Chapter 3 เคว้ง
“เสียใจด้วยครับ”
สิ้นเสียงนั้น หญิงสาวถึงปล่อยเสียงร้องไห้โฮ ขณะตากล่ำก้มหน้านิ่ง
“เช็ดน้ำตาเสียด้วงเอ๊ย! ไม่งั้นคนตายจะมีห่วง ไปไหนไม่ได้”
ตาปลอบหลาน ยามเข้าไปดูศพคู่ชีวิต สองตาหลานทำอะไรไม่ถูกกับความสูญเสียกะทันหันนี้ ธุระเรื่องงานศพจึงเป็นของอมันต์ที่ช่วยจัดการ ด้วยเขามีทั้งเงิน ทั้งคน เนรมิตทุกสิ่งได้ดังใจ
“ตาอยากบวชต่อให้ยายเอ็ง”
ตากล่ำในจีวรพระบอก หลังจากบวชหน้าไฟแล้ว ชายชราเบื่อหน่ายทางโลก จึงต้องการบวชตลอดชีวิต
“เรื่องไร่ตายกให้เอ็ง จะขายหรือให้ใครเช่าต่อก็ตามใจ”
จันทร์นิลเคว้ง รู้สึกเหมือนเรือลอยเรื่อยเปื่อยกลางทะเล ยังดีที่คุณย่าอมราวดีมีเมตตา คอยปลอบ และอมันต์คอยเป็นธุระเรื่องต่าง ๆ ให้ด้วยท่าทีเรียบเฉย
แต่ละวันของเธอหมดไปกับการดูแลคุณย่า เย็นก็รอเขากลับมาทานข้าว
“เธอน่าจะกินข้าวพร้อมย่าเลย ไม่ต้องรอฉันหรอก มันดึก” เขาว่า ตอนเห็นเธอตักข้าวเย็นใส่จานตนเอง
“ด้วงคิดว่าพี่หาญกินข้าวคนเดียวคงจะเหงา”
จันทร์นิลเอ่ยเสียงเจียมเนื้อเจียมตัว หลังจากคืนนั้น เขาและเธอไม่ได้พูดกันเรื่องนั้นกันอีกเลย ต่างคนต่างอยู่ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฉันกินข้าวกลางวันคนเดียวในไร่บ่อยไป” อมันต์ตักไข่เจียวเย็นชืดที่เธอทำไว้ใส่จาน “หน้าที่เธอแค่ดูแลย่าก็พอ”
ข้าวที่ตักเข้าปากชักติดคอ เขาจะไม่ญาติดีกับเธอเชียวหรือ หน้าก็ยังไม่อยากมอง ไม่อยากทานข้าวร่วมโต๊ะ เอาแต่ไล่ให้ไปอยู่กับคุณย่าอมราวดีท่าเดียว
“แต่ด้วงเป็นเมียพี่หาญนะคะ”
น้อยใจ จึงเลือกใช้ถ้อยคำบ้าน ๆ แต่กระแทกใจฟัง คนทานข้าวชะงักมือ ตาคมลึกมองเธออย่างกล่าวโทษ
“เธอก็รู้ว่าการแต่งงานของเราเกิดจากอะไร อย่าทำเรื่องที่ฝืนตัวเองเลย”
อ้อ...ตอนนี้เขากำลังฝืนอยู่สินะ ริ้วแดง ๆ พาดขึ้นใบหน้า เธอกะพริบตาถี่ไล่น้ำตา บอกตัวเอง...อย่าร้องไห้ออกมาเชียว
“วันนี้ย่าเป็นยังไงบ้าง”
เขาถามถึงคนที่ตนเป็นห่วงใย ซึ่งไม่ใช่เธอ จันทร์นิลสูดลมหายใจลึก วางช้อนลง แล้วเริ่มเล่า คุณย่าอมราวดีเป็นสายใยเดียวที่ยึดโยงระหว่างเธอกับเขา เป็นแค่เรื่องเดียวที่คุยกันได้
ก่อนราตรีจะจบลง โดยต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง จันทร์นิลนอนมองประตูเชื่อมระหว่างสองห้อง อยากให้มันเปิดออก หรือตนมีความกล้าพอที่จะข้ามไปหาเขา
เรื่องอย่างนี้ผู้ชายควรเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ก็นะ ขนาดเรื่องคืนนั้นเขาเป็นฝ่ายเริ่ม เช้าต่อมายังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เธอเกลียดอมันต์จริง ๆ เชียว
จันทร์นิลคิดอย่างนี้จากวัน เข้าสัปดาห์ ล่วงสู่เดือน
“หนูกับหาญได้คุยกันบ้างหรือเปล่า เห็นเขากลับค่ำตลอด” ผู้สูงวัยถาม เพราะจับความรู้สึกมึนตึงของหลานชายและหลานสะใภ้ได้
“คุยกันอยู่ ตอนทานข้าวเย็นค่ะ” เรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องท่านทั้งนั้น
“ดีแล้ว ฉันอยากได้หลานเร็ว ๆ”
เธอเลี่ยงหลบตา เด็กจะมาได้อย่างไร เขากับเธอมีอะไรกันครั้งเดียว หน้าเธอเขายังไม่อยากมองเลย หากครั้งเดียวติดล่ะก็เรียกว่านิยายชัด ๆ
จันทร์นิลรอเขามากินข้าวเย็นตามเคย วันนี้ได้ปลาทับทิมสด ๆ มา คนงานไปตกจากบ่อในไร่เอามาฝากคุณย่าอมราวดี เธอจึงทำต้มยำปลา ท่านชอบมาก ชมไม่หยุดปากว่าอร่อย ขอเติมข้าวไปสองครั้ง
โครม!
เสียงดังเหมือนอะไรตกจากที่สูงดังมาจากห้องคุณย่าอมราวดี ทำให้หญิงสาวที่ทำงานบ้านอยู่ ต้องวิ่งไปดูอย่างเร็วรี และต้องตกใจกับภาพที่เห็น
“คุณย่า คุณย่าคะ”
เข้ามาในห้อง ก็พบว่าท่านล้มอยู่บนพื้น เธอเลยหยิบโทรศัพท์เรียกอมันต์ให้กลับมาบ้านทันใด
“ย่าเป็นอะไร”
“ท่านน่าจะล้มค่ะ”
“เธอไปเตรียมตัว ฉันจะพาย่าไปหาหมอ”
“ค่ะ ๆ”
พอเธอวิ่งไปหยิบกระเป๋าที่ห้อง ก็รีบตามชายหนุ่มที่อุ้มคุณย่าไปขึ้นรถและรีบพาย่าไปโรงพยาบาล ด้วยอาการท่านกำเริบ หมอเลยให้แอดมิท
หากจันทร์นิลเฝ้าอยู่หลายวันอาการท่านก็ไม่ดีขึ้น ก่อนท่านจะจากไปอย่างสงบ
“คุณย่าคะ ทำไมจากด้วงไปเร็วแบบนี้ ด้วงยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณเลย” จันทร์นิลร้องไห้ออกมา เมื่อแพทย์เจ้าของไข้คุณย่าอมราวดีออกมาแจ้งว่าท่านเสียชีวิตแล้ว
“พอเถอะด้วง คุณย่าไปสบายแล้วนะ”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เสียใจ แต่ต้องเข้มแข็งเป็นเป็นหลักให้อีกคน ตั้งแต่เล็กจนโลกเขาก็มีคุณย่าเพียงคนเดียวที่คอยอุ้มชูตนมาเสมอ อะไรที่ทำให้ท่านได้ เขาก็พร้อมที่จะทำ
งานศพคุณย่าอมราวดีต่างจากงานยายเธอลิบ ทั้งยิ่งใหญ่และแวดล้อมด้วยพวงหรีดดอกไม้จากคนสำคัญในจังหวัด โดยมีอมันต์เป็นพ่องาน ขณะเธอร้องไห้จนตาบวม หมดที่พึ่งกำลังใจแล้ว ในชีวิตเธอเหลือเพียงอมันต์เท่านั้น
นาถสุดามาช่วยงานตั้งแต่วันแรกที่ทราบข่าว ทั้งยังเดินตามติดอมันต์เป็นเงา คล่องแคล่ว รู้จักคนโน้นคนนี้ไปหมด
“เธอจะนั่งตาแดงอยู่ไปจนถึงเมื่อไร เป็นเจ้าภาพก็หัดทำประโยชน์เสียบ้างสิ” มือขาวผ่องพร้อมเล็บเจียนมนเคลือบสีแดงสด ดึงแขนเธอออกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ “อย่างน้อยช่วยตักน้ำแข็งเสิร์ฟน้ำก็ยังดี”
คนตามติดอมันต์มาตลอดนิ่วหน้าหงุดหงิด
“ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ” เธอตีรวน มองนาถสุดาตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกว่าตัวเองสู้ไม่ได้สักทาง
“มัวแต่เศร้าอึมครึมอย่างนี้นี่เอง หาญถึงไม่พาออกไปไหน” นาถสุดมองเธอหัวจรดเท้าเช่นเดียวกัน
“แต่ฉันยังเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา ไม่ใช่พวกลักกินขโมยกิน”
จันทร์นิลเชิดหน้าเท่าที่จะทำได้ อีกฝ่ายหน้าเบ้ กำมือแน่นจนเล็บแดงจิกเข้าเนื้อ
“แค่ตอนนี้ล่ะน่า เดี๋ยวหาญก็แต่งงานกับฉัน”
“โกหก!”
นาถสุดาช่างกล้า มาพูดเรื่องเช่นนี้ในงานศพ
“ไม่แต่งกับฉันแล้วเขาจะแต่งกับใคร ที่เขาแต่งกับเธอเพราะย่าขอไว้ แต่ตอนนี้ไม่มีท่านแล้ว”
ในอกเธอโหวง หัวใจอันตรธานหายไปเป็นธาตุอากาศ
“ไม่เชื่อก็ไปถามหาญดู”
สาวเล็บแดงย้ำ ทิ้งระเบิดเป็นความกังขาโครมใหญ่ไว้ในสมองของเธอ
“พี่หาญ”
อมันต์เลิกคิ้ว ตอนเห็นจันทร์นิลก้าวออกมาจากห้องนั่งเล่น ตาคมเหลือบแลดูเวลา
“ดึกแล้ว ทำไมไม่นอน”
พรุ่งนี้เป็นวันเผาคุณย่า จึงคุยกับคนที่เกี่ยวข้องจนดึก ลากยาวจนถึงตีหนึ่ง
“ด้วงนอนไม่หลับ” เธอตอบอ้อมแอ้ม เก็บความน้อยใจเอาไว้ในอก ดูเหมือนว่าตัวเองทำอะไรก็ผิด
“เป็นอะไร” ชายหนุ่มกอดอกหรี่ตามอง
“พี่หาญจะแต่งงานกับคุณผึ้งเหรอคะ”
พูดออกไปแล้วก็เกิดความเงียบ อากาศกดดันหนักอึ้ง ราวมันถ่วงด้วยเหล็ก
“ไร้สาระ เธอไปเอามาจากไหน” เขาเอ็ดเสียงต่ำ
“คุณผึ้งบอก จริงหรือเปล่าคะ”
เธอมองเขาเต็ม ๆ ตา บอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้ตอนนี้นะ
“มันไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องกังวล ไปนอนซะ ถ้ายังไม่หลับก็กินยาไป”
อมันต์ทิ้งเธอไว้กับความกังขาที่มากขึ้นกว่าเดิม เหมือนเธอกำลังโดนหักหลังกระนั้นหรือ นอกจากเขาไม่ต้องการแล้วยังจะทิ้งกันได้ลงคอเชียว
ใจร้าย เป็นคำที่หญิงสาวคิดได้ในตอนนี้
