บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 1 ไม่ได้คิด

ช่วงบ่ายหน้าตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ บริเวณโต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ กลุ่มเพื่อนปี 3 รวมตัวกันเหมือนเคยหลังเลิกเรียน ลมเย็นที่พัดเอื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย

อคิณนั่งพิงพนักเก้าอี้ มืออีกข้างกอดอกอย่างสบาย ๆ ข้าง ๆ กันคือน้ำหนึ่งที่กำลังนั่งกินชานมไข่มุก ดูดหลอดเสียงดังจ๊วบจนเพื่อน ๆ รอบโต๊ะหันมามองพร้อมเสียงโห่แซว

“มึง ๆ ดูดิ แม่งกินอย่างกับไม่ได้แดกมาเป็นชาติ” เบสพูดขึ้น

น้ำหนึ่งทำหน้าย่น “ก็หิวอะ เดินเรียนตั้งแต่เช้า ไม่ได้พักเลยนะ”

“เออ ๆ ปล่อยนางเถอะ นี่ถ้าไม่มีชานมกูว่ามึงตายกลางทางไปแล้วแน่ ๆ” แจงพูดขำ ๆ

เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบโต๊ะ อคิณเหลือบมองเพื่อนสนิทที่กำลังยัดไข่มุกเข้าปาก แววตาเจือความขำปนเอ็นดูนิด ๆ แต่ก็ยังไม่วายกวนกลับ

“ถ้าตายจริง กูไม่ช่วยหามนะ หนักสัด ๆ”

“ไอ้คิณ! กูหนักตรงไหนวะ นี่ผอมจะตายอยู่แล้ว”

เบสเสริมทัพ “เออว่ะ น้ำหนึ่งก็ไม่ได้อ้วนไรนี่”

อคิณยักคิ้ว กวน ๆ “กูไม่ได้หมายถึงหนักตัว แต่หมายถึงหนักใจต่างหาก”

คำพูดกวนประสาทของอคิณทำให้เพื่อนทั้งวงเฮกันใหญ่ น้ำหนึ่งหันขวับมาตีแขนเพื่อนสนิทเข้าเต็ม ๆ จนดัง เพี้ยะ

“ปากหมา!”

“ตีแรงฉิบหาย…กูจะฟ้องแม่แล้วนะ” เพื่อนรักลูบแขนป้อย ๆ

เสียงเจี๊ยวจ๊าวรอบโต๊ะยังไม่เงียบลงง่าย ๆ หลังจากที่น้ำหนึ่งเถียงกับอคิณไปหลายรอบ ทั้งสองคนก็ยังคงปะทะฝีปากไม่หยุด สมกับเป็นคู่กัดประจำกลุ่ม

“มึงเป็นไรมากปะคิณ หาเรื่องกวนตีนกูทุกวัน” เธอว่า

อคิณยักไหล่ ยิ้มมุมปาก “ก็หน้ามึงมันกวนตีนไง กูก็เลยชอบกวนตีนมึง”

“เดี๋ยวกูก็สาดให้ทั้งแก้วหรอก” พูดแล้ว ยัยตัวเล็กก็ทำท่าจะโยนแก้วชานมใส่ ส่วนอคิณก็ได้แต่ลอยหน้าลอยตาอยู่อย่างนั้น

เพื่อน ๆ รอบวงถึงกับขำกลิ้ง เสียงโห่แซวสนั่นโต๊ะ

“เออ พวกมึงสองคนเนี่ย เถียงกันทั้งวัน ทำไมไม่ลองคบกันไปเลยวะ” แจงพูดขึ้น

เบสรีบพยักหน้า “จริง ลูกดกแน่ ๆ แบบนี้ กัดกันทุกวัน สุดท้ายก็ไปจบที่เตียงชัวร์ กูคอนเฟิร์ม!”

อคิณกับน้ำหนึ่งที่กำลังโดนแซวถึงกับชะงักไปทั้งคู่

“บ้าเหรอ! ไม่มีทาง กูกับมันเป็นเพื่อนกันโว้ย” น้ำหนึ่งรีบส่ายหน้า พลางโบกมือปฏิเสธ

ส่วนอคิณได้แต่หัวเราะ “ใช่ ไม่มีทางเด็ดขาด…กูไม่เอามันหรอก”

น้ำหนึ่งหันขวับมามองทันทีที่ได้ยิน น้ำเสียงกวนประสาทของอคิณทำให้หน้าเริ่มร้อนขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว

“พูดให้มันน้อย ๆ หน่อยเหอะ เดี๋ยวแม่งได้ตบกลางโต๊ะ”

แจงหัวเราะจนตัวโยน “โอ๊ย ๆ ๆ กูว่ามึงสองคนแม่งโคตรน่ารักว่ะ ยิ่งปฏิเสธยิ่งน่าสงสัยนะเว้ย”

“เออว่ะ ยิ่งทำปากบอกว่าไม่ แต่ยิ่งเหมือนแอบมีอะไรกันแล้ว” เบสหรี่ตามองจับผิด

ทั้งอคิณและน้ำหนึ่งแทบจะพูดพร้อมกัน

“เฮ้ย! ไม่มีโว้ย!!”

เพื่อน ๆ ยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม รู้สึกเหมือนกำลังดูละครตลกสด ๆ ตรงหน้า ในขณะที่ทั้งคู่ได้แต่แดงปนหงุดหงิด พยายามจะกลบเกลื่อนด้วยการหันไปสนใจเรื่องอื่น แต่ในใจกลับเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก

ช่วงเย็น เพื่อน ๆ เริ่มทยอยแยกย้ายกันกลับหลังนั่งคุยกันมานาน เหลือเพียงอคิณกับน้ำหนึ่งที่ยังนั่งอยู่ตรงโต๊ะเดิม เสียงรอบข้างเงียบลงจนเหลือเพียงเสียงลมพัดใบไม้สั่นไหว

น้ำหนึ่งก้มหน้าก้มตาเก็บแก้วชานมที่ดื่มหมดแล้ว ขณะที่อคิณยังคงเอนหลังพิงพนัก มองเธอด้วยรอยยิ้มมุมปากเหมือนปกติ แต่สายตากลับไม่เหมือนเดิม

“เห็นปฏิเสธแรง ๆ แบบนั้น… แต่หน้าแดงไปหมดเลยนะเมื่อกี้” เสียงทุ้มยียวน

น้ำหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้ว “บ้า ใครจะหน้าแดงเพราะมึงวะ ร้อนต่างหาก”

“อ๋อหรอ…งั้นคราวหน้าถ้าเพื่อนแซวอีก มึงก็ลองตอบตามตรงดิ”

“ตรงอะไรของมึงวะคิณ”

ร่างสูงของเพื่อนสนิทโน้มตัวเข้ามาใกล้จนระยะห่างเหลือไม่กี่คืบ สายตาคมสบตาเธออย่างจงใจ

เขาพูดช้า ๆ “ตรงที่…บางทีการเป็นมากกว่าเพื่อน ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน”

น้ำหนึ่งชะงัก มือที่ถือแก้วพลาสติกอยู่แทบหลุด ความร้อนพุ่งขึ้นมาที่ใบหน้าทันที จนเธอต้องรีบเบือนหน้าหนี

“พูดบ้าอะไรของมึงเนี่ย…อย่ามาล้อเล่นแบบนี้นะ”

“ใครบอกว่ากูล้อเล่น”

บรรยากาศรอบโต๊ะเงียบ น้ำหนึ่งใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา แต่ก็พยายามแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ลุกขึ้นสะพายกระเป๋าอย่างรวดเร็ว

“กลับแล้ว...เดี๋ยวรถติด”

อคิณหัวเราะเบา ๆ ก่อนลุกตาม ก้าวเท้าเดินเคียงข้าง ก่อนโน้มตัวลงกระซิบข้างหูเพื่อนรัก

“กูพูดจริงนะน้ำหนึ่ง…ไว้คิดดี ๆ ล่ะ”

รถเก๋งของอคิณแล่นออกจากลานจอดมหาวิทยาลัยไปตามถนนยามเย็น เหมือนทุกวันหลังเลิกเรียนที่เขาจะเป็นคนขับไปส่งน้ำหนึ่งที่คอนโดเสมอ

ภายในรถเปิดเพลงเบา ๆ แต่บรรยากาศกลับไม่ได้ผ่อนคลายอย่างเคย คนตัวเล็กนั่งกอดกระเป๋าแน่น มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อกลบความวุ่นวายในใจที่ยังคุกรุ่นจากคำพูดก่อนหน้านี้

ผู้ชายเจ้าเล่ห์เหลือบมองเพื่อนเป็นพัก ๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้

“นี่น้ำหนึ่ง… มึงเคยคิดบ้างปะ ว่าถ้าเราไม่ได้เป็นแค่เพื่อน มันจะเป็นยังไง”

“หา? มึงพูดอะไรของมึงวะ”

“ก็แค่สมมุติไง ถ้ามึงกับกูมีอะไรกันจริง ๆ อะ มันจะเป็นไงวะ”

รถยังคงแล่นไปข้างหน้า แต่หัวใจของน้ำหนึ่งเต้นรัวแรงจนเหมือนจะกระเด็นกระดอนออกมาอยู่ด้านนอก เธอหันขวับไปมองหน้าเขาด้วยความตกใจ

“มึงบ้าไปแล้วเหรอคิณ!”

อคิณหันมามองแวบหนึ่ง แววตาแพรวพราว ก่อนหันกลับไปมองถนนต่อ

“กูพูดจริงนะ ไม่ได้บ้า แค่คิดเฉย ๆ ว่ามันคงน่าสนใจดี”

ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงจัด จนต้องรีบเบือนหนี “หยุดเลยนะ กูไม่อยากฟัง มึงอย่าพูดมั่ว ๆ แบบนี้ดิ”

มีเพียงเสียงหัวเราะเบา ๆ จากเขา แล้วใบหน้าคมก็เอียงเข้ามาใกล้ตอนรถติดไฟแดง

“ทำไมต้องหน้าแดงด้วยอะ…หรือจริง ๆ มึงก็เคยคิดเหมือนกัน”

“กูไม่ได้คิด” สองมือบางรีบยกปิดแก้ม “กูไม่เคยคิดเลยเว้ย!”

อคิณยกยิ้มกวน ๆ พร้อมส่ายหัว ก่อนจะเปลี่ยนเกียร์เมื่อไฟเขียวขึ้นมา แต่ก็ยังไม่วายพูดต่อ

“ไม่เคยคิด… แต่กูว่าจะทำให้มึงคิดจนได้”

น้ำหนึ่งตัวแข็งทื่อ ความเงียบปกคลุมไปตลอดเส้นทาง เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะกลบเสียงเพลงในรถ

เมื่อรถของอคิณจอดหน้าคอนโด น้ำหนึ่งก็รีบคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย หวังจะหนีบรรยากาศชวนสั่นประสาทที่เพิ่งผ่านมาระหว่างทาง

แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตู อคิณก็พูดขึ้นมาก่อน

“นี่…กูขึ้นไปนั่งเล่นห้องมึงหน่อยดีปะ”

น้ำหนึ่ง หันขวับ ตาโต “ไม่ได้ กูง่วง จะรีบนอน”

“แป๊บเดียวก็ไม่ได้เลย” คนชอบแกล้งยังไม่ละความพยายาม “แค่นั่งเล่น กินขนม ดูหนัง…หรือถ้ามึงอยากให้กูทำอย่างอื่นก็บอกได้”

“ไอ้คิณ มึงพูดบ้าอะไรเนี่ย”

ร่างสูงโน้มตัวเข้ามาใกล้จนใบหน้าเหลือระยะไม่กี่คืบ เสียงทุ้มต่ำชวนใจสั่นเอ่ยเบา ๆ

“ก็มึงบอกไงว่าไม่มีวันคิดเรื่องแบบนั้นกับกู… แต่กูว่ามึงกำลังคิดอยู่”

“กูไม่คิด...กูจะขึ้นห้องแล้ว”

ยัยเพื่อนตัวแสบเปิดประตูรถออกไปทันทีโดยไม่หันกลับมามอง อคิณมองตามด้วยสายตาขำ ๆ ทว่า กลับมีประกายจริงจังซ่อนอยู่ในนั้น

“ไม่เป็นไรหรอก…กูจะทำให้มึงคิดเอง น้ำหนึ่ง”

///////////////////////////////////////////////////////

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel