บท
ตั้งค่า

บอกข้าสิ ว่าเจ้าต้องการ... - 1

ม่านทองปักมังกรไหวเอนในลมยามค่ำ กลิ่นกำยานหอมละมุนลอยกรุ่นอยู่ทั่วท้องพระโรงจินเต๋อ พระราชวังอันโอฬารแห่งราชวงศ์ต้าหรง ที่ประดับประดาด้วยแสงตะเกียงสีชาด

พิณเจ็ดสายบรรเลงรับจังหวะร่ายรำจากเหล่านางรำ ท่วงท่าชดช้อยเคล้าเสียงหัวเราะและคำเยินยอที่ฟังคล้ายกลุ่มฝูงแมลงหวี่ในยามร้อนระอุ

ทว่าสายตาของบุรุษหนึ่งกลับไม่เหลียวแลใคร…

เขานั่งนิ่งประหนึ่งรูปสลัก ชุดเกราะเงินประดับลายพยัคฆ์เปื้อนฝุ่นศึกไม่มากแต่สะท้อนแสงเปลวเทียนเป็นประกาย นัยน์ตาคมไม่หลบสายตาผู้ใด แต่ก็ไม่เปิดใจรับผู้ใดเช่นกัน

เขาคือ "อ๋องหย่งอัน" หรือ "จ้าวอวี้" แม่ทัพผู้คุมด่านจิงอัน ชายผู้เป็นนักรบที่มีฉายาว่า มัจจุราชแห่งชายแดน นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่เขาได้กลับเข้ามาในเมืองหลวงแห่งนี้

นับตั้งแต่มีคำสั่งย้ายให้เขาไปประจำการที่เมืองชายแดนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จวบจนตอนนี้ก็เป็นเวลา 15 ปีแล้วที่เขาอยู่ที่นั่นและเติบโตมาพร้อมกับความหวาดกลัวของผู้คน บ้างก็ว่าเขาเป็นมัจจุราช บ้างก็ว่าเขาเป็นปีศาจที่ฆ่าไม่ตาย

ฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดา ทรงพระพักตร์นิ่งเมื่อทอดพระเนตรบุตรชายจากบัลลังก์มังกร ใจหนึ่งปลื้มปีติยิ่ง แต่คำพูดกลับราบเรียบดังลมเหมันต์

"หย่งอัน เจ้าปรารถนาสิ่งใดเป็นรางวัลแห่งชัยชนะครั้งนี้?"

เสียงในท้องพระโรงเงียบลงราวถูกปิดปากด้วยมือเดียว ขุนนางทั้งหมดย่อหัวต่ำมองอ๋องหนุ่มที่ลุกขึ้นคุกเข่าช้า ๆ

"กระหม่อมมีครบทุกอย่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงได้อยู่ชายแดน ทำหน้าที่รับใช้แว่นแคว้นก็เพียงพอแล้ว"

เสียงหนักแน่นจนแม้แต่สายลมยังหยุดไหว ฮ่องเต้ไม่ตรัสตอบทันที ทรงหันไปยังขันทีผู้จดราชโองการ แล้วตรัสเสียงเรียบ

"ด่านจิงอัน นับแต่นี้จะเป็นเขตศักดินาของอ๋องหย่งอัน เจ้าจงปกครอง บริหาร และป้องกันดั่งหนึ่งเจ้าแคว้น ขอเพียงภักดีต่อราชสำนัก"

"เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ที่ฝ่าบาททรงโปรดประทานที่ดินศักดินา ณ เมืองจิงอัน ให้กระหม่อมถือครอง ขอได้โปรดอย่าทรงเป็นกังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม… ไม่มีความปรารถนาต่อบัลลังก์หรืออำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น"

"..."

"ต่อให้ต้องกลายเป็นเพียงวิญญาณเฝ้าอาณาเขต กระหม่อมก็จะไม่ล่วงล้ำแม้เพียงเงาของราชบัลลังก์"

เขาก้มศีรษะลงต่ำ ผืนหินเย็นกระทบหน้าผากของอ๋องหนุ่มโดยไร้ความลังเล เงาร่างที่ก้มอยู่ตรงนั้น… ไม่ใช่เพียงอ๋องผู้หนึ่ง แต่คือบุตรที่ครั้งหนึ่งเคยยิ้มให้พระบิดาอย่างบริสุทธิ์

ทว่าเวลาผ่านไป ยิ้มนั้นกลับเหือดแห้ง พร้อมกับภาพจำทุกอย่างที่เคยร่วมกันก็ค่อย ๆ จางหายไปเช่นกัน

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรบุตรชายที่คุกเข่าอยู่ด้วยใจที่เจ็บปวด ต่อให้ลูกชายจะคิดว่าพ่อต้องการผลักไสเขาให้พ้นจากบัลลังก์ ต่อให้ลูกจะคิดว่าพ่อคือคนที่ฆ่าแม่ คนเป็นพ่อก็ทำได้เพียงยินยอมให้ลูกเข้าใจผิด

สายตาหลายคู่ที่จับจ้อง ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ต้องแบกรับความโกรธเคืองของบุตรชายเอาไว้...

ในยามที่ฮ่องเต้ตรัสถามว่า "เจ้าปรารถนาอะไรเป็นรางวัลแห่งชัยชนะครั้งนี้?" เสียงในท้องพระโรงพลันเงียบงัน

อ๋องจิ้งหยวน จ้าวเฉิง (องค์ชายสาม) ช้อนสายตาขึ้นมองพี่ชายร่วมบิดาผู้นั่งนิ่งไม่พูดจาตั้งแต่ต้นงาน แววตาภายใต้ใบหน้าโดเด่น พลันสะท้อนรอยยิ้มเหยียดบางเบา

นิ้วมือเรียวเคาะถ้วยสุราเบา ๆ ราวกับกลั้นหัวเราะ เขารู้ดีว่า หากจ้าวอวี้ปรารถนาจะกลับเมืองหลวง ตำแหน่งองค์รัชทายาทที่มั่นคงของจ้าวหลิน คงมิใช่เรื่องแน่นอนอีกต่อไป

อ๋องจื่อหนาน จ้าวหาน (องค์ชายสี่) ในขณะที่องค์ชายผู้เลื่องชื่อว่าทรงเมตตาและอ่อนโยนกลับเอียงหน้าฟังคำตอบของพี่ชายคนรองด้วยรอยยิ้มลึก

ดวงตาคู่นั้นราวอาทิตย์ยามช้า อบอุ่นเสียจนทุกคนอยากเข้าใกล้ เขาจดจำความเคลื่อนไหวทุกอย่างไว้เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่แม้แต่จิบสุรา แต่ทุกคำพูดของจ้าวอวี้ล้วนถูกบันทึกไว้ในใจเขา

อ๋องเกิ่งอี้ จ้าวเหวิน (องค์ชายห้า) จ้าวเหวินมองพี่ชายอย่างภาคภูมิ ถึงเขาจะไม่เคยได้ใช้เวลาร่วมกับพี่ชายคนที่สอง แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีความสามารถ และเป็นที่น่ากลัวเกรงของขุนนางในราชสำนัก

องค์รัชทายาท จ้าวหลิน บุรุษผู้สงบนิ่งที่สุดในท้องพระโรง ยกสุราขึ้นแนบริมฝีปาก แต่กลับมิได้ดื่ม สายตาจ้องมองน้องชายผู้กลับมาจากสนามรบด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก

"เจ้าปฏิเสธการมีชื่อเสียง...แต่ยิ่งปฏิเสธ ชื่อเสียงของเจ้าก็ยิ่งโด่งดัง" องค์รัชทายาทรำพึงเบา ๆ กับตัวเอง

องค์หญิงจิ้งเหยา แม้นั่งอยู่มุมหญิงในตำแหน่งฝ่ายใน ทว่าสายตาขององค์หญิงผู้ฉลาดและเปี่ยมจินตนาการ กลับไม่อาจละไปจากพี่ชายร่วมบิดา จ้าวอวี้ในยามแต่งเกราะรบสะท้อนแสง ดูสง่างามราววีรบุรุษในตำนาน องค์หญิงจึงได้แต่ชื่นชมพี่ชายอยู่เงียบ ๆ

ฮองเฮาสวี่ สวี่เซี่ยนเจิน พระพักตร์ของนางยังคงเยือกเย็นและสงบนิ่ง ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเมตตาและความรัก แม้จ้าวอวี้จะมิใช่โอรสของนางโดยสายเลือด ทว่าคำสัญญาที่ให้กับสตรีผู้จากไปในอดีต ยังคงฝังแน่นในหัวใจ

และนาง…ยังคงเฝ้ามองลูกชายของสหายรักเหมือนแม่แท้ ๆ ที่เฝ้ามองลูกกลับบ้าน

ทว่าในสายตาของขุนนางทั้งราชสำนัก...'ชายผู้นี้มิเคยปรารถนาสิ่งใด...ย่อมเป็นภัยใหญ่ในภายภาคหน้า'

การประกาศให้ด่านจิงอันกลายเป็นพื้นที่ศักดินาของอ๋องหย่งอัน ทำให้ขุนนางบางส่วนเริ่มคิ้วขมวด รู้ดีว่านี่มิใช่แค่รางวัล แต่มันคือ 'การวางหมาก' ของฮ่องเต้ที่พวกเขาไม่เข้าใจเสียทีเดียว

เมื่อจอกสุราถูกเติมซ้ำจนเต็ม จ้าวอวี้ก็ยกดื่มโดยไร้ถ้อยคำ เหล่าขุนนางต่างพาลูกหลานมาแสดงความเคารพ กลับถูกเพียงสายตาเย็นเยียบตวัดตอบแทน

ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้บุรุษเยี่ยงนี้นัก...

จนกระทั่งเขาลุกขึ้นจากที่ประทับและออกจากท้องพระโรงไปโดยไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วง

เสียงบรรเลงยังดังต่อเนื่องในท้องพระโรง ทว่าอ๋องหย่งอันกลับเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงสวนหลวงด้านทิศตะวันตกของท้องพระโรง ซึ่งใกล้ตำหนักรับรองที่เขาต้องพักในระยะนี้ กลิ่นดอกชาหอมกรุ่นในอากาศ ศาลาหินเล็กกลางสวนตั้งอยู่ริมสระบัว ที่โต๊ะมีถ้วยชาและขนมวางอยู่ เขามิได้คิดอันใด ดื่มดับกระหายเข้าไปหลายจอก

หารู้ไม่ว่ายาเพิ่งเริ่มออกฤทธิ์...

ณ ตำหนักรับรองของพระราชวัง

ร่างบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่งถูกพาเข้าห้องมาอย่างเร่งร้อน เหยียนเมิ่งซี บุตรีสามจากตระกูลเหยียน ร่างของนางเย็นเฉียบ แต่ผิวกลับแดงเรื่อ ดวงหน้าอ่อนหวานประดับด้วยหยาดเหงื่อ นัยน์ตาปรือก่อนปิดสนิท

ไม่มีผู้ใดรู้ว่านาง…กำลังจะตายไป...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel