บท
ตั้งค่า

บทที่ 3-2

“ก็เอาไว้บนบ่านั่นแหล่ะ เพราะมันไม่มีความจริงไม่เป็นอย่างที่คุณพูดสักนิด ฉันมีเหตุผลส่วนตัวในการขอหย่า และเราต้องหย่ากันให้เร็วที่สุด” เมธาวีใจเต้นกับสายตาที่จับจ้องมองอย่างใกล้ชิดของพรตในเวลานี้

“ผมจะไม่หย่า จนกว่าคุณจะสารภาพความจริงว่าต้องการหย่าเพราะมีคนอื่น และผมจะเป็นฝ่ายให้ทนายจัดการเรื่องนี้เอง บอกไว้ก่อนเลยนะว่าคุณจะไม่ได้อะไรจากผมแม้แต่บาทเดียว” แววตาและน้ำเสียงชายหนุ่มจริงจังอย่างเห็นได้ชัด เมธาวีหันหน้าหนีสายตาที่จ้องมอง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

“ฉันไม่เคยอยากได้อะไรจากคุณอยู่แล้ว นอกจากใบหย่าเท่านั้น”

“ดี จำที่พูดวันนี้ด้วยล่ะ” พรตผงกศีรษะรับแล้วค่อยๆ ยืดตัวขึ้นมายืนตรงๆ อย่างสบายอารมณ์

“ผมมีเวลาอยู่ที่นี่หนึ่งเดือน ถ้าคุณอยากได้ใบหย่าเร็วๆ ก็ไปพาไอ้หมอนั่นมาแสดงตัวซะ แต่ถ้าไม่แล้วให้ผมจับได้เองล่ะก็ มันคงไม่ได้ง่ายแค่เซ็นใบหย่าเท่านั้น เพราะผมจะ...” พรตยังพูดไม่จบ เสียงนางแช่มก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน

“คุณวีคะ ครูป้อมมาแล้วค่ะ”

เมธาวีรู้สึกโล่งอกที่มีใครสักคนมาขัดจังหวะที่ต้องคุยกับพรตในเวลานี้ แต่เมื่อเห็นสายตาพิฆาตที่จ้องมองอย่างเอาเรื่องจากเขา เธอก็ไม่แน่ใจแล้วว่าการมาของครูป้อมเป็นการช่วยชีวิตหรือทำให้ทุกอย่างแย่ลงกันแน่

“นี่ผู้ชายในฮาเร็มของคุณด้วยหรือเปล่า” พรตถามเสียงเข้ม

“บ้าบออะไรของคุณอีก” เมธาวีไม่ตอบรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากศาลาไปทันที ท่ามกลางความสงสัยจนทนไม่ไหวทำให้พรตต้องเดินตามไปทันทีเช่นกัน

ชายร่างสันทัดที่จูงจักรยานยืนอยู่ที่หน้าบ้านคือคนที่นางแช่มเรียกว่าครูป้อม พรตเร่งฝีเท้าเดินให้ทันเมธาวีที่เดินนำไปก่อนหน้า เขาอยากเห็นหน้า ‘ครูป้อม’ ชัดๆ และอยากดูท่าทีของเมธาวีที่มีต่อคนที่มาด้วย

ธวัช สานสุขหรือครูป้อม ครูโรงเรียนประถมศึกษาที่เมธาวีไปพบเมื่อเช้านี้ ขี่จักรยานมาหาหญิงสาวถึงบ้านในตอนบ่ายตามเวลานัด ที่ตะกร้าหน้ารถมีแฟ้มเอกสารติดมาด้วย

“กินข้าวหรือยังครับ คุณวี” ชายร่างสันทัดในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีสุภาพสวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงินถามด้วยรอยยิ้ม

“เรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญครูป้อมทางนี้ดีกว่าค่ะ” เมธาวีส่งยิ้มตอบพร้อมเดินนำเข้าไปใต้ถุนบ้าน แน่นอนว่าพรตเดินตามโดยไม่รอช้า เขาชำเลืองมองคนที่จอดจักรยานไว้ที่เดิมเล็กน้อยก่อนจะตามไปยืนรอข้างเมธาวี

“ใคร” พรตถามเสียงเข้ม เมื่อได้เห็นหน้าชัดๆ ก็พินิจพิเคราะห์อย่างตั้งใจ

ครูป้อมคนนี้ไม่แก่หน้าตาพอใช้ได้ ท่าทางและสายตาดูเป็นมิตรมากกว่าเป็นศัตรู ที่สำคัญสายตาที่มองเมธาวีเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด ครูป้อมมองมาทางพรตเล็กน้อยและส่งยิ้มให้ตามมารยาท พรตเพียงแค่ทำหน้านิ่งแล้วใช้สายตาสังเกตท่าทีของทั้งคู่ไม่วางตา

“ผมเอาเอกสารที่คุณวีต้องการมาแล้วครับ” ครูป้อมยื่นแฟ้มที่ถือติดมือมาให้แล้วนั่งลงตรงข้ามหญิงสาว เมธาวีขอบคุณเบาๆ รับแฟ้มนั้นมาเปิดดูด้วยความสนใจ

พรตเลือกที่จะนั่งห่างออกมาแต่จ้องมองการพูดคุยของทั้งคู่ชนิดที่เรียกว่าไม่คลาดสายตาสักวินาที เขาฟันธงได้เลยว่าหมอนี่มีท่าทีชื่นชมและอาจจะ ‘จีบเงียบๆ’ โดยใช้ความสนิทสนมเป็นตัวนำทาง ส่วนเมธาวีนั้นมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีกลับไปไม่น้อย

“ขอบคุณครูป้อมมากนะคะ เดี๋ยววีจัดการเรื่องนี้ต่อให้ ได้ความคืบหน้าอย่างไรแล้วจะรีบบอกนะคะ” เมธาวีปิดแฟ้มคืนครูหนุ่ม ข้อมูลที่ได้เพียงพอที่จะไปสานต่อได้เองแล้ว

“ไม่มีปัญหาครับ ถ้าคุณวีต้องการอะไรอีกก็บอกผมได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” ครูป้อมเอ่ยย้ำก่อนจะขอตัวลากลับ เมธาวีลุกขึ้นเดินไปส่ง พรตลุกขึ้นเดินตามไปยืนเคียงข้างหญิงสาว

“พรุ่งนี้เช้าพบกันค่ะ” เมธาวีเอ่ย พรตนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร ทั้งคู่เจอกันทุกวันอย่างนั้นหรือ

“เจอกันเรื่องอะไร” พรตถามแทรกขึ้น เมธาวีนิ่งไม่ตอบ ส่วนครูป้อมทำหน้างงมองหน้าพรตสลับกับเมธาวีด้วยความสงสัย

“พบถามว่าพรุ่งนี้คุณจะพบภรรยาผมด้วยเรื่องอะไร” คราวนี้พรตเอ่ยเสียงดังฟังชัด

เมธาวีตกตะลึงไม่คิดว่าพรตจะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่น ส่วนครูป้อมนั้นไม่ต้องพูดถึงยืนนิ่งตะลึงเหมือนถูกสาปไปชั่วขณะเช่นกัน

“ผมชื่อพรต พิราธัสเป็นสามีของเมธาวี” พรตเอ่ยชัดถ้อยชัดคำสีหน้านิ่งเฉย สบตากับครูหนุ่มที่ทำหน้าตะลึงพูดไม่ออก

“คุณพรต หยุดได้แล้ว” เมธาวีหันมาปรามเสียงแข็ง

“คุณคงไม่รู้ว่าเธอแต่งงานแล้ว” พรตไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย หันไปถามคนที่ยืนอึ้งแทน

“ครูป้อมกลับไปก่อนเถอะค่ะ” เมธาวีรีบตัดบทพยักหน้าให้ครูป้อมกลับไป ครูหนุ่มละล้าละลังคล้ายกับมีคำถาม แต่หญิงสาวจัดการให้เขากลับไปโดยไวโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น เมื่อครูป้อมกลับไปแล้วเมธาวีจึงหันมาเล่นงานที่พูดจาไม่เข้าหูทันที

“คุณพูดแบบนั้นกับครูป้อมได้อย่างไร รู้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น” หญิงสาวหน้าตาขึงขังเอาเรื่อง

“ผมพูดความจริงผิดตรงไหน แล้วคุณกับหมอนั่นมีเรื่องอะไรต้องเจอกันทุกวัน นี่เมื่อเช้าก็เจอกันยังไม่พออีกหรือไง ถึงต้องให้มาหาที่บ้านอีก ถ้าผมไม่มาคุณสองคนจะคุยกันนานกว่านี้ไหม หรือว่าจะหาที่คุยกันสองต่อสอง” พรตร่ายยาวเป็นชุดสีหน้ามีความไม่พอใจเช่นกัน

“นี่คุณ กลับบ้านไปเลยดีกว่า อย่ามาอยู่พูดจาสุนัขไม่รับประทานแบบนี้ คนอคติคิดแต่เรื่องแย่ๆ ตัวเองทำนิสัยไม่ดีแล้วคิดว่าคนอื่นต้องเหมือนตัวเองหรือไง” เมธาวีพูดด้วยความโมโหสะบัดหน้าเดินหนีจะขึ้นข้างบนแต่พรตกระชากแขนไว้

“ไล่สามีตัวเองเพื่อจะได้ทางสะดวกในการพบกันทุกวัน ผมคงไม่โง่ให้คุณหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอกนะ นี่ใช่ไหม เหตุผลในการขอหย่าของคุณ”

“คุณมันบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่ก็ได้ คุณจะคิดอะไรแบบไหนก็เอาตามที่สบายใจเลย ขออย่างเดียวเท่านั้นช่วยเซ็นใบหย่าให้ฉันเร็วๆ”

ได้ยินคำว่าใบหย่าจากปากเมธาวีเท่านั้น พรตก็เลือดขึ้นหน้าทันที

“ผมไม่หย่า จะอยู่เป็นก้างดูคุณกับไอ้หมอนั่นลงแดงตายต่อหน้า ถ้าอยากให้เซ็นนักก็มาขอร้องดีๆ เผื่อว่าผมอาจจะใจดีเซ็นให้ง่ายๆ เห็นแก่คนที่กำลังจะลงแดงตายเพราะเป็นชู้กับเมียคนอื่น”

“คุณพรต” เมธาวีสะบัดแขนที่ถูกรั้งไว้ออกอย่างรุนแรง มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโมโห

“ทำไมต้องโกรธด้วย ผมพูดความจริงทั้งนั้น ถ้าคุณอยากได้ใบหย่าก็รีบบอกให้หมอนั่นมาพูดกับผมดีๆ ซะ กล้าทำก็กล้ารับหน่อย ลูกผู้ชายแมนๆ น่ะเป็นไหม”

“ลูกผู้ชายตัวจริงจะไม่พูดจาให้ร้ายคนอื่น คนที่ทำตัวตรงข้ามสำหรับฉันไม่ใช่ลูกผู้ชายสักนิด เป็นแค่เด็กเอาแต่ใจที่ชอบเอาชนะคนอื่นไปวันๆ เท่านั้น” พูดจบเมธาวีก็เดินหนี พรตเดินตามมาหาเรื่องต่อ

“จะไปไหน” เขาถามเพราะเธอกำลังจูงจักรยานออกไปนอกบ้าน

“ผมถามว่าจะไปไหน ทำไมไม่ตอบ” พรตยังตามราวีไม่เลิก

“อย่ามายุ่งกับฉัน จะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน คุณอยากจะอยู่ก็อยู่ไป เชิญตามสบาย อ้อ แล้วช่วยกรุณาหยุดแสดงตัวกับคนอื่นว่าเป็นสามีของฉันเสียที ฉันไม่แคร์หรอกนะว่าคนอื่นจะมองอย่างไร เพราะการแต่งงานมันก็เป็นแค่เรื่องที่ผ่านเข้ามาประเดี๋ยวประด๋าวและเราก็กำลังจะหย่ากัน แต่คุณคงไม่อยากให้ใครจดจำว่าเคยถูกคลุมถุงชนหรอกใช่ไหม”

เมธาวีขี่จักรยานออกไปทันที ทิ้งให้พรตมองตามด้วยความหงุดหงิดทั้งกับคำพูดที่ยอกย้อน และความหมายที่แสดงให้รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีความสำคัญใดๆ สำหรับเธอเลยสักนิด

ยิ่งเป็นแบบนี้ พรตยิ่งโมโห รู้สึกเสียหน้า และคิดหาวิธีที่เรียกว่าการเอาชนะ เขาจะต้องทำให้เมธาวีเสียดายการแต่งงานครั้งนี้จนไม่อยากหย่า และเมื่อถึงตอนนั้นพรตจะเป็นผู้กำกับเองว่า ชีวิตแต่งงานนี้จะเป็นไปในทิศทางเช่นไร ล่มหรือเริ่ม...

เมธาวีกลับบ้านมาอีกครั้งในตอนเย็น พรตนั่งหน้าบึ้งรออยู่ที่เก้าอี้แต่เธอไม่สนใจทำเป็นว่ามองไม่เห็นเดินขึ้นบ้านไม่ทักทายสักคำ ทำให้ชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายเดินตามขึ้นไป

พอเปิดประตูห้องนอนเข้ามาเมธาวีก็พบว่ากระเป๋าเสื้อผ้าของพรตยังอยู่ที่เดิม เธอจึงจัดแจงไปลากมันออกมาพร้อมร้องเรียกหานางแช่มให้มาเอากระเป๋าไปไว้อีกห้อง

“เอามันออกมาทำไม” พรตถามเสียงแข็ง เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าแล้วลากกลับเข้าไปตามเดิม

“คุณนอนห้องนี้ไม่ได้” เมธาวีรีบบอก

“ทำไมผมจะนอนไม่ได้ ทีคุณยังนอนห้องผมมาเป็นปีๆ ได้เลย” ชายหนุ่มแย้งหน้าตาเฉย

“ก็คุณไม่อยู่ไง ฉันถึงนอนได้”

“แล้วไง ตอนนี้ผมอยู่แล้วนอนไม่ได้หรือไง” พรตถามกลับ

“คุณไปนอนห้องอื่นห้ามนอนห้องนี้” หญิงสาวเสียงแข็ง

“ผมจะนอนห้องนี้ นอนกับคุณ” พรตพูดหน้าตาเฉยแถมจ้องหน้าเจ้าของห้องอีกด้วย

เมธาวีเม้มปากแน่นไม่เอ่ยอะไร รู้ดีกว่าเถียงไปก็ไม่ชนะ อุตส่าห์หนีไปทำใจว่าจะต้องเจอคนพูดไม่รู้เรื่องเช่นพรตที่บ้าน บอกตัวเองแล้วว่าจะไม่มีเรื่องกับเขาอีก แต่เอาเข้าจริงไอ้ความกวนประสาทหน้าตายของเขามันก็ทำให้เธอแทบจะทนไม่ไหว

“จะเอากระเป๋าไปไหน” พรตแย่งกลับมาเมื่อเมธาวีดึงกระเป๋าและลากออกไปถึงหน้าประตูอีกครั้ง

“พูดไม่เข้าใจหรือไงว่าให้ไปนอนห้องอื่น” คราวนี้หญิงสาวเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาแล้ว

“เข้าใจแต่ไม่ทำ และไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วย เราเป็นสามีภรรยานอนห้องเดียวกันไม่เห็นจะแปลก อีกอย่างคุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าไม่แคร์ว่าใครจะมองอย่างไร ผมก็เหมือนกันไม่สนว่าใครจะคิดอย่างไร อ้อ แล้วไม่ต้องห่วงกลัวว่าผมจะน่ามืดปล้ำคุณหรอกนะ แบบนี้...” พรตหรี่ตามองสำรวจเรือนร่างของคนที่ยืนตรงหน้า แล้วเขยิบเข้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูว่า

“ทั้งแบนทั้งราบแห้งเหี่ยวขนาดนี้ ไม่เร้าใจผมให้ลุกขึ้นมาปล้ำหรอกนะ”

เมธาวีอ้าปากค้างอยากจะกรีดร้องแต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มยั่วเย้าที่มุมปากของพรตด้วยแล้ว สิ่งเดียวที่เธอทำได้ก็คือ

“ไอ้คนบ้า” หญิงสาวตะโกนใส่หน้าเขา ใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยความโมโห

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel