บทนำ เจ้าสาววังบูรพา (1)
เกล็ดน้ำแข็งโปรยปรายจากฟากฟ้า เกาะเกี่ยวตามกิ่งไม้แห้ง หลังคาบ้านเรือนและถนนหนทางจนขาวโพลน รวมทั้งสายลมเย็นยะเยือกที่พัดโชยผ่านช่างเหน็บหนาวจนสั่นสะท้านกาย แม้จะมีเสื้อคลุมสวมใส่ แต่เสื้อที่ทั้งเก่าและขาดเป็นรูก็ปกป้องนางจากความหนาวเหน็บที่กำลังทวีความรุนแรงไม่ได้
ซี่ฟันกระทบกันดังกึกกึกจนปวดกรามไปหมด ยิ่งหิมะตกใส่โดนผิวแก้ม มันก็ทำให้นางสะดุ้งราวกับถูกเข็มทิ่มแทง ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ ‘มู่ ชิงชิง’ ก็กัดฟันทน ขอแค่ผ่านค่ำคืนนี้ไปเท่านั้น...
ใช่ แค่ผ่านคืนนี้เท่านั้น นางทนได้!
ต่อให้เหน็บหนาวจนร่างเป็นน้ำแข็ง นางก็จะทน!
พอคนของหอบุปผาสวรรค์ที่ออกไล่ล่านางวิ่งผ่านไปพักใหญ่ชิงชิงก็คลานออกจากตรอกเล็ก ๆ ซึ่งมีข้าวของตั้งวางระเกะระกะสูงท่วมหัว แต่มันก็ใช้เป็นที่อำพรางตัวได้ดีนัก รอเวลาผ่านไปครู่ใหญ่นางก็มุดออกมา โดยยังแอบซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะของร้านค้าซึ่งมีหิมะเกาะ
มองซ้ายมองขวาอย่างถี่ถ้วนและเห็นว่าปลอดภัย ไม่มีคนของหอบุปผาสวรรค์แล้ว ชิงชิงก็คลานออกจากใต้โต๊ะแล้วฉวยโอกาสนี้หลบหนี
ทว่าออกจากที่ซ่อน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองไม่ทันไร คนของบุปผาสวรรค์ที่ไปดักรอก็เจอนางเข้าเสียก่อน ด้วยเหตุนี้ชิงชิงจึงต้องวิ่งหนีชนิดไม่คิดชีวิตอีกครั้ง
“ซวยแล้ว!” หญิงสาวรีบหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีชนิดไม่คิดชีวิต
“อยู่นั่น จับเร็ว!!”
เสียงตะโกนของชายร่างยักษ์คือแรงกระตุ้นชั้นเลิศ คนผู้นี้คือลูกน้องมือขวาของ ‘ฮุ่ยเหนียง’ แม่เล้าของหอบุปผาสวรรค์ โชคดีที่นางชำนาญเส้นทางนี้ เพราะนางถูกฮุ่ยเหนียงและพี่สาวในหอนางโลมใช้ออกมาซื้อของอยู่บ่อย ๆ จึงทำให้นางรู้จักตรอกซอกซอยเป็นอย่างดี
วิ่งมาพักใหญ่จนหอบเหนื่อย แต่คนพวกนั้นยังไม่ละความพยายามจะไล่จับนาง ชิงชิงจึงจำต้องหาที่หลบซ่อนตัวอีกครั้ง นางไม่ลังเลที่จะเข้าไปหลบซ่อนในบ้านร้างผีสิงซึ่งอยู่ท้ายตรอก
ผีว่าน่ากลัวแล้ว แต่หากนางถูกคนพวกนี้จับตัวได้ล่ะก็ ย่อมน่ากลัวกว่าการเผชิญหน้ากับผีหลายเท่า!!
พอมุดผ่านรอยแตกของกำแพงเข้ามาได้ ชิงชิงก็รีบหาที่ซ่อนตัวเป็นอันดับแรก โดยนางได้ใช้วิธีเดินถอยหลัง และใช้บ่อน้ำเป็นที่อำพรางกาย หลบได้เพียงอึดใจเดียวเสียงถีบประตูก็ดังขึ้น พร้อมเสียงโวยวายของคนที่ไล่ตามนางมา
“ข้าเห็นนางวิ่งมาทางนี้” ใครบางคนที่ไล่ตามชิงชิงเอ่ยอย่างมั่นใจ
“นี่มันบ้านผีสิง ไม่มีใครกล้าเข้าไปหรอก”
“แต่ข้าเห็นนางวิ่งมาทางนี้จริง ๆ“
“ถ้าเจ้ามั่นใจแบบนั้นก็นำทางเข้าไปเลย” คนพูดดันหลังให้สหายนำทางไป
พอก้าวผ่านประตูบานเก่าผุพังเข้ามายังบริเวณบ้านที่ปกคลุมด้วยหิมะ บรรยากาศก็วังเวง ชวนให้เส้นขนลุกชันมากกว่าเก่า มันไม่ใช่แค่ความหนาวเย็น แต่เป็นเพราะความน่ากลัวของสถานที่
รอบกายไร้แสงไฟใด ๆ ต้นไม้ที่ยืนต้นตายแผ่กิ่งก้านแห้ง ๆ ดูราวกับภาพปีศาจร้าย เห็นความวังเวงนี้แล้วคนตาขาวก็กลืนน้ำลายลงคอ
“ไม่เห็นมีใครเลย”
“ต้องมีสิ ข้าเห็นกับตาว่านางวิ่งมาทางนี้จริง ๆ” ผู้พบเห็นชิงชิงยืนยันเสียงแข็ง “ดูสิที่พื้นมีรอยเท้าด้วย รอยยังใหม่ ๆ อยู่ ต้องเป็นรอยเท้าของนางแน่ ๆ”
“เจ้าแน่ใจเหรอ?” คนตาขาวกวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดระแวง มองไปทางไหนก็ดูวังเวงราวกับอยู่สุสานไม่มีผิด ที่แย่กว่านั้นเขากลับรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนจับจ้องอยู่ในความมืด
“แน่ใจสิ”
“แต่ข้าว่ามันแปลก ๆ อยู่นะ เหตุใดรอยเท้าถึงมาจากบ่อน้ำ เหมือนปีนขึ้นจากบ่อน้ำไม่มีผิด โอ๊ย! เจ้าตบหัวข้าทำไม?” คนกลัวผีเอามือลูบหัวตัวเองพลางทำหน้ายุ่ง
“กลัวไม่เข้าเรื่อง รีบไปดูเถอะ ได้ตัวนางกลับไปฮุ่ยเหนียงจะได้อารมณ์ดี”
คนกลัวผีกลอกตามองบน ผีว่าน่ากลัวแล้วแต่อารมณ์แปรปรวนของอิสตรีย่อมน่ากลัวกว่า โดยเฉพาะฮุ่ยเหนียง แม่เล้าของหอบุปผาสวรรค์
“เจ้านำไปสิ”
พอก้าวได้เพียงก้าวเดียว อยู่ ๆ เสียงสุนัขหอนก็ดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงแปลก ๆ ที่ทำให้ขนคอลุกชัน ยิ่งมีแรงลมพัดผ่านทำเอาบานประตูปิดเข้าหากันดังปังก็ยิ่งทำให้คนตาขาวกลัวหนักกว่าเดิม
กลัวจนก้าวขาไม่ออก...
