บทที่5
ยายแม่มด!...
สายน้ำที่พร่างพราวไปบนร่างกาย ไม่อาจทำให้กายหนุ่มหายร้อนรุ่มไปได้ ใบหน้านวลเรื่อโบยบินอยู่ในมโนสำนึก ไม่ได้ห่างหายไปไหนเสมือนสัมผัสนั่นเพิ่งเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เขาพยายามเตือนกับตัวเองเสมอ แค่เด็กใจแตกคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องนำมาใส่ใจ หากแต่กลับกัน ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อ แม้จะเสแสร้งทำเป็นไม่สนใจข่าว จากปากเพื่อนชาย แต่ใจกลับหวั่นไหวทุกครั้ง...
“หึ นึกว่าสวยตายละ...” เสียงกรุ่นเปล่งออกมาจากปาก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเผลอตัวไป “ยายแม่มดเฮ้ย!”
หากหล่อนไม่ใช่แม่มด แล้วจะทำให้ใจเขาเขว ได้อย่างไร?
สามวันต่อมา
ภัศสร ธรรมราช มองดูเภา ถูกใช้ให้มาทำหน้าที่จัดกระเป๋าและเตรียมตัวตามไปเป็นคนใช้ส่วนตัวให้เธอที่กรุงเทพฯ โดยกำหนดการเดินทาง เป็นช่วงเย็นและคาดว่าน่าจะถึงที่นั้น ในช่วงเช้าของอีกวัน
“ไม่ต้องเตรียมไปเยอะหรอกพี่เภา” แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่สาวใช้ที่ถูกว่าจ้างมา แต่เธอก็คิดว่าอีกฝ่ายมีอายุแก่กว่าจึงเรียกขานอย่างมีมารยาทกับอีกฝ่าย ใบหน้าเรียบนิ่งเงยหน้ามองคนพูด ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้หรอกค่ะคุณสร”
“ทำไมจะไม่ได้” ภัศสรมองหน้าคนปฏิเสธคำสั่งเธอ อย่างอยากรู้ เภายิ้มบางๆ
“เป็นคำสั่งเสี่ยค่ะ” น้ำเสียงชัด แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาด ภัศสรหน้าเจื่อน แม้จะรู้สึกขัดใจ แต่ก็อดกลั้นไว้ หากแต่ภายในอกรู้สึกสั่นไหวขอบตาร้อนผ่าว
“พ่อนะพ่อ ไม่อยากให้สรกลับมาที่นี่อีกอย่างนั้นสินะ” เสียงหวานสั่นเครือตัดพ้อและน้อยใจ เพราะคิดว่าหากเธอเตรียมของทุกอย่างไม่พร้อมในครั้งนี้ เมื่อเสร็จเรื่องทุกอย่าง เธอจะหาข้ออ้างกลับมาบ้านได้
และเมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยพร้อมเดินทางโดยรถตู้ราคาล้านกว่า เสี่ยสมศักดิ์โอบไหล่ลูกสาวพร้อมเอ่ยขึ้นเพื่อให้กำลังใจคนหน้ามุ่ย
“พ่อจะเดินทางไปวันงานเลยนะ เพราะระหว่างนี้ หนูมีพี่ภาวินรออยู่ที่นั่นแล้ว”
เมื่อธุระเกลี่ยกล่อมกึ่งบังคับว่าที่เจ้าสาวจบลง คนอย่างเสี่ยสมศักดิ์จึงยกหน้าที่ทุกอย่างให้ลูกชายคนโตทำหน้าที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวไป โดยไม่ได้ใส่ใจสีหน้าคนในวงแขนแม้แต่น้อย
สาวตากลมปนเศร้าเหลือบมองเสี่ยวหน้าบุพการีเล็กน้อย เพราะคำบอกกล่าวนั้น ไม่ได้ทำให้เจ้าสาวอีกไม่กี่วันข้างหน้ารู้สึกดีขึ้นมาได้เลย เพราะทุกครั้งที่คนเป็นพ่อสัญญาเธอมักจะเห็นหน้าพี่ชายเป็นแม่งานทุกครั้ง...แม้แต่วันรับปริญญาของเธอที่เพิ่งเสร็จไป!
“นายกร นี่จะไม่คิดกลับบ้านกลับช่องหรือไง” ว่าที่พี่เจ้าสาวเอ่ยถามเมื่อนั่งมองเพื่อนร่วมหุ้นนานแล้ว โดยอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะหยุดงานบนโต๊ะ ทั้งที่ไม่ใช่งานเร่งด่วน
คนหน้าเป็น เหลือบมองเพื่อนชาย “นายก็กลับไปก่อนสิ”
“เฮ้ย! พูดแบบนี้ได้ไง”
“อ้าว ทำไมจะพูดไม่ได้ ก็วันอื่นๆ นายกลับไปก่อนยังได้เลย” คนโดนสวนเกาท้ายทอยอย่างลำบากใจ กับความหน้าตายของว่าที่เจ้าบ่าว
“วันนั้นกับวันนี้ไม่เหมือนกัน” ภาวินอยากให้ว่าที่น้องเขยกลับบ้านบ้างเพราะหลายวันมานี้เขาเห็น ณภกรณ์ ขลุกตัวอยู่ในห้องพักที่ออกแบบให้อยู่ติดกันกับห้องทำงาน จนกลายเป็นบ้านอีกหลังของว่าที่น้องเขยไปแล้ว
“ไม่เหมือนกัน?...” เสียงทุ้มเอ่ยทวนเบาๆ พร้อมมือเรียวหนาหยุดชะงักค้าง มองเพื่อนร่วมหุ้น ตาคมเข้มหรี่แคบ นึกทวน หากแต่ก็นึกไม่ออก “ยังไง พักก็คนละที่ รถก็คนละคัน ไม่เหมือนวันอื่นๆ ตรงไหน?”
ภาวินส่ายหน้าแรงๆ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ว่าที่เจ้าบ่าวไม่ได้เสแสร้งแกล้งลืม เขาจึงตัดสินใจเตือนความจำ “ก็วันนี้น้องสรเดินทางมาถึง มณีพรรณไง” เมื่อบอกไปแล้วภาวินรอดูอาการอีกฝ่าย
คิ้วหนาเลิกขึ้นเมื่อได้ฟังคำบอกกล่าวจากเพื่อนร่วมหุ้น ก่อนจะทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้ใสใจ “เหรอ...?”
คำสั้นๆ หากแต่เรียกอารมณ์ของว่าที่พี่ชายเจ้าสาวเสียสูงปรี๊ด ถลึงตาตอกกลับ หากอีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะสายตามองต่ำ เพ่งมองหน้ากระดาษตรงหน้าอย่างสนใจ จนต้องเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
“นี่นายไม่รู้สึกดีจงดีใจอะไรเลยหรือ ห้าปีเลยนะ ที่นายไม่เจอว่าที่เจ้าสาว”
“ไม่จำเป็น” คำตอบที่ได้ ทำเอาภาวินใบหน้าหุบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่คิดไปดูหน่อยเหรอ ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง”
“ไม่จำเป็น”
“...!” ประโยคเดิม ทำเอาว่าที่พี่ชายเมียถึงกับหน้าชา จนกลายเป็นหงิกงอ
‘ไอ้บ้านี่ หากน้องสาวฉันปากแหว่งขึ้นมา ในช่วงสองปีมานี่ ฉันจะสะใจแกจริง’ ด้วยความมั่นไส้ ในความเฉื่อยชาของว่าที่น้องเขย ดูเอาเถอะ...ไม่ใส่ใจว่าที่เจ้าสาวเลยสักนิด บ้าที่สุด!
เมื่อคะยั้นคะยอเพื่อนชายไม่ได้ผล ภาวินจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินดุ่มๆ ออกไป พร้อมในใจตะโกนก้องอย่างเหลืออด รับคนเดียวก็ได้วะ ไม่เห็นจะง้อเลย!
8.45 นาฬิกา รถจอดเข้าที่ สายตากลมโตที่กวาดตามองมาตลอดเส้นทางตั้งแต่ตื่นนอนครั้งสุดท้ายในเวลาใกล้รุ่ง ยังคงมีแววหวั่นใจตลอดเวลา ก่อนจะยืดตัวพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างกับต้องการระบายความหนักอกหนักใจที่พกพามาตลอดการเดินทาง ก่อนจะยื่นมือไปสะกิดเภาที่นอนหลับเกือบตลอดการเดินทาง
“ถะ ถึงแล้วหรือคะ คุณสร” เสียงที่ยังไม่คงที่พยายามปรือตาขึ้น แล้วถาม ใบหน้าหวานพยักหน้าตอบรับ เภาจึงยืดตัวเพื่อคลายความปวดเมื่อยขบ ก่อนจะพากันลงจากรถเมื่อคนขับรถเลื่อนประตูอ่าออก
“เป็นไงจ๊ะ สาวๆ เดินทางมาเหนื่อยๆ ไปๆ เข้าด้านในก่อนเถอะ” ทันทีที่ก้าวลงมาจากรถ เสียงหวานนุ่ม ร้องถามมาแต่ไกล สร้างความอบอุ่นใจให้ภัศสรอย่างน่าแปลก ทั้งที่เธอไม่ทันเห็นหน้าเจ้าของเสียงนั้นเลยด้วยซ้ำ
“สวัสดีค่ะ คุณ...” เมื่อเห็นว่าเสียงนั้นดังมาจากทิศทางใด ภัศสรจึงกล่าวทักทายกลับไปทันที หากแต่กลับถูกขัดไว้ เมื่อเธอกล่าวไม่ทันจบประโยค
“คุณแม่จ๊ะ เรียกฉันว่าคุณแม่นะ” ปานวาดรีบเอ่ยแทรกสีหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่อีกฝ่ายยังเอ่ยไม่จบ เพราะคิดว่าความไม่คุ้นชินของทั้งสองฝ่าย อาจทำให้หญิงสาวไม่กล้าเอ่ยเรียกตนว่า ‘แม่’
