คำบัญชา 1
คำบัญชา
หนึ่งเดือนต่อมา...
“เอิงไม่ไป ฮือๆ อาวิณอยู่ไหน เอิงจะหาอาวิณ ฮือๆ”
“อาวิณไปเที่ยวเมืองนอกกับมะลิ” สุชาติบอก เมื่ออรองค์บุกมาถึงบ้านใหญ่ หลังจากมีคำสั่งให้อรองค์ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โดยมอบหมายให้พี่สะใภ้เป็นคนดูแล ซึ่งอินทุอรแต่งงานใช้ชีวิตกับภากรณ์ ซึ่งเป็นญาติผู้พี่ของภูวิณ
ใช้ชีวิตครอบครัวอยู่กรุงเทพฯ มีลูกสาวหนึ่งคน อายุเท่ากับอรองค์ และทั้งสองก็เข้ากันได้ดี เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว
“เอิง หยุดร้องไห้ได้แล้ว ยังไงก็ต้องไปอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกัน เพราะป้าเองก็ขัดคำสั่งของอาวิณไม่ได้เหมือนกัน” อินทุอรบอกเหตุผล พลางโอบกอดเด็กสาวเพื่อปลอบโยน
“อาวิณบอกจะยกโทษให้ แบบนี้มันไม่ใช่แล้ว เขาลงโทษเอิงต่างหากฮือๆ”
“ยังไงเรื่องการไปเรียนต่อกรุงเทพฯ มันก็อยู่ในความคิดของ
อาวิณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันแค่เร็วขึ้นเท่านั้นเอง” ตอนแรกภูวิณจะส่งอรองค์ไปเรียนต่อในตอนเข้ามหาวิทยาลัย แต่เพราะอรองค์ทำเรื่องปวดหัวไม่เว้นวัน ภูวิณเลยหมดความอดทน เลยต้องส่งอรองค์ไปเรียนต่อมัธยมปลายกรุงเทพฯ เร็วกว่ากำหนดหลายปี
“อาวิณเกลียดเอิงแล้ว ฮือๆ” เด็กสาวยังร้องไห้คร่ำครวญ
“เอิงผิดไปแล้ว เอิงจะไม่แกล้งผู้หญิงพวกนั้นอีก ฮือๆ ป้าอินช่วยพูดกับอาวิณให้เอิงหน่อยได้ไหมคะ เอิงค่อยไปเรียนต่อตอนเรียนมหา’ ลัยก็ได้”
“ไม่เอาน่าเอิง อาวิณตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนใจเขาได้หรอก”
พออินทุอรบอกแบบนั้น อรองค์ก็ยิ่งร้องไห้เสียงดัง จนคนที่นั่งเงียบๆ อยู่มุมห้องนั่งเล่นตั้งนานทนไม่ไหว
“ยัยเอิง หยุดร้องเดี๋ยวนี้เลย แกร้องไปก็เปล่าประโยชน์
อาวิณเขาไม่ใช่เด็กๆ ที่จะมาเปลี่ยนใจไปมาง่ายๆ ไปเก็บของเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนกับแก!”
คนที่ตวาดเสียงดังลั่นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คืออารียา ลูกสาวคนเดียวของอินทุอร ที่เป็นเพื่อนสนิทมาตั้งแต่เยาว์วัยของอรองค์นั่นเอง
“อิ้งก็ใจร้ายเหมือนอาวิณ!” อรองค์แว้ดใส่อารียาทันที
“เออ ฉันใจร้าย แล้วไง แกน่ะใจปลาซิ่ว แค่ไปเรียนในกรุงเทพฯ แค่นี้จะตายหรือไง!”
“ก็ฉันไม่อยากไปจากไร่ ฉันอยากอยู่กับอาวิณ”
“แต่อาวิณไม่อยากให้แกอยู่ เมื่อไหร่จะฉลาดเสียทีว่าแกอยู่กับอาวิณไปตลอดชีวิตไม่ได้ สักวันเขาก็จะแต่งงานมีครอบครัว แกจะอยู่ขวางหูขวางตาเมียเขาทำไม”
“อาวิณจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น นอกจากฉัน ฮือๆ”
“เออ ใช่ เขาอาจไม่แต่งงาน เพราะโสดมาจนอายุสามสิบแล้ว แต่ยังไงเขาก็คงไม่แต่งงานกับเด็กกะโปโลอย่างแกหรอก!”
“สักวันหนึ่งฉันก็ต้องโตนะ!”
“แต่เขาไม่ได้รักเอิงแบบชู้สาว เขารักแกเหมือนเด็กในปกครองคนหนึ่ง เหมือนที่เขารักฉันนี่แหละ” ท้ายประโยคของเด็กสาวเริ่มอ่อนลง เมื่อเห็นอีกคนสะอื้นฮักๆ เหมือนใจสลายเมื่อได้ยินคำพูดทิ่มแทงใจ
“ไม่รู้ละ อาวิณจะรักยังไงก็เรื่องของเขา แต่คุณย่าพิศบอกว่าฉันจะได้เป็นเจ้าสาวของวิณ”
“โอ๊ย คุณย่านะคุณย่า ไม่น่าให้ความหวังยัยนี้เล้ย ปวดหัวแล้วโว้ย!” เพราะไม่ว่าจะคุยกันด้วยเหตุผลอะไร อรองค์มักชอบเอาคำพูดของย่าพิสมัยมาอ้างทุกที ทำให้เถียงต่อไม่ได้
“พอแล้วๆ หยุดพูดแล้วยัยอิ้ง” คนเป็นแม่ปราม ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มกับเด็กสาวที่ยังสะอื้นไห้
“ถ้าเอิงรักอาวิณก็อย่าดื้อสิ ทำตัวให้เขาเห็นว่าเราเชื่อฟัง เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน เรียนจบแล้วก็กลับมาหาอาวิณได้”
“แต่อาวิณกำชับไว้ว่า...”
“หยุดเดี๋ยวนี้ยัยอิ้ง” อินทุอรปรามลูกสาว เพราะกลัวอรองค์จะยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ถึงขนาดนี้แล้ว ก็พูดมาเถอะอิ้ง ฉันอยากรู้ว่าเขากำชับไว้ว่ายังไง”
“แน่ใจนะว่าบอกแล้วจะไม่กรีดร้องเป็นผีบ้า บอกตรงๆ ฉันหนวกหูนะ แค่ฟังแกร้องไห้ ฉันก็จะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย!”
“บอกมาเถอะ ฉันสัญญาจะไม่เป็นผีบ้า”
“แน่นะ”
“อือ”
“อาวิณบอกว่า ห้ามเธอกลับมาที่ไร่ จนกว่าจะเรียนจบมหา’ลัย” พูดจบก็เกิดความเงียบขึ้นฉับพลัน แม้แต่เสียงสะอื้นก็เงียบกริบ ได้ยินแค่เสียงหายใจที่ทอดถอน ดวงหน้าเปื้อนน้ำตาเรียบนิ่ง แต่ดวงตายังแดงก่ำ
ทว่าอรองค์ไม่กรีดร้องเป็นผีบ้าอย่างที่อารียากลัว แต่ท่าทีของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าใจสลาย เพราะจู่ๆ น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม แต่ไร้เสียงสะอื้น
มันดูเจ็บปวดกว่าตอนที่อรองค์กรีดร้องเป็นผีบ้าเสียอีก!
ทุกคนในบ้านหลับกันไปหมดแล้ว ในตอนที่อรองค์เปิดประตูห้องพระเข้ามา เจ้าตัวนั่งพับเพียบแล้วก้มลงกราบพระพุทธรูป สวดมนต์ แต่ไม่อาจนั่งสมาธิได้ เพราะจิตใจทั้งเจ็บปวดและหวาดหวั่นกับสิ่งที่ต้องเผชิญในวันข้างหน้า ที่ไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้อีกต่อไป
ชีวิตที่ไม่ได้อยู่กับอาวิณ ทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจ
โดดเดี่ยว เหมือนตอนที่สูญเสียพ่อในวันนั้น
แต่ความรักและอ้อมกอดของคุณย่าพิศมัยและอาวิณก็เยียวยาความรู้สึกโดดเดี่ยวนั้นได้
แต่ตอนนี้คนที่ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว กลับเป็นอาวิณเสียเอง แล้วใครจะทำให้เธอหายจากความรู้สึกนั้นได้
ป้าอินกับอิ้งเหรอ
อรองค์ไม่แน่ใจ แม้จะรู้จักทั้งสองมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็สนิทกับอารียา เพราะติดต่อกันตลอด แต่ก็ไม่เคยใช้ชีวิตด้วยกันอย่างใกล้ชิดมาก่อน เพราะปีหนึ่งทั้งสองจะมาที่ไร่แค่สองสามครั้งเท่านั้น
แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของอาวิณ เธอก็คงทำอะไรไม่ได้
ถ้าคุณย่าพิศมัยยังอยู่ เธอคงไม่ต้องจากที่นี่ไป คิดแล้ว
อรองค์ก็ร้องไห้ จนเผลอหลับไปกระทั่งรุ่งเช้า
ศรีนวลมาปลุก พอเข้ามาในห้องก็เห็นคำแพง สาวใช้ประจำบ้าน ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่อยู่ที่นี่ กำลังจัดเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวให้เธอ
“น้องเอิงรีบไปอาบน้ำเถอะ พี่เก็บของให้แล้ว” คำแพงบอก สีหน้าอีกฝ่ายบ่งบอกว่าใจหาย ที่จู่ๆ เด็กหญิงที่ดูแลมาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ กำลังไปอยู่ที่อื่น
“ค่ะ” อรองค์เดินเข้าห้องน้ำด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ศรีนวลเช็ดข้าวของส่วนตัว รวมทั้งเอกสารส่วนตัวและการเรียนต่อระดับมัธยมปลายของอรองค์ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ให้คำแพงกับวสุขนไปยังรถของอินทุอรที่จอดอยู่หน้าตึก
ศรีนวลรอกระทั่งอรองค์แต่งตัวเรียบร้อย หยิบกระเป๋าสะพายที่ใส่โทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์คล้องไหล่ให้ เดินออกมาจากห้องนอน ก็หยุดอยู่หน้าโถง ตรงหน้าชั้นโชว์ เพื่อจะยกมือไหว้กรอบรูปคุณย่าพิสมัย
เมื่อลงจากเรือนมายังรอที่จอดรอ ภาพของบรรดาคนงานและบรรดาลูกสมุนของเธอ รวมทั้งคนรับใช้ในบ้าน รวมๆ กันแล้วนับสามสิบชีวิต ต่างมายืนเรียงเป็นระเบียบรอส่งเธอขึ้นรถ
อรองค์ยกมือไหว้ทุกคนที่สูงวัยกว่า ถึงแม้เธอจะถูกเลี้ยงมาในบ้านอย่างคุณหนู แต่เธอไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งก็เป็นเพียงลูกสาวของผู้ช่วยนายใหญ่เท่านั้น
:::::::::::::::::::::
