#เป็นเมียผี บทที่ ๑ วิญญาณเฮี้ยนของขุนแสนคำ (๒)
เมื่อหญิงสาวล้มลงอาเจียน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใหญ่ดังขึ้นอย่างหนักแน่น พร้อมกับเสียงเลือดที่หยดลงมาตามทางของร่างนั้นกำลังตรงมาทางหล่อนอย่างเชื่องช้าเป็นจังหวะขนหัวลุก เสียงเหยียบอวัยวะแหลกเหลวของพวกทหารดังจนนึกภาพตามได้
เอาเข้าแล้วไง หรือเราไม่ควรเอาตัวเองไปท้าผีเฮี้ยนสมัยโบราณแบบนี้วะ
นางสาวบีคิดได้แบบนั้นก็สายไปแล้ว ข้อมือเล็กถูกกระชากขึ้นจนลอยเคว้งกลางอากาศแต่ไม่รู้สึกเจ็บ ภาพตรงหน้านั้นชวนให้ตกตะลึง
ชายตัวใหญ่สูงราวๆ 190 เซนติเมตร ตัวใหญ่กำยำมาก สวมใส่โจงกระเบนเปรอะเลือด ดวงตาสีดำทมิฬไม่มีนัยน์ตาขาวกำลังจ้องมองร่างของเธอที่ห้อยต่องแต่งกลางอากาศอย่างเคียดแค้น ตามร่างกายมีบาดแผลเหวอะหลายจุด รวมถึงดาบขนาดใหญ่ที่ปักคอเกือบขาดวิ่น
‘หลับลงแล้วหรือ... อีหญิงชั่ว’ เสียงที่เปล่งออกมานั้นไม่ได้ลอดผ่านปาก แต่ลอดผ่านอวัยวะกล่องเสียงที่ลอดมาทางช่วงลำคอที่หวิดเกือบขาด เสียงนั้นอู้อี้ดูหลอนน่ากลัวมากๆ ‘มึงอย่าเผลอดวงตกเชียว... กูจักตามเอาชีวิตมึงกับเด็กในท้องมึงมาเป็นบริวารกู... อีแพศยา!!’
อย่างหลอน นี่ต้องตายด้วยความแค้นขนาดไหน ถึงได้อยากเอาชีวิตทั้งเมียที่รักและลูกที่ไม่ใช่ลูกตัวเองไปอยู่ด้วยขนาดนี้
แต่ด่ากันขนาดนี้ เอาดาบที่ปักคอมาแทงหนูเลยยังเจ็บน้อยกว่า
“ระ... เราคุยกันดีๆ ได้ไหมพี่ผี” เสียงที่เปล่งออกมานั้นเป็นเสียงของร่างที่ชื่อว่าบัวงาม แต่การใช้คำพูดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ขุนแสนคำไม่ใช่คนโง่ตั้งแต่มีชีวิตอยู่แล้ว อีกอย่างเขารู้จักนังหญิงนั่นดีกว่าใคร เขากลอกตามองหญิงสาวตรงหน้า เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ดวงจิตของบัวงาม จึงรีบปล่อยร่างนั้นหล่นลงพื้นทันที
ตุบ!
“โอ้ยแม่!!” จะปล่อยลงก็บอกกันก่อนสิไอ้ผีนี่
‘มึงเป็นใคร’
เมื่อปล่อยร่างนั้นลงพื้น ผีขุนแสนคำถามขึ้นมา เขานึกสงสัยนักว่าทำไมดวงจิตของผู้หญิงคนนี้ถึงมาอยู่ในร่างของเมียใจชั่วของเขา
“จะให้บอกชื่อร่างที่มาสิงหรือบอกชื่อจริง?” หมั่นไส้ความเป็นผียังเต๊ะท่าบาตรใหญ่เลยยียวนไปที อย่าคิดว่าอีบีคนนี้จะไม่กล้ากวนประสาทผีนะ
‘คิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงหรือไร อีผีเร่ร่อน บอกชื่อมาเสีย... ก่อนที่กูจักจับมึงมาเป็นบริวารอีกตัว’
จบประโยคนั้นก็มีเสียงหัวเราะคิกคักลอยเคว้งอยู่รอบตัว ดูเหมือนว่าหมอนี่จะเป็นผีที่มีพลังวิญญาณมาก ถึงขนาดจับผีเร่ร่อนมาเป็นพวกได้เลยหรือนี่
“บี หนูชื่อบี! แล้วก็ไม่ใช่ผีเร่ร่อนด้วย” เป็นวิญญาณเฉยๆ
เอ้ะ หรือมันก็เหมือนๆ กันวะ?
‘เช่นใดผีเร่ร่อนจึงมาสิงสู่ร่างกายอีบัวงาม มันตายไปแล้วหรือ!’ สิ้นคำถามส่อแววพยาบาทนั้น นางสาวบีเองก็หยุดคิดอยู่ครู่ใหญ่
“ไม่มั่นใจ หรือตายแล้วแหละ” ก็ถ้าตามที่เรียนมาเมื่อกายหยาบมีวิญญาณอื่นมาสิงสู่ได้ แสดงว่าจิตในร่างก็ต้องหลุดออกจากกายหยาบแล้วใช่ไหมนะ
‘ยังมิทันได้ชดใช้บาปกรรม ก็ตายห่าเสียแล้วหรือ’ ร่างกำยำที่มีรังสีความเฮี้ยนอยู่มากยืนครุ่นคิด ขุนแสนคำเชื่อว่าวิญญาณนังหญิงชั่วนั่นยังไปไหนได้ไม่ไกล เมื่อยังมีชีวิตเขาเอ็นดูนางรักใคร่นางมาก พร่ำบ่นอยากมีลูกทุกวันคืน แม้สุดท้ายจะได้ไปรบโดนพรากจากเมียอันเป็นที่รัก เขายังคงเขียนจดหมายส่งมาให้หล่อนผ่านทหารให้ควบม้ากลับไปที่พระนครเสมอ
เมื่อโดนฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมในสงคราม วิญญาณที่หลุดออกจากร่างล่องลอยกลับมาในที่ที่ยังมีห่วง นั่นคือเรือนหอของสองเรา หารู้ไม่ว่าเขากลับเห็นเมียที่เขารักยิ่งกว่าดวงใจกำลังเสพสังวาสกับชายอื่น บางวันก็พาชายมากชู้หลายตามากินบนเรือน
ยิ่งรู้ยิ่งแค้น กว่าข่าวที่ว่าเขาตายในสนามรบและประสบผลพ่ายแพ้ศัตรูกลับมา เมียรักของเขาก็กลายเป็นหญิงทรามมากผัว ตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าลูกเป็นของใครต่อใคร
เมื่อข่าวมาถึงหูนาง หญิงสาวเองก็รู้ว่าตนเองตั้งท้อง เมื่อรับรู้ว่าหาพ่อเด็กไม่ได้จึงร้องห่มร้องไห้อย่างน่าเวทนา วิญญาณขุนแสนคำสันนิษฐานว่าถ้าเกิดเขารอดและกลับมาจากไปรบ อีหญิงชั่วนี่คงจะเอาลูกที่ไม่ใช่ลูกของเขามาสวมรอยให้เขารับเป็นพ่อเด็กเป็นแน่ นี่ถ้าไม่ตายห่ากลางสงคราม คงไม่มีวันได้รู้จิตรู้ใจเมียชั่วของตนเอง
ขุนแสนคำเริ่มกระหายอำนาจเพื่ออยากลากวิญญาณของสองแม่ลูกมาลงนรก เพราะความอาฆาตแค้นจึงเผลอพาลไปสู่บุตรในครรภ์นั้นด้วย เขารวบรวมภูตผีเร่ร่อนที่ฤทธิ์เดชด้อยกว่ามาเป็นบริวารเหมือนสมัยที่ยังมีชีวิตได้ร่ำเรียนคาถาอาคมนะลงของมาบ้าง พร้อมกับตามหลอกหลอนนังบัวงามจนหล่อนจับไข้หัวโกร๋น
น่าจะตายเพราะพิษไข้ที่เขาตามหลอกหลอนกระมัง อ่อนแอขี้แพ้เหลือเกิน ผีขุนแสนคำยังไม่สาแก่ใจนัก ที่เขาคิดไว้คือต้องการบันดาลโทสะจับเธอและบุตรมาเป็นบริวารและทำให้รู้สึกเหมือนดั่งอยู่ในนรกต่างหาก
แต่สิ่งที่ได้กลับมา ร่างของหญิงใจชั่วนั้นมีวิญญาณเร่ร่อนของหญิงเทื้อนางหนึ่งเข้ามาในร่าง
เช่นนี้แล้วแผนการแก้แค้นของผีจะสำเร็จได้อย่างไร
‘มึงทำให้แผนแก้แค้นของกูพัง... จักสั่งเสียกระไรก็ว่ามา’
