บทที่ 7 เด็กชายแปลกหน้าที่หลงทาง [2/2]
บทที่ 7
เด็กชายแปลกหน้าที่หลงทาง [2/2]
ท่ามกลางแสงโคมไฟนับพันที่ส่องประกายสว่างไสวกลางรัตติกาล ผู้คนเบียดเสียดแน่นขนัดไปทั่วถนนสายหลักของ ในขณะที่จ้าวหว่านชิงจูงมือซูเหยาเดินทอดน่องชมงานนั้นจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าชายกระโปรงของตนถูกฉุดรั้งจากด้านหลัง หญิงสาวหยุดก้าวหันกลับไปก็พบเด็กชายวัยราวเจ็ดขวบผู้หนึ่งเขาสวมอาภรณ์เนื้อดีที่บ่งบอกฐานะมิธรรมดา ใบหน้าขาวนวลชุ่มไปด้วยน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางเกาะชายกระโปรงของนางแน่นพร้อมกับพร่ำเรียกหาท่านป้าของตน
จ้าวหว่านชิงรับรู้ได้ทันทีว่าเด็กน้อยคงพลัดหลงกับครอบครัว ร่างบางจึงย่อกายลงระดับสายตาพลางคลี่ยิ้มอ่อนโยนพร้อมเอ่ยกับเด็กชายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เด็กน้อยอย่าร้องไปเลยนะ...เจ้าพลัดหลงกับครอบครัวของเจ้าหรือ?”
ดวงตากลมใสที่คลอไปด้วยหยาดน้ำตาสบเข้ากับใบหน้าของหญิงสาวแปลกหน้าที่สวมใส่อาภรณ์สีเดียวกับท่านป้าของเขา เด็กชายพยักหน้ารับทั้งสะอึกสะอื้นพลางพูดตะกุกตะกัก
“ข้า…ข้ากำลังกินน้ำตาลปั้นอยู่ แล้วจู่ ๆ…ท่านป้ากับสาวใช้ก็หายไป”
เมื่อได้เห็นแก้มเล็กเปียกชื้นไปด้วยน้ำตาจ้าวหว่านชิงพลันรู้สึกเวทนา นางหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสะอาดขึ้นมาซับน้ำตาให้เด็กชายอย่างเบามือพร้อมกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและดูเป็นมิตร
“ไม่ต้องกลัวนะเดี๋ยวพี่สาวจะช่วยตามหาครอบครัวของเจ้าเอง เจ้าเล่าให้พี่สาวฟังได้หรือไม่ว่าครั้งสุดท้ายเจอท่านป้าของเจ้าที่ไหน?”
เด็กชายส่ายหน้าช้า ๆ น้ำตาไหลพรากไม่หยุดเพราะหลังจากที่รู้ว่าท่านป้าและสาวใช้หายไปเขาก็วิ่งหาทุกคนไปทั่ว
“เช่นนั้นบ้านของเจ้าอยู่ในเมืองนี้หรือไม่?”
“บ้านข้าอยู่ที่เมืองหลวง...วันนี้ข้าเพียงตามท่านป้ามาเที่ยวงานเทศกาลเพียงเท่านั้น…” เด็กน้อยตอบเสียงขาดห้วงในขณะเช็ดน้ำตาลวก ๆ บนแก้ม
ด้านซูเหยาเด็กหญิงที่ยืนมองเหตุการณ์ตั้งแต่แรก เมื่อเห็นท่าทีอ่อนโยนของจ้าวหว่านชิงที่มอบให้แก่ผู้อื่นมิใช่ตนความไม่พอใจก็ผุดขึ้นในใจ ร่างเล็กรีบสาวเท้าเข้ามากอดแขนข้างหนึ่งของหว่านชิงแน่นพลางส่งสายตาแข็งกร้าวไปยังเด็กชายประหนึ่งจะประกาศสิทธิ์
นี่คือมารดาของข้า!
เด็กชายที่ยังร้องไห้สะอื้นอยู่พลันสังเกตเห็นซูเหยาเป็นครั้งแรก เมื่อดวงตากลมโตสบเข้ากับใบหน้าอ่อนเยาว์งดงามแต่กลับฉายแววเฉียบคมร้ายกาจในวัยเพียงแปดขวบก็ถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ เขาลืมแม้กระทั่งว่าตนเองกำลังร้องไห้ก่อนเผลอพึมพำออกมาราวกับต้องมนต์
“งดงามเหลือเกิน…”
ซูเหยาที่ได้ยินเข้าใจว่าอีกฝ่ายเอ่ยชมจ้าวหว่านชิงพลันนัยน์ตากลมคมก็ถลึงใส่เด็กชายราวกับจะขู่เข็ญก่อนจะกระแทกเสียงเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“เจ้าโง่! จำอะไรไม่ได้สักอย่างหรือไร แล้วโรงเตี๊ยมที่พวกเจ้าพักอยู่เล่ายังจำได้หรือไม่?”
เด็กชายทำหน้าเหรอหราสักครู่ก่อนค่อยพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ พลางเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม ราวกับเป็นคนละคนกับเด็กที่ร้องไห้งอแงเมื่อครู่
“จำได้สิ...หน้าโรงเตี๊ยมเขียนป้ายว่าลู่เสียน”
“ลู่เสียน....ช่างบังเอิญเสียจริงพี่สาวก็พักอยู่ที่นั่นพอดี ถ้างั้นพวกเรากลับไปรอท่านป้าของเจ้าที่โรงเตี๊ยมดีหรือไม่”
เมื่อเห็นเด็กชายพยักหน้าจ้าวหว่านชิงก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ นางตั้งใจจะกลับไปรู้ครอบครัวของเด็กน้อยที่โรงเตี๊ยมก่อนถ้ายังไม่เจอค่อยไปแจ้งทางการให้ออกตามหา
“เด็กน้อยจับมือพี่สาวสิจะได้ไม่พลัดหลงอีก”
หญิงสาวยันกายยืนขึ้นพลางยืนมือออกไปตรงหน้าของเด็กชาย เมื่อมือเล็กสัมผัสกับฝ่ามือของนางริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มออกมาทันที จ้าวหว่านชิงตั้งใจจะจับมือของซูเหยาที่ยืนอยู่อีกข้างแต่ทว่าเด็กหญิงกลับไม่ยอมจับมือของนาง
“หืม? ..เหยาเอ๋อร์เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“อุ้ม...ข้า..อยากให้ท่านอุ้ม”
จ้าวหว่านหนิงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำอ้อนของซูเหยา แววตากลมโตที่เงยขึ้นมองนางฉายความดื้อดึงปนคาดหวังอยู่เต็มเปี่ยม หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะย่อตัวลงรับร่างเล็กเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้ง
“เอาล่ะ ๆ เหยาเอ๋อร์มารดาจะอุ้มเจ้าเอง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อพลางใช้ปลายจมูกแตะลงหน้าผากเล็กเบา ๆ ทำให้เด็กหญิงเบือนหน้าหนีหลบความเขินอายที่ตนทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้
ด้านเด็กชายที่ยังคงจับมือจ้าวหว่านชิงอยู่นั้นก็รีบยืดอกโม้เสียงดัง ในขณะที่สายตามลอบมองเด็กหญิงที่ถูกอุ้มอยู่
“เจ้าเจ็บขาหรือเหตุใดจึงให้พี่สาวอุ้ม ข้าเองเป็นบุรุษฝึกยุทธ์ตั้งแต่สามขวบมีร่างกายแข็งแรงกว่าพี่สาวเสียอีก เจ้าอยากขี่หลังข้าหรือไม่?”
ซูเหยาที่ซุกอยู่ในอ้อมอกของจ้าวหว่านหนิงเมื่อได้ฟังคำพูดของเด็กชายถึงกับเบ้ปาก นึกในใจว่าคนขี้แยเช่นเจ้าสูงกว่าสุนัขนิดเดียวยังจะคิดให้ข้าขี่หลังหรือ...
“เพ้อเจ้อเสียจริง...รอให้ตัวเจ้าสูงเท่าหว่านชิงและเป็นบุรุษรูปงามก่อนค่อยคิดจะมาอุ้มข้าเถอะ”
จ้าวหว่านหนิงมองภาพเด็กน้องทั้งสองสนทนาโต้เถียงกันด้วยแววตาอ่อนโยนในขณะที่เดินกลับโรงเตี๊ยม ทว่าไม่มีใครคิดเลยว่าคำพูดนั้นของซูเหยาจะตรึงอยู่ในใจของเด็กชายไปตลอดหลายปี…