บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 คำชื่นชม

อาหารถูกจัดเป็นสำรับแยกของแต่ละคน อาหารของวันนี้มีแต่อาหารที่ฮูหยินผู้เฒ่าชอบ โดยเฉพาะปลาผัดเปรี้ยวหวานที่วันนี้สีของอาหารดูมีสีสันและหน้าตาต่างจากที่เคย

“ปลาผัดเปรี้ยวหวานนี้ดูต่างจากที่เคย เปลี่ยนคนทำหรือ” หม่าหรูหรง เหล่าฮูหยินถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัย

“ว่าไงอาช่วน อาหารจานนี้ใครเป็นผู้ทำ” อันเหม่ยจิงผู้เป็นลูกสะใภ้หันไปถามบ่าวคนสนิทของตน พร้อมกับยิ้มส่งสัญญาณให้แก่กัน

“เรียนฮูหยิน ปลาผัดเปรี้ยวหวานนี้เป็นฝีมือของแม่นางหลินเจ้าค่ะ” ไป๋ช่วนรายงานด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ

เสวี่ยเหวินเจิ้งอมยิ้มอย่างพอใจเมื่อรู้ว่าอาหารตรงหน้าเป็นฝีมือของหญิงที่ตนรักใคร่ โจวเยี่ยนหงสังเกตสีหน้าของชายคู่หมั้นก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้

หญิงชราที่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุดของบ้านกินปลาเปรี้ยวหวานแล้วก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ

“รสชาติดี หวานนำ เปรี้ยวตาม รสชาติกลมกล่อมไปอีกแบบ กินแล้วรู้สึกสดชื่นดี” คำกล่าวชมนั้นทำให้เสวี่ยเหวินเจิ้งอมยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

“ปลาเปรี้ยวหวานจานนี้ถือว่าทำได้ดีจริง ๆ” เสวี่ยซิ่วหยุน เสนาบดีกรมยุติธรรม บิดาของเสวี่ยเหวินเจิ้งเองก็ชื่นชอบในรสชาตินี้ และกล่าวชมออกมาตามตรง จนภรรยาอย่างอันเหม่ยจิงสบตากับไป๋ช่วนด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะพวกตนคิดจะหาเรื่องตำหนิหลินฉงหยูให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจนาง

เสวี่ยเหวินเจิ้งลองชิมอาหารฝีมือนางในดวงใจแล้วก็พบว่ารสชาตินั้นอร่อยไม่เกินจริง

โจวเยี่ยนหงมีสีหน้าที่ดูเศร้า ภายในใจเจ็บปวดกับสถานการณ์ตรงหน้า จริงอยู่ว่าอันเหม่ยจิงจะเข้าข้างนาง แต่ว่าหากไม่ได้หัวใจของเสวี่ยเหวินเจิ้ง แต่งเป็นฮูหยินเขาแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า

ยิ่งคู่หมั้นมีหญิงในดวงใจก็ยิ่งทำให้ตนรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า เป็นคุณหนูสูงศักดิ์แต่กลับแพ้หญิงชาวบ้านที่ต่ำต้อย แต่เพื่อการเกี่ยวดองของสองตระกูลใหญ่ นางจำใจต้องแต่งเข้าสกุลเสวี่ย แม้จะไม่ยินยอมให้เขามีอนุแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะอีกฝ่ายรักมั่นแต่หลินฉงหยู

ก่อนแต่งงานสามเดือนนี้จึงจะเปิดโปงความเจ้าเล่ห์ของแม่ดอกบัวขาวนางนี้เพื่อให้เขารู้และขับไล่นางออกไปจากจวนสกุลเสวี่ย นางจะต้องเป็นเอกภรรยาและไม่ยอมให้เขามีผู้อื่นแม้เขาจะมีสิทธิ์ก็ตาม

“ในเมื่อนางมีฝีมือเช่นนี้ พรุ่งนี้ให้นางช่วยทำอาหารในโรงครัวก็แล้วกัน เจิ้งเอ๋อร์เจ้าไปขอให้นางช่วยงานในครัวด้วยนะ” หม่าหรูหรงหันไปบอกกับหลานชาย

“ขอรับท่านย่า” เขารับปากอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะลดยิ้มลงเมื่อถูกมารดามองด้วยสายตาที่ไม่พอใจนัก

“จริงสิเยี่ยนหง วันนี้เจ้าอาสาจะช่วยจัดสถานที่ ขาดเหลืออะไรก็ให้บอกเจิ้งเอ๋อร์ ได้ยินมาว่างานเลี้ยงที่สกุลโจวก็ได้เจ้าช่วยโจวฮูหยินจัดการได้ดีจนได้รับคำชมจากแขกเหรื่อ ป้าขอฝากงานนี้ด้วยนะ” อันเหม่ยจิงหันไปพูดกับว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงที่ยินดี

“เจ้าค่ะ เยี่ยนหงจะทำให้ออกมาดีที่สุด” นางรับปากด้วยความยินดี พอหันไปมองทางเสวี่ยเหวินเจิ้งก็ได้รับรอยยิ้มจากเขาเล็กน้อย

“หากมีอะไรก็บอกข้าได้” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มทุ้ม เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้แสดงความเมินเฉยต่อคู่หมั้นอย่างนาง อันเหม่ยจิงยิ้มอย่างพอใจที่บุตรชายดูเหมือนว่าจะเริ่มเปิดใจให้โจวเยี่ยนหงแล้ว

อีกด้านที่โรงครัวเล็ก เมื่ออาหารส่วนของบ่าวก้นครัวเสร็จแล้ว ทุกคนก็เตรียมตัวจะนั่งลงรับประทานอาหาร ในตอนนั้นเองผินเยว่ที่เดินตามหาหลินฉงหยูก็เดินเข้ามา พอเห็นนางก็ถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก

“แม่นางหลิน ข้ากำลังจะยกอาหารไปให้ ท่านจะกลับห้องตอนนี้เลยหรือไม่” ผินเยว่เดินเข้ามาถามแล้วก้มหน้าหลบสายตา

“ไปเอาอาหารของข้ามาที่โรงครัว ข้าจะนั่งกินกับพวกนางที่นี่ พอดีว่ามีเรื่องต้องขอคำแนะนำกับซ่งมามาอยู่น่ะ” นางตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร

ผิวเยว่ทำตามที่บอกโดยไม่เอ่ยปากคัดค้าน เพราะไม่อยากจะมีปัญหาในภายหลัง ยกอาหารส่วนของเจ้านายมาที่โรงครัวของบ่าว แล้ววางที่โต๊ะอาหารของคนครัวตามที่นางสั่ง

คนที่นั่งร่วมรับประทานอาหารร่วมโต๊ะก็มีซ่งมามาและสาวใช้คนอื่น ๆ อีกสามคน ทั้งหมดไม่กล้าแตะอาหารในส่วนของหลินฉงหยูเพราะเกรงว่าจะมีปัญหาในภายหลัง

“ผินเยว่ เจ้าก็มานั่งกินด้วยกันสิ พวกเจ้าเองก็กินด้วยกันเถอะ ข้าไม่ใช่เจ้านายของสกุลเสวี่ยเสียหน่อย ไม่ต้องเกรงใจ” นางกล่าวแล้วเลื่อนอาหารดี ๆ เหล่านั้นให้ทุกคนเอื้อมตะเกียบถึง จากนั้นก็ลงมือกินอาหารด้วยใบหน้าที่สดใส

“ผัดผักอร่อยมาก น้ำแกงโครงกระดูกไก่นี่ก็กลมกล่อม ข้าไม่เคยกินน้ำแกงที่คล่องคอเช่นนี้มาก่อน” นางกล่าวชมอาหารที่ทำ แล้วพุ้ยข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อยและไม่ถือตัว

“พวกเจ้ามัวแต่มองข้าจะอิ่มท้องหรือ รีบกินสิ” หลินฉงหยูกล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

เมื่อเห็นว่าหลินฉงหยูกินคะยั้นคะยอให้พวกตนร่วมรับประทานอาหารและไม่ได้มีท่าทีเป็นภัย พวกนางจึงเริ่มลงมือกินอาหารบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้วางใจนัก เพราะนางเคยมีเรื่องกับสาวใช้อย่างผินเยว่มาก่อนตั้งแต่วันแรกที่มาถึง

“แน่ใจนะว่าที่นางกลั่นแกล้งเจ้าน่ะเรื่องจริง” ซ่งมามากระซิบถามผินเยว่

“ข้าถูกนางกลั่นแกล้งจริง ๆ ตอนนี้นางอาจกำลังเสแสร้งอยู่ก็ได้ รอดูไปก่อน” ผินเยว่กระซิบกลับให้ได้ยินกันแค่สองคน

เมื่อข้าวหมดถ้วยหลินฉงหยูก็วางตะเกียบแล้วเรอออกมาพร้อมกับเอามือปิดปากตนเองด้วยความเขินอาย ดวงตาเรียวกลอกไปมาอย่างขัดเขิน ท่าทีน่าเอ็นดูมากกว่าจะเป็นหญิงเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ

ทุกคนก็เริ่มอิ่มแล้ววางตะเกียบลง แล้วก็เก็บถ้วยชามที่กินเสร็จแล้วไปล้างทำความสะอาด เหลือเพียงซ่งมามาและผินเยว่ที่ยังนั่งอยู่ เพราะก่อนหน้านี้นางบอกมีเรื่องจะขอคำแนะนำ

“พรุ่งนี้ข้าต้องทำอะไรบ้าง จะได้เตรียมตัวเอาไว้” นางถามซ่งมามาผู้ที่เป็นหัวหน้าแม่ครัวใหญ่ที่มีอำนาจมากที่สุดในโรงครัว

“งานที่ทำต้องรอดูหน้างาน ยังไม่สามารถบอกได้หรอก” นางตอบแล้วสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้ตอนที่นางทำอาหารตนก็ลอบสังเกตอยู่ตลอด พบว่ามีทักษะที่ดี

ไป๋ช่วนมาหาก่อนหน้านี้ บอกว่าให้ตนหางานยาก ๆ ให้นางทำ หากนางทำพลาดจะได้หาเรื่องนางได้ แต่เท่าที่ดูแล้วหลินฉงหยูกลับทำออกมาได้เป็นอย่างดี ที่เหลือต้องรอลุ้นแล้วว่ารสชาติอาหารที่นางทำจะถูกปากเจ้านายหรือไม่

“งั้นข้ากลับห้องก่อน หากจะให้ทำอะไรก็ให้คนไปเรียกก็แล้วกัน ไปเถอะผินเยว่ข้ามีงานให้เจ้าช่วย” หลินฉงหยูกล่าวแล้วลุกขึ้น ตั้งใจเรียกผินเยว่ไปด้วยเพื่อให้นางนำทางกลับห้อง และเรียนรู้เส้นทางในเรือนนี้ไปด้วย

************************
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel