บทที่ 1 พลัดพรากจากห้วงเวลา
ถนนสายหลัก ณ กรุงปักกิ่ง รถหรูคันสีดำเคลื่อนตัวไปตามถนนคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เวลานี้อยู่ในช่วงเหมันตฤดู บรรยากาศโดยรอบจึงเต็มไปด้วยละอองหิมะสีขาวโพลน เด็กสาววัยสิบห้าฉีกยิ้มกว้างส่งไปจนถึงดวงตาคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
"คุณพ่อ คุณแม่คะ วันนี้จูเอ๋อร์มีความสุขที่สุดเลย" เด็กสาวโผเข้ากอดมารดาแนบอก
ผู้เป็นมารดาแย้มยิ้มอบอุ่น มือเรียวลูบไล้เส้นผมสีดำขลับด้วยความทะนุถนอม ส่วนบิดาโน้มกอดหญิงสาวที่ตนรักสุดหัวใจทั้งสองไว้ในอ้อมแขนพร้อมใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
"จูเอ๋อร์ ไม่อยากเที่ยวต่อจริงเหรอลูก วันนี้จูเอ๋อร์อยากไปไหนพ่อจะพาไปทุกที่"
"นั่นสิ ลูกเรียนมาหนักพอแล้ว วันเกิดทั้งที พ่อและแม่อยากให้หนูได้พักผ่อนบ้าง" ผู้เป็นแม่เอ่ยสำทับ
เด็กสาวใบหน้าพริ้มเพราคลายอ้อมกอดออกจากมารดา แล้วจึงหันมาโอบรัดบิดาอีกทาง เธอแหงนมองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาออดอ้อนระคนซุกซน
"คุณพ่อขา...จูเอ๋อร์ไม่อยากไปไหนแล้วจริง ๆ ค่ะ ทุกปีเราก็ไปเที่ยวข้างนอกกันอยู่ตลอด ปีนี้เรากลับไปทานข้าวด้วยกันที่บ้านดีกว่านะคะ บ้านเราอบอุ่นที่สุดแล้วค่ะ"
ทั้งพ่อและแม่ได้เห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนรู้จักคิดรู้จักพูดก็ปลื้มปริ่มจนน้ำตาซึม แม้ฐานะครอบครัวพวกเขาร่ำรวยล้นฟ้า เป็นถึงซีอีโอเครื่องสำอางชั้นนำของประเทศ ทว่า'จางหลินจู'กลับไม่เคยทำตัวหยิ่งผยองหรือโอ้อวดใด ซ้ำยังไม่เคยหยิบใช้ข้าวของฟุ่มเฟือยเกินราคา เพราะจางหลินจูรู้ดีว่า กว่าที่พ่อและแม่ของตนจะมีวันนี้ได้ต้องผ่านความยากลำบากมากมายเพียงใด
"ตอนนี้จูเอ๋อร์อายุสิบห้าปี ลูกพ่อโตเป็นสาวแล้วนี่นา" มือหยาบระคายบีบจมูกเชิดรั้นของบุตรสาวพร้อมส่ายไปมาอย่างนึกเอ็นดู เสียงหัวเราะคิกคักบ่งบอกว่าพวกเขาทั้งสามคนมีความสุขเพียงใด
"ท่านประธาน กลับเลยใช่ไหมครับ"
"ใช่กลับเลย รีบหน่อยเล่า ผมจะได้ไปทำอาหารให้จูเอ๋อร์ทาน"
"ครับ" คนขับรถรับปากพร้อมเร่งเครื่องให้เร็วขึ้น
เนื่องจากตอนนี้หิมะเริ่มปกคลุมหนาขึ้นทุกขณะ จางหลินจูเกิดเป็นห่วง เกรงว่าจะบดบังทัศนียภาพการขับขี่เอาได้ "คุณพ่อคะ ไม่ต้องรีบก็ได้ค่ะ อันตรายนะคะ ให้คุณเจี่ยค่อย ๆ ขับเถอะนะคะ"
"ไม่เป็นไร อาเจี่ยคุ้นทาง ขับรถให้พ่อมาเป็นสิบปี"
คนขับรถมองภาพครอบครัวสุขสันต์ผ่านกระจกหน้ารถ เอ่ยสำทับ "คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงครับ ถนนสายนี้ผมคุ้นชินไปมาหลายครั้งแล้ว"
จางหลินจูไม่วางใจเสียทีเดียว เพราะอกซ้ายของเธอมันดันเต้นแรงคล้ายวิตกกังวลจนผิดปกติ
"จูเอ๋อร์"
"..."
"จูเอ๋อร์"
"..."
"คะ!" จางหลินจูสะดุ้งโหยง
"เป็นอะไรลูก ใจลอยไปถึงไหน"
จางหลินจูส่งยิ้มแห้งขอด "เปล่าค่ะคุณแม่ จูเอ๋อร์แค่คิดถึงบ้านแล้วค่ะ"
เสียงเล็กและเสียงทุ้มหัวเราะครืนประสานกันอย่างขบขัน "ดูสิเด็กคนนี้ อยากกลับบ้านขนาดนั้นเชียว"
พริบตาก็มีบางอย่างหย่อนลงตรงหน้าของจางหลินจู เด็กสาวช้อนตาขึ้นแช่มช้า เธอกวาดสายตาเพื่อสำรวจครู่หนึ่ง
"จูเอ๋อร์ สร้อยเส้นนี้พ่อให้หนู ชอบไหมลูก"
สร้อยเส้นนี้มองด้วยตาเปล่ายังทราบได้ทันทีว่ามีมูลค่ามาก "ชอบค่ะ...แต่คุณพ่อ... นี่อะไรคะ ดูมีค่ามากเกินไปหรือเปล่า อีกอย่างลูกคงใส่ไปโรงเรียนไม่ได้หรอกค่ะ สวยอลังการขนาดนี้"
"ใส่ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่เป็นมรดกจากต้นตระกูลของเราเลยนะลูก สร้อยเส้นนี้ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ไม่สามารถตีมูลค่าได้ ในเมื่อวันนี้ลูกไม่อยากได้อะไร ลูกก็เก็บเอาไว้ เผื่ออนาคตข้างหน้าลูกอาจได้ใช้"
จางหลินจูขมวดคิ้ว เพราะเธอไม่ทราบความหมายจากคำพูดของบิดาเสียทีเดียว บางทีพ่อของจางหลินจูอาจหมายถึง เอาไว้ใช้ตอนที่เธอต้องไปออกงานสังคมอะไรทำนองนั้นก็ได้ จางหลินจูจึงไม่คิดสงสัยให้มากความอีก
จางหลินจูแหงนหน้าขึ้น กระบอกตาทั้งสองร้อนรื้นแดงก่ำ ชีวิตคุณหนูเช่นจางหลินจูเปรียบดั่งองค์หญิงในนิยายก็จริง ครอบครัวของเธอสมบูรณ์เพอร์เฟกต์ซะจนใคร ๆ ก็ต้องอิจฉา ทว่าบรรดาเพื่อนหลายคนกลับเข้าหาเธอก็เพียงเพราะฐานะและหน้าตา แต่จางหลินจูกลับไม่เคยมีเพื่อนที่จริงใจกับเธอเลยสักคน
"ขอบคุณนะคะ หนูรักคุณพ่อคุณแม่ที่สุดเลยค่ะ"
สร้อยในมือบิดาสวมลงบนลำคอของลูกสาว จากนั้นคนทั้งสามก็โผกอดกันด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่น ขณะที่ดำดิ่งในห้วงแห่งความสุข จางหลินจูกลับรู้สึกว่ามีประกายบางอย่างกระทบเข้าม่านตาขณะที่ยังปิดสนิท
แพขนตาหนาขยับไหว จางหลินจูเปิดปรือเปลือกตาขึ้นแช่มช้า พร้อมกับหรี่ตามองแสงที่สาดสะท้อนเข้ามา ภาพเบื้องหน้าคือรถบรรทุกขนาดใหญ่ เปิดไฟสูงสาดลำแสงเข้ามายังกระจกหน้ารถของเธอ
"ระวังค่ะ!"
คนขับรถได้สติ เพราะเมื่อครู่เขาเผลอวูบไปชั่วขณะ ทำให้รถหลุดจากเลนของตน
"เหวอ..."
ทุกคนในรถเบิกตาค้าง พ่อแม่ที่นั่งขนาบซ้ายขวา กอดกายจางหลินจูไว้แน่น
เอี๊ยด....
โครม!
ทุกอย่างเข้าสู่ความเงียบสงัดชั่วพริบตา หูของจางหลินจูอื้ออึงไปหมด ร่างกายของเธอก็ชาวาบจนไม่อาจขยับไหว จางหลินจูพยายามปรือตาขึ้น กวาดสายตามองหาคนที่รักสุดหัวใจ จางหลินจูเห็นพ่อและแม่ของเธอนอนไร้สติจมกองโลหิตสีแดงฉาน
คะ...คุณพ่อ คุณแม่ ปลอดภัยไหมคะ
ทั้งที่ภาพด้านหน้าฟ้องอยู่ตำตา จางหลินจูยังเลือกหลอกตัวเอง ตอนนี้จางหลินจูไม่อาจเปล่งเสียงหรือเคลื่อนไหวใด เพราะร่างกายมันชาไปหมด เปลือกตาก็หนักอึ้ง ลมหายใจที่หลงเหลือเริ่มขาดห้วงกระเพื่อมถี่
ไม่นานจางหลินจูก็ได้ยินเสียงไซเรนดังใกล้เข้ามา พร้อมกับแฟลชจากกล้องถ่ายภาพที่สาดสะท้อนเข้าม่านตาจนต้องปิดแน่น จางหลินจูพยายามโกยอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด
นี่เรา... เรากำลังจะตายงั้นเหรอ คุณพ่อ คุณแม่คะ จูเอ๋อร์เจ็บจังเลยค่ะ...
"เร็วเข้า ๆ มีคนเกิดอุบัติเหตุ"
"เอ๊ะ รถนี่มัน...ไม่ใช่รถของประธานจางหรอกเหรอ"
"นั่นสิ น่าสงสารจริง ๆ จะรอดไหมเนี่ย"
"ยับเยินขนาดนั้น ถ้ารอดก็ปาฏิหาริย์แล้วล่ะ"
จางหลินจูได้ยินผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ตบตีกันเต็มโซนสมองไปหมด ก่อนที่เสียงจะค่อย ๆ เบาลงพร้อมสติของเธอ เรียวมือซึ่งเปื้อนเลือดสีสดยกขึ้นกอบกุมสร้อยหยกบนลำคอด้วยความหวงแหน จางหลินจูไม่อาจประคองสติของตนเองไหวอีกแล้ว หัวใจของเธอกำลังเต้นช้าลงทุกขณะ
สวรรค์ หนูยังไม่อยากตาย ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย หากวันเกิดปีนี้สามารถขอพรได้หนึ่งสิ่ง หนูขอให้หนูได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งกับ....
จางหลินจูใช้เรี่ยวแรงที่หลงเหลือเฮือกสุดท้ายอ้อนวอนสรวงสวรรค์ แต่เสียงสุดท้ายดันแผ่วโหยก่อนจบประโยค ท้ายที่สุดแสงจากแฟลชที่สาดเข้ามาก็มืดดับลง พร้อมลมหายใจที่ขาดสะบั้นของเธอ....
.
.
"เฮือก!!"
"ฮื่อ....พี่หญิง พี่หญิงตื่นเถอะขอรับ พี่หญิง"
เด็กสาวที่นอนตัวเย็นอยู่บนฟางแห้งเบิกตาโพลง พร้อมหอบหายใจกระเพื่อมถี่ นัยน์ตากลมโตกลอกมองไปมาด้วยอาการมึนงง
นี่มันที่ไหน บ้านไม้งั้นเหรอ ทำไมหนาวจัง?
"ฮื่อ...ท่านแม่ ท่านแม่ พี่หญิงฟื้นแล้วขอรับ"
พี่หญิง ใครกันพี่หญิง?
จางหลินจูลดสายตาลงแช่มช้า ก็พบเข้ากับเด็กชายอายุราวห้าขวบนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ตรงหน้า เธออยากเปล่งเสียงแต่รู้สึกว่าลำคอของตนตอนนี้แห้งผากประหนึ่งขาดน้ำมาหลายวัน
"นะ...หนูจ๊ะ"
เด็กน้อยสูดน้ำมูกเสียงดังพรืด จากนั้นยกแขนเล็กซับน้ำตาที่เปื้อนสองข้างแก้มออกด้วยความรีบรน
"จูเอ๋อร์ ได้สติแล้วหรือลูก" เสียงสั่นเครือของสตรีแว่วเข้ามา
ครั้นเหลือบมองผ่านลาดไหล่ของเด็กน้อยไป ม่านตาของจางหลินจูก็ขยายกว้าง น้ำตาพลันเอ่อคลอขึ้นเต็มเบ้าทันควัน "คุณแม่ คุณแม่ปลอดภัยใช่ไหมคะ"
เพราะน้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างแหบแห้ง สตรีวัยกลางคนจึงช่วยพยุงเธอลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ป้อนน้ำให้ดื่ม
แค่ก แค่ก
"ใจเย็น ๆ ลูก"
ไม่นานจางหลินจูก็ดื่มน้ำจนอิ่ม จางหลินจูสำรวจเด็กน้อยและหญิงวัยกลางคนตรงหน้าด้วยความงงงวย หญิงคนนี้ใบหน้าคล้ายมารดาของเธอมากราวกับฝาแฝด ทว่าการแต่งกายสุดมอซอแบบนี้จะใช่แม่ของจางหลินจูแน่หรือ
เมื่อฉุกนึกไปถึงอุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้น จางหลินจูจึงคิดว่าอาจเป็นเพราะเหตุการณ์ในตอนนั้น จางหลินจูคว้าแขนอันผอมกะหร่องของมารดามากอบกุมอย่างรวดเร็ว
"คุณแม่ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เจ็บตรงไหนไหม แล้วคุณพ่อล่ะคะ"
จางหลินจูกวาดสายตามองหาบุคคลที่เอ่ยถึง ทว่ากลับพบเพียงตาใสแป๋วของเด็กชายที่ยืนมองเธอแทบไม่กะพริบ
"ละ...แล้วหนูน้อยนี่ใครคะ"
อยู่ ๆ เด็กน้อยก็ร้องไห้โฮไม่มีปี่มีขลุ่ย จากนั้นโผเข้ามาสวมกอดจางหลินจูแน่น "ฮื่อ...พี่หญิง ชวนเอ๋อร์จะไม่ดื้ออีกแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ไปเล่นใกล้แม่น้ำ จะไม่ให้ท่านต้องลงไปเก็บของเล่นให้ข้าอีกแล้ว ข้าขอโทษ"
"หา...หนูจ๊ะ หมายความว่ายังไง"
เด็กน้อยสะอึกสะอื้น ผู้เป็นมารดาเห็นจางหลินจูยังตกอยู่ในความงงงันจึงเรียกบุตรชายตัวเล็กมาหาตน "ชวนเอ๋อร์ มานี่มา พี่สาวยังป่วยอยู่ อย่าไปกวนพี่เขา"
"ขอรับ"
เด็กตัวจ้อยคลายอ้อมแขนออก จากนั้นเดินเตาะแตะไปหย่อนกายนั่งลงบนตักของมารดา จางหลินจูไม่รู้ว่าตัวเองนั้นมีน้องชายเมื่อไหร่ และอะไรคือเก็บของเล่นในแม่น้ำ
"จูเอ๋อร์ ดูเหมือนเจ้ายังอาการไม่ค่อยดี ไว้แม่จะหาเงินเพื่อไปจ้างหมอมาตรวจอีกที เจ้าพักผ่อนเถิดนะ"
"เดี๋ยวสิคะ คุณแม่หมายความว่าไงคะ"
"จูเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้ายากจะยอมรับว่าบ้านเราล้มละลาย ไม่ใช่เศรษฐีเช่นเมื่อก่อนแล้ว หนนี้ก็ตกน้ำหมดสติไปตั้งหลายวัน นี่ก็เข้ายามจื่อ[1]แล้วด้วย เจ้านอนต่อก่อนเถอะนะลูก"
จางหลินจูหูดับไปเสียแล้ว เธอไม่สามารถปะติดปะต่ออะไรได้เลย ราวกับว่ากำลังฝันอยู่ กระทั่งตัดสินใจหยิกแขนตนไปหนึ่งหน
"โอ๊ย!"
ไม่ได้ฝันเหรอเนี่ย นี่มัน!...นี่มันที่ไหน เกิดเรื่องประหลาดอะไรกับคุณแม่กัน!?
เชิงอรรถ
1. ^ ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 – 24.59 น.
