2
ที่สามีรักและดูแลอมิตาอย่างดีเธอรู้ว่าเพราะทรัพย์สมบัติที่เธอครอบครองอยู่ในขณะนี้เป็นของภรรยาคนแรกของสามี เพราะสามีนั้นไม่ได้มีฐานะอะไรเลย แต่เพราะเป็นคนดีคนขยันจึงกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารแต่งงานกับลูกสาวคนเดียวของตระกูลใหญ่ ทำให้มีฐานะขึ้นมาชั่วข้ามคืน
“เราได้ทั้งทรัพย์สมบัติของคุณพ่อที่ได้จากแม่นังพี่มิกับทรัพย์สมบัติที่จะเป็นของเราในอนาคตจากตระกูลเอกกำจร ต่อไปเราก็จะรวย รวยและรวย อยากได้อยากมีอะไรก็ได้ดังใจหมาย ไม่ขัดสน ไม่ลำบาก หนูอยากให้ถึงวันแต่งงานเร็ว ๆ จังเลยค่ะคุณแม่” กฤติกาฝันหวานถึงทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่จะได้รับจากตระกูลของว่าที่สามีในอนาคต
“ส่วนแกนังมิ รีบหายแล้วก็รีบไปแต่งงานกับผัวพิการของแกซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะตบแกให้คว่ำ” จิตติมาจิ้มหน้าผากลูกเลี้ยงที่นั่งเล่นตุ๊กตาอยู่บนที่นอน
“อย่าทำ หนูกลัว กลัวแล้ว” อมิตากอดตุ๊กตาแน่นด้วยท่าทีหวาดกลัวตัวสั่นเทา
“ถ้าแกไม่อยากโดนก็รีบหาย แล้วทีหลังอย่ากินอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีก น่ารำคาญเสียจริง” จิตติมาจิกผมลูกเลี้ยงจนหน้าหงาย ก่อนที่จะกระซิบเสียงอำมหิต ทำเอาอมิตาลนลานรีบพยักหน้ารับปากคอสั่นไปหมด
“จะรีบหาย จะไม่กินอะไรที่ห้ามกินอีก” อมิตายกมือขึ้นอุดปากตัวเองเอาไว้ ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าอาการของอมิตาดีขึ้น หมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว สองแม่ลูกก็ไม่รั้งรอที่จะรีบพาอมิตาออกจากโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
หมอแต่ละวันเข้าเวรไม่ซ้ำกัน หมอประจำตัวของอมิตาที่มีชื่อเหมือนกันไม่ได้เข้าเวร แต่อมิตาก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อได้รับอนุญาต
“ไปส่งถึงบ้านให้เรียบร้อยด้วยนะ” จิตติมาบอกคนขับแท็กซี่ขาประจำที่เรียกใช้อยู่ตลอดให้ไปส่งอมิตาที่บ้าน ด้วยว่าที่บ้านมีสาวใช้รอรับอยู่ จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าลูกเลี้ยงจะเข้าบ้านไม่ได้ ส่วนเธอกับลูกสาวจะไปชอปปิงกันต่อ
“ได้ครับ” คนขับแท็กซี่ที่ถูกเรียกใช้เป็นประจำจากบ้านนี้รับคำอย่างแข็งขันก่อนที่จะขับรถพาลูกสาวคนโตของตระกูลเนตรนฤดลกลับบ้านอย่างสวัสดิภาพ
2
เอี๊ยด! โครม!
เสียงโครมใหญ่ดังขึ้นหน้าโรงพยาบาล แท็กซี่ชนเข้ากับรถของคุณหมอสาวเต็มแรงจนร่างทั้งสองกระเด็นเพราะรถเสียหลัก ทำให้หน่วยกู้ภัยของโรงพยาบาลต้องรีบเข้ามาพาตัวคนเจ็บทุกคนเข้าห้องฉุกเฉินโดยด่วน
เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง คุณหมอที่เข้าไปช่วยเหลือคนไข้ออกมาแจ้งว่าอมิตาพ้นขีดอันตรายแล้ว
สองแม่ลูกดีใจที่อมิตารอด ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่เพราะกลัวพลาดสินสอดก้อนโตจากตระกูลเอกกำจร
“คุณหมอเป็นคนดีไม่น่าเลยจริงๆ”
“ใช่จ้ะ คุณหมออายุยังน้อยไม่น่าอายุสั้นเลยจริง ๆ” เสียงของเจ้าหน้าที่และพยาบาลคุยกันทำเอาสองแม่ลูกยกมือขึ้นทาบอก
“หมอตา เสียแล้วเหรอคะคุณแม่ อายุสั้นจัง”
“ช่างมันเถอะ ขอให้ยายมิรอดก็พอแล้ว คนอื่นใครจะอยู่ใครจะตายก็ช่างมัน ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา”
ร่างที่สลบไปนานค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา คุณหมอสาวกะพริบตาปริบๆ พบว่าสองแม่ลูกกำลังนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง
คุณหมอสาวกุมศีรษะของตัวเองเอาไว้ด้วยความปวด
“ฟื้นแล้วเหรอนังมิ แกนี่มันตัวซวยจริง ๆ นั่งรถยังไงให้เกิดอุบัติเหตุหึ! หาเรื่องให้ฉันเสียเงินให้แกอีกแล้ว”
“โอ๊ย! ปวดหัว” คุณหมอสาวไม่เข้าใจว่าทำไมสองแม่ลูกถึงได้มายืนจิกด่าเธออยู่แบบนี้ แต่เพราะปวดหัวมากเธอจึงหลับไปอีกครั้ง
คุณหมอสาวฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในสถานที่ที่ไม่คุ้นตา พร้อมกับเสียงเย็น ๆ ของใครคนหนึ่ง
“พี่หมอ พี่หมอ ตื่นเถอะค่ะพี่หมอ”
คุณหมอสาวกะพริบตาปริบๆ ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ความมืดโรยตัวโดยรอบ กลิ่นอับเจืออยู่ในอากาศ ทำให้เธอต้องเอามือปิดจมูก
“ดีจังพี่ฟื้นแล้ว” เสียงคุ้นเคยนั้นทำให้เธอกะพริบตาปริบ ๆ อยู่ในความมืด ไม่นานก็คุ้นชินกับมัน
“ใคร” คุณหมอสาวเอ่ยถามออกไป
“หนูเอง อมิตาคนไข้ของพี่หมอยังไงคะ” ร่างโปร่งแสงที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าทำเอาคุณหมอสาวสะดุ้งสุดตัว
“นี่มันอะไรกัน” เธอเอามือกุมขมับเอาไว้เพราะรู้สึกปวดหัว พยายามกะพริบตาแล้วนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้า
“พี่ขับรถไปโรงพยาบาลแล้วประสบอุบัติเหตุ รถชนเข้ากับแท็กซี่ที่หนูนั่งอยู่ค่ะ” ผีสาวเฉลยให้คุณหมอสาวได้ฟัง
“อย่างนั้นเหรอ จำได้แล้วแม่เลี้ยงกับน้องสาวของเรามายืนด่าพี่อยู่ข้างเตียง สงสัยจะประสาท”
คนพูดควานมือไปหาสวิตช์ไฟจนหาเจอ พอไฟฟ้าในห้องสว่างขึ้นก็พอจะมองเห็นห้องที่แปลกตา
ไฟถูกเปิดก็จริง แต่กลับเป็นไฟสลัว ๆ สีส้ม ไม่ได้เป็นสีเหลืองนวลตาอย่างที่คิด
คุณหมอสาวเดินสำรวจรอบห้องแล้วถึงกับเบ้หน้า นี่มันห้องนอนหรือห้องเก็บของนี่
เธอเดินผ่านกระจกใบเก่าก่อนจะสะดุ้งสุดตัวที่เห็นร่างของตัวเองเป็นอมิตา คนไข้สาวผู้น่าสงสาร เธอหันขวับไปทางด้านหลังก็เห็นอมิตาในร่างโปร่งแสง ทำเอาต้องกระโดดถอยหนีอย่างตกใจ
