บทที่ 3 บีบไข่สั่งสอน
บทที่ 3 บีบไข่สั่งสอน
เฟิ่งฟางเซียนสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะถูกหลิวหมัวหมัวปลุก นางมองดูชุดคลุมมังกรสีทองของสวีหลงเยียนที่คลุมร่างของนางเอาไว้ ใบหน้าเรียวสวยค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา จนหลิวหมัวหมัวที่ได้เห็นอดจะหยอกล้อนางไม่ได้
"ฝ่าบาททรงเปลือยกายท่อนบนเดินออกจากตำหนักไป บ่าวจึงรีบเข้ามาดูพระสนม โธ่ หมดแรงเชียวหรือเพคะ"
เฟิ่งฟางเซียนเหลือบไปเห็นคราบเลือดติดอยู่ที่บริเวณชายเสื้อคลุมก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง นางนึกถึงตอนที่นางขึ้นขย่มอยู่บนกายของสวีหลงเยียนเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้ใจของนางสั่นระรัว
นี่ข้าหลับนอนกับพระเอกนิยายที่เขียนขึ้นมาหรือ?
"พระสนมรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเพคะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว"
เฟิ่งฟางเซียนพยักหน้า แต่พอนางกำลังจะลุกก็รู้สึกปวดร้าวที่สะโพกและเรียวขาเป็นอย่างยิ่ง หลิวหมัวหมัวที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รีบเดินเข้ามาช่วยประคองนางอย่างหน้าชื่นตาบาน
รุ่งเช้าสวีหลงเยียนมาประชุมกับเหล่าขุนนางด้วยขอบตาที่ดำคล้ำ เขาแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะเวลาที่เขาหลับตาก็จะนึกถึงภาพที่เฟิ่งฟางเซียนขึ้นขย่มสะโพกอยู่บนร่างกายของเขา
บัดซบ!!! นางปลุกปล้ำข้า!!!
"ฝ่าบาท อีกสองวันจะถึงวันคัดเลือกนางกำนัลให้เข้ามารับใช้ในวังหลวงแล้ว พระองค์มีสิ่งใดจะรับสั่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
สวีหลงเยียนกำลังเหม่อลอย เขาแทบจะจับใจความคำพูดที่ราชเลขาเอ่ยกับเขาไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
"ฝ่าบาทคุณสมบัติของนางกำนัลที่พึงมี ฝ่าบาทเห็นเป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ"
"ขาว เนียน ขึ้นขย่มบนกายข้า"
ราชเลขา "...."
สวีหลงเยียนเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองได้เอ่ยสิ่งใดออกไป เขาหันไปส่งสายตาอำมหิตให้แก่ราชเลขาและเหล่าขุนนางจนพวกเขาหวาดกลัวกันหัวหด
บัดซบ บัดซบ!!! สตรีชั่วช้านั่นทำให้ข้าเป็นเช่นนี้!!!
"ฝ่าบาท"
"คุณสมบัติใดที่สตรีพึงมีเจ้าก็เขียนลงไปสิ จะถามข้าทำไมให้มากความ!!! เดี๋ยวก็ถีบไปติดเสาเสียนี่!!!"
"ขออภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!!!"
เหล่าขุนนางต่างนึกเวทนาราชเลขาชราที่ต้องทนรองรับอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของสวีหลงเยียน ให้ตายสิฮ่องเต้พระองค์นี้ คนหัวหงอกยังไม่เว้น!!!
เหล่าขุนนางทำได้เพียงสบถด่าทอสวีหลงเยียนในใจ ใครจะกล้าไปต่อต้านเขากันเล่า ฮ่องเต้พระองค์นี้อารมณ์แปรปรวน ต่างจากชินอ๋อง สวีมู่หรง ผู้เป็นน้องชาย ที่สุภาพอ่อนโยนเป็นบุรุษที่รูปงามเพียบพร้อม น่าเสียดายยิ่งนักที่ไม่ได้สืบราชสมบัติต่อจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน
"ฝ่าบาท ยามนี้พระองค์ขึ้นครองราชย์มาได้ระยะหนึ่งแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะแต่งตั้งฮองเฮาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงของขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาในระหว่างที่สวีหลงเยียนกำลังหยิบฎีกาฉบับหนึ่งขึ้นมาอ่าน
ฟึ่บ!!!
"ฝ่าบาท!!!"
เขาโยนฎีกาฉบับนั้นใส่หน้าผากของขุนนางผู้โชคร้ายอย่างเต็มแรง ขุนนางชรารีบทรุดลงกับพื้นคุกเข่าด้วยความหวาดกลัว สวีหลงเยียนปรายตามองขุนนางชราอย่างดูแคลน
"ผู้ที่เขียนฎีกาฉบับนี้ขึ้นมาคงเป็นเจ้ากระมัง"
ขุนนางผู้โชคร้ายพยักหน้าหงึกหงักด้วยความขลาดกลัว สวีหลงเยียนส่งเสียงเฮอะในลำคอคราหนึ่ง ขุนนางชั่วช้าพวกนี้ วัน ๆ มีแต่คิดจะยัดเยียดสตรีมาให้เขา!!!
"ราชเลขา!!!"
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
"จับตัวขุนนางชั่วผู้นี้ไปตัดมือทิ้งเสีย อย่าให้มันมาเขียนเรื่องไร้สาระส่งขึ้นมาให้ข้าดูอีก"
ราชเลขาหันขวับไปมองสวีหลงเยียนทันที แต่กลับถูกรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายของเขาทำให้เสียวสันหลังวาบ
"มองอะไร หรือเจ้าอยากโดนตัดมืออีกคน?"
"ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้"
"ดี!!! เลิกประชุม!!!"
สวีหลงเยียนสะบัดชายเสื้อเดินออกมาจากท้องพระโรงด้วยความหงุดหงิดใจ ระหว่างทางเขาเดินผ่านตำหนักเย็น สายตาจึงเหลือบไปเห็นเฟิ่งฟางเซียนกำลังนั่งถอนหญ้าอยู่ที่แปลงผัก นางก้มกายลงไปและใช้มือดึงต้นหญ้าเล็ก ๆ ที่ขึ้นตามร่องแปลงผัก ชุดที่นางสวมใส่เบาสบาย เผยให้เห็นเรือนร่างบางระหง และเนินอกขาวเนียนที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ตามการเคลื่อนไหวของนาง
"พวกเจ้าไสหัวไปก่อน!!!"
เขาหันไปสะบัดมือไล่เหล่านางกำนัลขันทีให้ไปยืนอยู่ไกล ๆ ก่อนจะก้าวเท้ายาว ๆ เดินไปหาเฟิ่งฟางเซียนที่แปลงผัก หลิวหมัวหมัวที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินออกไปให้ไกลทันที
เฟิ่งฟางเซียนไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าสวีหลงเยียนเดินเข้ามา นางยังคงก้มหน้าก้มตาดึงหญ้าที่แปลงผักต่อไป สวีหลงเยียนเริ่มหมดความอดทนที่จะรอให้นางเงยหน้าขึ้นมามองเขาแล้ว เขาจึงเอ่ยปากขึ้นมา
"สตรีชั่วช้า เจ้าสวมเสื้อผ้าบางเบาเช่นนี้ จะไปยั่วองครักษ์ที่ใดกัน?"
เฟิ่งฟางเซียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นสวีหลงเยียนนางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนในใจไม่น้อย สวีหลงเยียนเองเมื่อได้จ้องมองนางตรง ๆ เช่นนี้ ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอย่างบอกไม่ถูก
"ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ"
เฟิ่งฟางเซียนลุกขึ้นยืนย่อกายทำความเคารพเขาตามธรรมเนียม สวีหลงเยียนพยักหน้าคราหนึ่ง ทว่าสายตายังคงจับจ้องมองนางอย่างล้ำลึก
"เจ้าทำอะไร?"
"เอ่อ ถอนหญ้าเพคะ หม่อมฉันจะปลูกผักไว้กิน"
"ข้าแค่ถามว่าเจ้าทำอะไร ตอบสั้น ๆ !!! จะตอบยาวทำไมข้าขี้เกียจฟัง"
โรคประสาทกำเริบอีกแล้ว!!! ไม่อยากฟังแล้วจะถามทำไม!!!
"ก็ฝ่าบาททรงถามนี่เพคะ"
"เจ้ายอกย้อนข้าหรือฮะ!!!"
"โอ๊ย หม่อมฉันเจ็บเพคะ!!!"
"ข้าก็จะให้เจ้าเจ็บอย่างไรเล่า สตรีหน้าโง่!!!"
สวีหลงเยียนยื่นฝ่ามือหนาใหญ่ไปบีบที่หัวไหล่ทั้งสองข้างของนางจนเป็นรอยแดง เฟิ่งฟางเซียนลอบสบถด่าทอเขาในใจเป็นพันครั้ง
"เจ้านี่ต่ำช้าเหมือนพี่สาวของเจ้าเสียจริง คิดยั่วยวนข้าไม่พอ ยังคิดจะยั่วยวนชายอื่นอีก!!!"
"หม่อมฉันไม่ได้ยั่วใครนะเพคะ"
"หุบปาก!!! เจ้าอย่าได้คิดเพ้อฝัน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ข้าจะคิดซะว่าทำทานถวายเทพเซียน ให้ปีศาจเช่นเจ้าได้กินอิ่มสักมื้อ!!!"
เฟิ่งฟางเซียนถอนหายใจออกมาด้วยความเอือมระอา ใครจะอยากได้เขากัน มันผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย ใครจะไปรู้ว่าพอเขาลุกขึ้นมานั่งแล้วนางจะล้มลงบนตักเขา จนทำให้ เอ่อ... ไอ้นั่น...เอ่อ...แทงเข้ามา อร๊ายยย!!! น่าอายที่สุด
สวีหลงเยียนขมวดคิ้วมุ่น เขาจ้องมองใบหน้าที่เบื่อโลกของนางด้วยความชิงชัง
"อย่าคิดเพ้อฝัน!!!"
"ปล่อยเถอะเพคะ หม่อมฉันเจ็บ"
"ข้าไม่ปล่อย!!! เจ้าจะทำไม?"
เฟิ่งฟางเซียนหมดความอดทนแล้ว นางยื่นฝ่ามือเรียวเล็กไปบีบขยำพวงไข่มังกรสองใบของเขาอย่างเต็มแรง สวีหลงเยียนใบหน้าบิดเบี้ยวเขียวคล้ำด้วยความเจ็บปวด เขาจ้องนางเขม็ง แต่พบว่าสนมรักกลับมีใบหน้าเรียบเฉย ซ้ำยังเพิ่มแรงบีบที่พวงไข่สองใบของเขาให้หนักขึ้นอีก
"ฟางเซียน!!! โอ๊ยยยย "
"พระองค์บีบไหล่หม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะบีบพวงไข่สวรรค์ของพระองค์ แลกกันเพคะ"
"ปล่อยมือโสมมของเจ้าออกจากตรงนั้นของข้าเดี๋ยวนี้!!!"
"พระองค์ก็ปล่อยหม่อมฉันก่อนสิเพคะ"
"ไม่!!!"
"ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็ขออภัยที่ต้องบีบให้แรง ๆ อีกเพคะ"
"โอ้ววว!!! ลูก ๆ ของข้าตายหมดแล้ว!!! สตรีชั่วช้า!!!"
หลิวหมัวหมัวและเหล่านางกำนัลขันทีที่ยืนอยู่ไกลต่างรีบก้มหน้าลง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฝ่าบาทจะมีรสนิยมแปลกประหลาดเช่นนี้
ชมชอบให้นางสนมจับไข่เล่นตอนกลางวัน!!!
