขนตาของหลินจื่อเหยาขยับเล็กน้อย “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณมาก”

“ข้าได้ยินเจ้าพูดขอบคุณบ่อยมากแล้วไม่ต้องพูดแล้ว”

แขนเรียวยาวของมู่หรงเว่ยหมินพาดอยู่ตรงขอบหน้าต่างรถม้าริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อย “หากว่าเจ้าอยากขอบคุณข้าจริงๆ เอาไว้คราวหน้าค่อยเลี้ยงข้าวข้ากลับก็แล้วกัน”

หลินจื่อเหยายกมือขึ้นนวดศีรษะอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

พูดอย่างจนปัญญาว่า "ได้"

มู่หรงเว่ยหมินได้ฟัง ไม่รู้นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ เขาครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง

เขาไม่ได้พูดออกไปทันที แต่กลับพูดเสริมอย่างเนือยๆ ว่า

“เอาล่ะ เจ้ารีบเข้าไปพักผ่อนเถอะฟ้ามืดมากแล้วข้าจะมองส่งเจ้า"

หลินจื่อเหยาหลุบตาลงพยักหน้า "เจ้าก็เหมือนกัน" ร่ำลาเสร็จนางก็หมุนกายเดินตรงเข้าไปในจวนตระกูลหลินยังไม่ทันเดินถึงหน้าจวนดีประตูใหญ่ของจวนก็ถูกเปิดออก

คนที่เดินออกมาคือพ่อบ้านที่มีสายตาเข้มงวดจ้องมองมาต่างก็เต็มไปด้วยการสำรวจ “ในที่สุดคุณหนูรองก็กลับมาได้แล้ว"

เด็กสาวยืนอยู่ที่ขั้นบันไดหน้าประตูจวนบานใหญ่ ขนตางอนยาวมีเกล็ดหิมะเกาะอยู่บนศีรษะก็เต็มไปด้วยหิมะ

ข้อมือของนางเล็กและซีดมีรอยบาดแผลที่เกิดจากการรัดของเชือกปรากฎอยู่อย่างชัดเจน ร่างกายของนางผอมบางราวกับแค่ลมพัดก็สามารถล้มลงไปได้

พ่อบ้านขมวดคิ้วใส่นาง แต่ก็ไม่ลืมคำสั่งของฮูหยินใหญ่ในจวน

เขาพูดขึ้น "คุณหนูรองฮูหยินใหญ่รับสั่งเอาไว้ว่า ในเมื่อคุณหนูรองมีความผิดและอยู่ในช่วงเวลาที่รับโทษ ซ้ำยังมีจิตใจที่ต่อต้านรุนแรงขนาดนี้ อีกทั้งยังหนีออกมาจากอารามตามใจชอบเช่นนี้ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณหนูรองก็ไม่ต้องกลับเข้าจวนแล้วขอครับ

ฮูหยินใหญ่รับสั่งว่าหากคุณหนูรองสำนึกผิดได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นถึงจะสามารถเข้าจวนได้

เชิญคุณหนูรองกลับอารามไปเถอะขอรับ" ความหมายประชดประชันเต็มที่ สีหน้าของพ่อบ้านไม่มีความใจดีแม้แต่น้อย แถมยังเจือไปด้วยความรำคาญ

คุณหนูรองคนนี้รู้จักแต่สร้างความวุ่นวายได้ทั้งวัน ควรได้รับความลำบากเสียบ้าง เขาก็อยากจะดูว่าหิมะตกหนักขนาดนี้นางจะทนได้สักกี่น้ำ

หลินจื่อเหยาเงยหน้าขึ้นไป ในที่สุดก็พูดขึ้น “หลบไป” ท่าทีตอบสนองแบบนี้อยู่เหนือความคาดหมายของพ่อบ้าน เขาอดที่จะตะลึงไปไม่ได้

เขารู้ว่าคุณหนูรองมีนิสัยอย่างไร อ่อนแอปวกเปียก ไม่กล้าตอบโต้แม้แต่น้อย เหตุใดวันนี้ถึงกล้าเถียงเขาได้เล่า

พ่อบ้านคาดไม่ถึง “คุณหนูรองอย่าเอาแต่ใจอีกเลยขอรับ หรือไม่อย่างนั้นวันนี้ก็เชิญคุณหนูรองไปคุกเข่าอ้อนวอนขอโอกาสต่อฮูหยินใหญ่

กล่าววาจาเพราะๆ อย่างคนสำนึกผิด ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือขอรับ"

คุกเข่า? อ้อนวอน? สำนึกผิด? พวกเจ้าสมควรหรือ?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel