ตอนที่ 4
เด็กรุ่นใหม่น้อยคนจะยกมือไหว้สวัสดีพ่อแม่แต่เณศราทำ... เธอยกมือประนมแนบอกอย่างงามช้อยสมกุลสตรี แจกหอมฟอดใหญ่อย่างเท่าเทียม โบกมือลาจนทั้งสองขึ้นรถยนต์ที่จอดไว้ด้านข้างร้าน
ใบหน้าสดสวยคลายความเศร้าหมองหลังทั้งสองคนจากไป เธอยิ้มดีใจแล้วก็เศร้าอีกพอกลับเข้าไปในร้าน มองไปที่โต๊ะตัวเดิมเหมือนว่าเขายังนั่งรอเธออยู่ตรงนั้น
อย่าโง่ค่ะ! จะไปคิดถึงเขาทำไม?
บอกตัวเองด้วยใจเจ็บ หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองจนแทบจะเป็นห้อเลือด ลืมไปว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
“พี่เนยคะ ฝากเสิร์ฟหน่อยโต๊ะแปด”
เสียงเรียกสั่งพาหลุดจากภวังค์ฟุ้งซ่าน น้องนักศึกษาวางของไว้แล้วเดินหายไปดูขนมปังในครัว เณศราส่ายหน้าไปมา
“มาสายหน่อยเดียว ไม่รู้ใครเป็นเจ้านายลูกน้องแล้วล่ะวันนี้” ไม่วายบ่นพลางผ่อนลมหายใจหนัก เธอหยิบจานเค้กใบเล็กใส่ถาดบนเคาน์เตอร์แล้วเดินไป ทันใดนั้นเอง เพราะไม่ทันสังเกตเห็นพื้นเปียกนองน้ำยังใส่ส้นสูงประมาณสองนิ้วมาด้วย
“ว๊าย!” เสียงดังทันทีที่เจ้าของร้านคนสวยเกือบเทกระจาดลงพื้นพร้อมกับเค้กในจาน ซึ่งเธอคว้ามันได้ทันแม้ว่าครีมสีขาวจะละเลงเละเทะบนเสื้อยืด
ขณะดวงตาคู่สวยเบิกกว้างมองตามใบหน้าหล่อเหลา หนุ่มแปลกหน้ารวบเอวของเธอเอาไว้กระชับจับไม่ให้ล้มลงฟาดกับพื้นเย็นเฉียบ มือใหญ่วางทาบบนแผ่นหลังดันล้วงเข้าไปในเสื้อในสภาพที่เธอเอนตัวลงเป็นนักเต้นเท้าไฟในงานลีลาศ
เนื้อแนบเนื้อสำหรับงานเอวลอย...
นึกอยากเอาเสื้อลอยเต่อตัวนี้ยัดเข้าไปในกระโปรงแต่เขาจับไปแล้วจะไปมีประโยชน์อะไร
“ระวังนะครับมันลื่น...”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์มีเสน่ห์ในแบบหนุ่มหล่อขาว... ตี๋ตาโตใต้แว่นกรอบหนา... นี่มันหนุ่มฮอตเนิร์ดชัด ๆ!
เณศราสติหลุดไปหลายนาน แม้รู้สึกได้ถึงความร้อนแรงจากฝ่ามือหนาใหญ่ นุ่ม! เหมือนมือผู้หญิง จนเสียงทุ้มนุ่มละมุนหูเรียกดัง
“คุณครับ?”
เธอรีบผละออกจากอ้อมแขนแข็งแรง ทรงตัวอย่างมั่นคง ละล่ำละลักพูด
“ขอโทษค่ะ!”
“ไม่ใช่คุณ... ผมต้องเป็นฝ่ายขอโทษครับ เด็กพวกนั้นเป็นนักศึกษาผม... ทำน้ำหก... ตั้งใจ” ปลายนิ้วชี้ออกไปทางนอกหน้าต่างบานใส เณศราถึงได้มองตามหนุ่มสาวประมาณสี่คนด้านนอกร้านยืนฉีกยิ้มแฉ่ง โบกมือไปมา แต่ละคนดูแล้วหน้าตาท่าทางเอาเรื่อง ทว่าเธอคงจะโกรธเด็ก ๆ ไม่ลง
“ไม่เป็นไรค่ะเชิญนั่งก่อนนะคะ คุณนั่งก่อนเลยค่ะนั่งตรงนี้เลย เอ่อ... อาจารย์นะคะ?”
ความเก้อเขินทำให้เธอเพิ่งฉุกใจนึกขึ้นได้ถึงคำว่า ‘นักศึกษาผม’ ยังไม่เคยมีหนุ่มคนไหนมาลูบหลังด้วยมือสด ๆ! เธอพาเขาไปนั่งลงบนโซฟาสีเขียวหน้าเคาน์เตอร์ อาจารย์หนุ่มก็เอาแต่มองเค้กในมือเหมือนเสียดายทั้งคนทั้งเค้กที่จำเป็นต้องปล่อยให้เป็นอิสระ
“ฉันขอโทษและขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าอาจารย์ไม่รับไว้ฉันคงได้หน้าแหกปากแตกหมอไม่รับเย็บ... ทานกาแฟหรือน้ำอะไรไหมคะ? ทานฟรีได้เลยค่ะ...”
“ไม่เป็นไร ๆ ครับ ผมจ่ายได้ครับ ขอเป็นคาปูชิโน่เย็นแล้วกัน... แต่...” เสียงเข้มเงียบไป นัยน์ตาคู่คมใต้แว่นกรอบหนาขยับมองไปทางของที่เธอประคองมันไว้ราวกับว่าเป็นทองคำล้ำค่า ไม่ใช่เค้กเพียงเสี้ยวเดียว
“ผมขับรถมาจากพระประแดงเพื่อมากินสตรอว์เบอร์รีชีสเค้ก เหมือนว่ามันจะเป็นชิ้นสุดท้ายในตู้นะครับ...”
“พระประแดง!” อุทานตาโต เพราะนั่นคือห่างจากร้านเธอเกือบสี่สิบกิโลฯ ได้ เท่ากับขับรถข้ามจังหวัด เณศราก้มศีรษะให้เขาไม่รู้รอบที่เท่าไร
“ขอโทษจริง ๆ นะคะ เดี๋ยวฉันจะทำให้ใหม่ แต่วันนี้คงไม่ทัน ยังไงวันหลังมาทานฟรีได้เลยค่ะอาจารย์...”
“ครับ... ไม่เป็นไร”
โกหกล้วน ๆ! เมื่อดวงตาคู่คมไม่ละวางจากก้อนครีมบนเสื้อยืดบริเวณหน้าอกกับก้อนเละเทะในมือบอกว่าเขาอยากกิน...
“หรืออาจารย์จะทานเค้กบนเสื้อฉันล่ะคะ? ส่วนอันนี้... เละ...” เธอยิ้มเจื่อนก่อนจะปล่อยเค้กสีเนื้อนวลลงบนจานอย่างเดิม ใส่ถาดขนาดพอดีมือเรียบร้อยดีแล้วจึงโน้มตัวลงวางมันบนโต๊ะ โดยมีอาจารย์หนุ่มเอื้อมไปหยิบมันเข้าปากทันที! เณศราถึงกับอ้าปากค้าง
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท... กับคุณนะ”
“เอ้อ... รู้สึกเขินจัง แต่ดีใจนะคะที่เค้กอร่อย ดีใจมาก ๆ เลย”
แล้ว... อาจารย์เพิ่งกินเค้กขี้มือเธอแหละ...
คิดพลางอมยิ้มแก้มกลมตุ่ย พอเขาหยิบทิชชูส่งให้เธอรับมาเช็ดมือเช็ดเสื้อ เณศรายังเห็นด้วยอีกว่ามีคนแอบเหลือบตามองตามทิชชูเคลือบครีมสตรอว์เบอร์รีเหมือนอยากกินเข้าไปอีก
