บทที่2 เกี้ยวเจ้าสาว
สามวันต่อมา
“พานเยว่หลานรับราชโองการ”
“ด้วยโองการแห่งฟ้า คุณหนูตระกูลพานผู้งดงาม เฉลียวฉลาดและเปี่ยมด้วยคุณธรรม บัดนี้ยังมิได้มีการหมั้นหมายกับตระกูลใด ฮ่องเต้เล็งเห็นว่าแม่ทัพพานเป็นผู้มีคุณต่อแผ่นดินต้าเหลียง จึงได้มอบพระราชทานมงคลสมรสให้แก่บุตรีอย่างพานเยว่หลานและคุณชาย โจวหานอี้ บุตรชายของเสนาบดีกรมพระคลัง ขอให้ทั้งสองจงมีแต่ความสุขความเจริญ”
พานเยว่หลานผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าขันทีจากวังหลวง บัดนี้ร่างกายชาวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า นางไม่รู้เลยว่าพระราชโองการนี้มาได้อย่างไร
“คุณหนูพานโปรดรับพระราชโองการเถิด”
หญิงสาวถูกผู้เป็นมารดากระตุ้นจากด้านข้าง จึงได้ลุกขึ้นไปรับหนังสือพระราชโองการจากขันทีจาง
“ขอแสดงความยินดีกับคุณหนูพานด้วยขอรับ”
“ขอบคุณ...เจ้าค่ะ”
ขันทีจางผู้รับหน้าที่เดินทางมายังตระกูลพานเพื่อประกาศพระราชโองการ เมื่อได้เห็นใบหน้างามซีดขาวเพียงเท่านี้ก็มองออกแล้วว่านางมิได้พึงใจต่อพระราชโองการฉบับนี้
“เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน”
“ได้โปรดรอก่อน มิทราบว่าท่านขันทีช่วยบอกได้หรือไม่ ว่าผู้ใดเป็นผู้ขอพระราชโองการฉบับนี้เจ้าคะ”
ขันทีจางหันกลับไปมองร่างบางด้วยสีหน้าเวทนา นางเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกดึงเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจทางการเมืองโดยไม่รู้ตัว
“ความจริงเรื่องนี้ข้าไม่สามารถพูดออกไปได้ แต่เพราะว่าเห็นเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ ข้าจะบอกก็แล้วกัน”
หลังจากที่ขันทีจางและคณะจากไป หญิงสาวก็วิ่งกลับไปยังเรือนของตนด้วยสีหน้าทุกข์ระทม ภายในหัวของนางยังคงได้ยินเสียงของขันทีจางดังก้อง
“เป็นฝีมือของเฉิงหรงกุ้ยเฟย พระนางไม่พอใจที่ฮองเฮาทาบทามเจ้าให้กับฝ่าบาท”
เพียงเพราะความต้องการฝักใฝ่ในอำนาจของตน ถึงกับทำลายชีวิตของสตรีผู้หนึ่ง พานเยว่หลานรู้สึกเกลียดชังคนตระกูลโจวนัก
ภายหลังได้รับพระราชโองการหญิงสาวก็เอาแต่ขังตนเองอยู่ภายในห้อง ไม่ยอมพบหน้าผู้ใด แม้แต่สองอาหลานมาที่นี่นางก็ยังบอกปัด เพราะละอายแก่ใจที่ต้องพบหน้าพวกเขา
“ท่านแม่ลูกไม่ต้องการแต่งงานกับคุณชายตระกูลโจวนั่น”
“แม่รู้แต่พวกเราไม่สามารถขัดพระราชโองการได้ ตัดใจจากเย่เหิงเสียเถิด ถือเสียว่าลูกทั้งสองคนไร้วาสนาต่อกัน”
มารดาของพานเยว่หลานเข้ามาเกลี้ยกล่อมให้บุตรสาวยอมแต่งงานกับโจวหานอี้แต่โดยดี เพราะวันนี้ทางนั้นได้ส่งของหมั้นมายังเรือนตระกูลพานพร้อมแม่สื่อเรียบร้อยแล้ว
“ข้า...ฮื่ออออ!! ท่านแม่ลูกไม่ได้รักเขา ฮื่อออ!! เหตุใดลูกต้องแต่งงานกับคนที่ลูกมิได้รัก”
หญิงสาวร่ำไห้ปานใจจะขาดเพราะรู้สึกทุกข์ระทมที่ต้องแต่งงานกับคนที่ตนมิได้รัก
อีกด้าน ชายหนุ่มตระกูลเย่ที่บัดนี้ถูกขังเอาไว้ในเรือนเพราะออกไปอาละวาดที่ตระกูลโจว จึงได้ถูกพี่ชายจับตัวกลับมา บัดนี้เขาเองก็ทุกข์ใจไม่ต่างกัน คนทั้งสองเติบโตและผูกพันรักใคร่กันมาตั้งแต่ยังเล็ก ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้สายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูล
พวกเขาต่างคิดว่าวันหน้าตระกูลทั้งสองจะได้เกี่ยวดองกัน แต่นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะถูกทำลายด้วยพระราชโองการฉบับเดียว
“ปล่อยข้า!! ปล่อยข้าออกไป!!ข้าจะไปสังหารเจ้าคนแซ่โจวนั่น เขากล้าดีอย่างไรมาแย่งชิงหลานเอ๋อไปจากข้า”
เสียงตะโกนออกมาจากเรือนส่วนตัวของชายหนุ่ม เย่เหิงบัดนี้ช่างดูต่างจากบัณฑิตหนุ่มผู้มีอนาคตไกลยิ่งนัก เขาดื่มเหล้าเมาทุกวันตั้งแต่ได้ยินข่าวเรื่องพระราชโองการพระราชทานมงคลสมรสของพานเยว่หลาน
เด็กชายตัวน้อยผู้เป็นหลานเดินมายังหน้าเรือนของผู้เป็นอา เขามองไปยังประตูที่ถูกปิดสนิทพลางหันไปมองบิดาที่ยืนสีหน้าจนใจอยู่ด้านข้าง หลายวันมานี้เย่เสวียนจื่อทำตัวเป็นเด็กดีว่าง่ายกว่าทุกครั้ง เพราะเขาสัมผัสได้ว่าภายในจวนมีบัดนี้มีแต่บรรยากาศเศร้าหมองและยุ่งเหยิง
“ท่างพ่อ ท่างอาเสียจาย”
เย่เทียนหลางลูบหัวทุยของบุตรชาย จากนั้นจึงอุ้มเขาออกจากเรือนของน้องชายคนที่สามไป
รัชศกเจียวจิ้นปีที่สอง
เกี้ยวสีแดงหลังใหญ่ที่มีบุรุษร่างกำยำถึงแปดคนหามพร้อมกับก้าวเดินเป็นจังหวะ ขบวนเจ้าสาวผู้เพียบพร้อมและงดงามเป็นเอกถูกแห่ไปตามถนนเส้นหลังของจิ่งโจวเมืองหลวงของต้าเหลียงอย่างยิ่งใหญ่
ร่างบางในชุดเจ้าสาวสีแดงนั่งสงบนิ่งอยู่ภายใน เสียงเครื่องเป่าดังเป็นจังหวะสูงต่ำ เรียกความสนใจของชาวเมืองให้เข้ามารุมล้อมเพื่อรับกลิ่นอายความเป็นสิริมงคลนั้น ทว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านในกลับมิได้รู้สึกถึงมันแม้เพียงนิด
ภายในใจยังคงคุกรุ่นด้วยแรงโทสะมิจางหาย ตั้งแต่ที่ได้รับพระราชโองการฉบับนั้น ตระกูลพานก็พยายามยื้อการแต่งงานออกไปถึงหนึ่งปี ทว่าก็มิสามารถทำเช่นนั้นได้ตลอดไป
หญิงสาวปาดน้ำตาตนเองออกจากใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างสวยงาม ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องไปยังผ้าสีแดงผืนบางที่คลุมปิดเอาไว้
ในมือลูบหยกสลักของแทนใจที่ชายหนุ่มคนรักมอบให้ตน แม้กายของนางจักต้องเป็นของผู้อื่น ทว่าใจของพานเยว่หลานก็มิยินยอมมอบให้ผู้ใด
เมื่อช่วงเวลากราบไหว้ฟ้าดินของบ่าวสาว ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็เดินโซซัดโซเซเข้ามาภายในงาม เขาเขวี้ยงไหสุราลงไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวดและโทสะที่อัดแน่น พลางชี้ไปยังเจ้าบ่าวในชุดสีแดงมงคลตรงหน้า
“เจ้าคนแซ่โจว เจ้าถือดีอย่างไรมาแย่งชิงคนรักของข้า เจ้าถือดีอย่างไรมาใช้นางเป็นเครื่องมือหาอำนาจของตระกูลเจ้า พวกบัดซบ พวกเจ้าคนตระกูลโจวมันมีแต่ตัวบัดซบทั้งนั้น”
ไม่มีใครคาดคิดว่าชายหนุ่มอนาคตไกลอย่างเย่เหิงจะกลายเป็นชายขี้เมาไร้สติเช่นนี้ เย่เทียนหลางที่ได้รับเทียบเชิญมาร่วมงานแต่งงาน เมื่อเห็นน้องชายที่ควรถูกขังอยู่ในเรือนออกมาอาละวาดที่นี่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
ต้องเป็นฝีมือของเจ้าเด็กแสบนั่นแน่นอน
“อาเหิงเจ้าเมาแล้วกลับเรือนไปเสีย”
“ข้าไม่กลับ!! ถ้ามิใช่เจ้าโจรถ่อยผู้นี้ชิงขอพระราชโองการ เขาหรือจะคู่ควรกับหลานเอ๋อของข้า”
ชายหนุ่มชี้หน้าเจ้าบ่าวอย่างไม่ยินยอม หญิงสาวที่มองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงได้แต่พยายามอดกลั้น เพราะไม่ต้องการให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้
“คุณชายสามตระกูลเย่ ข้าเห็นว่าตอนนี้ท่านกำลังเมาหนัก จึงไม่คิดถือสาต่อสิ่งที่ท่านพ่นวาจากล่าวล่วงเกินตระกูลโจวของข้า แต่ถ้าหากท่านยังไม่หยุด อย่าหาว่าข้าโจวหานอี้ไม่ไว้หน้าตระกูลเย่”
เย่เทียนหลางเห็นวาจาของโจวหานอี้เอ่ยเหน็บแนมราวกับตนสูงส่งก็ชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ ทว่าจ้าวหยวนเอ๋อผู้เป็นภรรยาได้จับมือเขาเอาไว้พลางส่ายหน้ามิให้เขาตอบโต้กลับคืนไป
“คนมา...พาตัวคุณชายสามกลับเรือนไปซะ วันนี้เขาก่อเรื่องวุ่นวายเกินไปแล้ว”
เย่เทียนหลางผู้เป็นพี่ใหญ่สั่งผู้ติดตามของตนให้มาคุมตัวเย่เหิงกลับเรือน แต่ก่อนจากไปเขายังหันมาเอ่ยกับเจ้าบ่าวอย่างโจวหานอี้เล็กน้อย
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะยอมให้ตระกูลโจว พบกันครั้งหน้าข้าไม่ถือสาที่ท่านจะทำให้พวกเจ้าได้พบกับความเจ็บปวดดั่งเช่นที่น้องชายของข้าได้รับ”
เอ่ยจบร่างสูงก็สะบัดแขนเสื้อก้าวออกจากเรือนตระกูลโจวไป
ภายหลังเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินผ่านไป ร่างบางถูกแม่สื่อนำตัวไปยังห้องหอที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ เสียงแขกเหรื่อด้านนอกกล่าวแสดงความยินดีดังเซ็งแซ่ ทว่าเจ้าสาวกลับนั่งใบหน้าเรียบเฉยราวกับมิใช่งานมงคลของตน
“คารวะคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
เสียงของสาวใช้ที่ทำหน้าที่เฝ้าด้านนอกเอ่ยทักทายผู้มาเยือน เรียกสติที่กำลังเหม่อลอยของหญิงสาวกลับคืนมา ประตูที่ปิดสนิทบัดนี้ถูกเตะเปิดออกเสียงดัง ร่างสูงโปร่งเดินโซซัดโซเซตรงมายังหญิงสาวที่นั่งรออยู่ ก่อนผ้าสีแดงผืนบางจะถูกสะบัดออกอย่างแรง
