Episode 2.1 ตำนานเล่าขาน
นอริสมีลักษณะภูมิประเทศเป็นหุบเขาเสียส่วนใหญ่ แต่ก็มีพื้นที่ลุ่มที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกและอยู่อาศัยซ่อนตัวอยู่ ที่นี่มีบ้านของชาวเฮียร์สตั้งอยู่กระจัดกระจาย แต่พวกเขามีศูนย์รวมจิตใจเป็นสองผู้เฒ่านามว่า นอร์ม และ คริส ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกดินแดนแถบนี้ มันจึงถูกขนานนามตามชื่อของพวกเขา
เสียงเกือกม้าที่ดังเข้ามาจากช่องแคบของหุบเขาทางเข้าหมู่บ้าน เรียกสายตาทุกคู่ที่กำลังหารือกันอยู่ริมลำธารให้หันไปมอง และทันทีที่เห็นท่วงท่าของบุรุษที่นั่งควบอยู่บนหลังม้า มอท่าก็รีบวิ่งไปหาอย่างดีใจ
“ข้าคิดว่าท่านเพลี่ยงพล้ำจนถูกพวกมันฆ่าตายเสียแล้ว” น้ำเสียงของมอท่าทั้งดีใจทั้งโล่งใจ “ข้ารอท่านที่จุดนัดพบถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน”
“ข้าบาดเจ็บ จำเป็นต้องพักรักษาตัว” ไคเดนกระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกับบอกเหตุผลสั้น ๆ เขาตบไหล่มอท่าเป็นเชิงว่าเขาไม่เป็นอะไรมาก จากนั้นไคเดนก็เบนสายตาไปทางผู้เฒ่าทั้งสองและเหล่าชาวเฮียร์สที่กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่หลากหลาย แต่ล้วนเจือด้วยความห่วงใยและโล่งใจ เขาก้าวไปหยุดตรงหน้าสองผู้เฒ่า “ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่านปู่และท่านตา”
“เจ้าเพิ่งกลับมาถึงและยังบาดเจ็บ เข้าไปพักก่อนเถอะ แล้วมื้อค่ำเราค่อยมาคุยกัน”
เมื่อหลานชายให้หลังสองผู้เฒ่าก็หันมาสบตากัน นอร์มระบายลมอย่างหนักใจเมื่อเห็นแววกังวลในดวงตาสีเงินของคริส
“คำทำนายของท่านกำลังจะเกิดขึ้นแล้วสินะ” นอร์มถาม
คริสกะพริบตาที่เปลี่ยนกลับมาเป็นสีดำแล้วโคลงศีรษะช้า ๆ “เรามิอาจฝืนชะตาได้ ต่อให้พยายามหลีกเลี่ยงเพียงใด สงครามก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี”
“พรีดิเอิร์ธห่างหายจากสงครามมานับร้อยปี เฮียร์สสร้างที่นี่เพื่อหนีจากการแย่งชิงอำนาจที่แฝงอยู่ในจิตใจของผู้นำทั้งสี่ที่ซุ่มรอก่อสงคราม ข้าไม่นึกเลยว่าเราจะเป็นฝ่ายจุดชนวนเสียเอง”
“ความสงบสุขมักต้องแลกมาด้วยศพเรือนหมื่นเรือนแสน”
“หลังจากนั้นมันจะเป็นเช่นไร?”
“ในคำทำนายข้าเห็นดินแดนใหม่” คริสหยุดสูดลมหายใจ ริ้วรอยเหี่ยวย่นตามวัยเด่นชัดเพราะมุมปากที่เหยียดยิ้มขึ้นเล็กน้อยในเสี้ยววินาทีต่อมา “และเผ่าพันธุ์ใหม่”
“เผ่าพันธุ์ใหม่? เผ่าพันธุ์ใดกันที่จะมาครอบครองมัน”
“ข้ารู้แค่นี้ ที่เหลือหากว่าเรายังมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้น เจ้าคงได้เห็นมันกับตาตัวเอง”
งานฉลองของชาวเฮียร์สถูกจัดขึ้นทันทีในค่ำคืนนั้น พวกเขาฉลองให้กับไคเดนและพรรคพวกที่สามารถกำจัดแม่ทัพชั่วช้าอย่างเฮดิสได้ รวมทั้งยังยึดสมบัติหนึ่งในสิบส่วนของมันมาเป็นกองกลางให้ชาวเฮียร์ส อีกเก้าส่วนไคเดนและพรรคพวกจะคืนให้กับชาวบ้านที่ถูกเฮดิสรีดไถ รวมถึงชดใช้ให้กับครอบครัวที่ต้องสูญเสียลูกหญิงชายให้มันย่ำยี งานนี้ไคเดนไม่ได้รับค่าจ้างจากใคร แต่ได้ยินเสียงร่ำไห้จากชาวบ้านที่เดือดร้อนเพราะแม่ทัพบ้าอำนาจ แม้ไม่มีศึกสงครามแต่เฮดิสก็ยังกระทำการโหดเหี้ยมเกินเผ่าพันธุ์ของตน ไคเดนจึงขออนุญาตผู้เฒ่าทั้งสองออกไปจัดการมัน
ไคเดนร่วมวงอยู่กับนอร์มผู้เป็นปู่และคริสผู้เป็นตา พร้อมกับมอท่าและซานูผู้เปรียบดังมือขวาและมือซ้ายของนักรบผู้กล้าแห่งหุบเขานอริส ส่วนย่าและยายอย่างเรอาและเซลีนทำหน้าที่ดูแลในเรื่องอาหารการกินในงานเลี้ยง
สเตาต์ที่หมักจนได้ที่ถูกนำมาดื่มฉลองท่ามกลางอากาศที่เริ่มเย็นลงในค่ำคืนที่กำลังจะย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง มอท่าและซานูที่ดื่มไปมากเริ่มโงนเงน แต่ยังคงเหลือสติพอที่จะได้ยินสิ่งที่ไคเดนพูดคุยกับสองผู้เฒ่า
“ตำนานแห่งโรสที่ท่านตาเคยเล่าให้ข้าฟังเมื่อหลายปีก่อนเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?”
“ไยเจ้าจึงแคลงใจเรื่องในตำนานเล่าไคเดน?” คริสถามกลับหลานชาย ก่อนจะจิบสเตาต์คลายหนาว
“เพราะข้าได้พบกับราชินีแห่งโรส” ดวงตาสีดำขลับฉาบแสงแห่งความพึงพอใจเมื่อกล่าวถึงบุคคลที่เพิ่งพบเจอ “เขาบอกเรื่องตำนานและร้องขอให้เฮียร์สช่วยลี้ภัย”
“แล้วเจ้าเห็นเป็นเช่นไร?” คราวนี้ผู้เป็นปู่อย่างนอร์มถาม
“กองกำลังของเฮียร์สแม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็มีจำนวนน้อยกว่ากองทัพของสี่ดินแดนอย่างที่ไม่อาจเทียบได้” ไคเดนจิบสเตาต์เพียงนิดแต่การกลืนมันลงไปช่างยากลำบาก เมื่อคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น “แต่หากปล่อยให้ผู้นำคนใดได้ครอบครองราชินีแห่งโรส สงครามย่อมเกิด ถึงครานั้นผู้คนคงต้องล้มตาย”
“เจ้าเห็นควรว่าอย่างไร?” นอร์มถามซ้ำด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ ผู้เฒ่าผิวขาวร่างสูงใหญ่กว่าใครในวงสเตาต์กระแทกถ้วยเบียร์หมักข้าวบาร์เลย์เสียงดัง
แต่หลานชายอย่างไคเดนก็ไม่ได้สะทกสะท้านเพราะเข้าใจนิสัยโผงผางของสายเลือดโพลารุซในตัวผู้เป็นปู่ดี เขาจิบสเตาต์อีกครั้งแล้วเอ่ยอย่างหนักแน่น “ข้าต้องหยุดยั้งสงครามด้วยการครอบครองราชินีแห่งโรส”
