บทที่ 9
เจิ้งฝูหลิงพาทุกคนไปซื้อเกวียนไม้คันใหญ่ที่ใช้วัวสองตัวในการลากเกวียน เขาต่อราคาแล้วต่อราคาอีก จึงซื้อเกวียนได้ในราคา 5 ตำลึงทอง
"วันนี้พวกเจ้าใช้จ่ายเงินไป65ตำลึงทองแล้ว คนงานในท่าเรือที่ได้เงินตอบแทนต่อวันดีที่สุดคือ วันล่ะ 50 อีแปะ เดือนหนึ่งพวกเขาทำเงินได้เพียง1 ตำลึงทอง 5 ตำลึงเงินเท่านั้น หากจะเก็บเงิน 65 ตำลึงเงิน พวกคนงานในท่าเรือต้องก้มหน้าทำงานนานถึง 3 ปีเลยเชียวนะ ดังนั้นพวกเจ้าควรจะใช้เงินที่เหลืออย่างประหยัด พี่รองยังมีแค่วัวหนึ่งตัวและใช้เกวียนคันเล็กกว่านี้เลย" เจิ้งฝูหลิงนั่งเกวียนคู่กับน้องเขย และเปิดปากบ่นน้องเขยด้วยท่าทางของคนที่ปวดใจ
โจวจวินรู้ดีว่าพี่รองเจิ้งพูดบ่นเพราะความเป็นห่วง เขาจึงไม่โต้เถียง ตัวเขาเคยเป็นถึงขุนศึกคนสำคัญของแคว้นย่อมมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แม้ตอนที่แยกจากกับทหารคนสนิท เขาจะมอบทรัพย์สินที่มีให้คนสนิททั้งหลายไปมากมายเกือบครึ่ง ทั้งจงเหลียนและเจ้าใบ้ก็ได้เงินไปหลายพันตำลึงทอง แต่เขายังมีเงินติดตัวมาเกือบหนึ่งหมื่นตำลึงทองเปลี่ยนเป็นตั๋วแลกเงินที่ใช้ในแผ่นดินนี้ได้ใบล่ะหนึ่งพันตำลึงทองมาห้าใบ ที่เหลือเป็นเงินตำลึงทองอีกห้าพัน ซึ่งเก็บซ่อนอยู่ในหีบที่เขาใช้แร่เหล็กหุ้มคลุมทับไว้ และบอกผู้อื่นว่าเป็นหีบแร่เหล็กจึงมีน้ำหนักค่อนข้างหนักมาก
ดังนั้นการใช้เงินในวันนี้โจวจวินจึงไม่รู้สึกอะไร แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรเปิดเผยตัวว่าร่ำรวย หยกไม่ผิดแต่ผิดที่คนครอบครองหยก ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าฟังคำพูดของเจิ้งฝูหลิงและรับปากว่า
"ต่อไปข้าจะประหยัด พี่รองไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ"
เจียงฝานรู้ดีว่าบุตรเขยมีทรัพย์สินติดตัวมามากมาย แต่นี่คือสมบัติของตระกูลโจว นางเจียงไม่ได้คิดจะอยากได้ แต่นางก็ไม่อยากให้บุตรสาวคนนี้ของนางต้องใช้ชีวิตยากลำบากจนเกินไป ดังนั้นจึงไม่ห้ามเมื่อบุตรเขยซื้อวัวตัวใหญ่สองตัว
เมื่อเห็นบุตรชายยังจะพูดบ่นต่อนางเจียงจึงพูดขัดขึ้นว่า "ของที่ใช้ทำมาหากิน อย่างไรก็ต้องลงทุน น้องเขยของเจ้าคิดจะเปิดโรงตีเหล็ก เขาต้องใช้เกวียนขนแร่ที่มีน้ำหนักมาก วัวตัวเดียวจะขนแร่เหล็กไหวได้อย่างไร อีกอย่างหากมีวัวสองตัวใช้ขนเนื้อสัตว์หรือข้าวของปริมาณมากในครั้งเดียวได้ เมื่อนำของมาฝากให้เจ้าช่วยขาย จะได้สะดวกเมื่อขนของได้เยอะมาก ไม่ต้องเดินทางไปมาขนของหลายรอบ"
เจิ้งฝูหลิงจึงหยุดบ่น แต่ยังคงไม่วางใจ เขาจึงพูดว่า "ข้าตัดสินใจจะติดตามท่านแม่และน้องเขยไปหมูบ้านเถียนซีด้วย น้องเขยจะซื้อที่สร้างบ้าน พี่ใหญ่ใจดีกับผู้อื่นจนเกินไป อาจจะโดนผู้อื่นเอาเปรียบได้ง่าย ข้าจะช่วยน้องเขยต่อรองราคาเอง"
โจวจวินหันมามองเจิ้งฝูหลิงด้วยแววตาอบอุ่น และพูดกับเจิ้งฝูหลิงว่า "ข้าขอบคุณพี่รองมากเลยขอรับ หากไม่มีพี่รองพวกข้าคงลำบากมากกว่านี้"
"พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน จะพูดเหมือนข้าเป็นคนอื่นไปทำไม วางใจเถิดเมื่อเจ้านำของมาฝากขาย พี่รองจะกินกำไรจากพวกเจ้าอยู่ดี หากเจ้าจะเปิดโรงตีเหล็กต้องซื้ออะไรบ้าง เตาหลอม ค้อนเหล็ก พี่รองไม่มีความรู้เรื่องนี้ แต่รู้ว่าพวกหม้อกระทะที่ทำจากเหล็กขายดีมาก หากเจ้าตีเสร็จนำพวกมันมาฝากพี่รองขายที่ร้านได้เลย"
"ต้องไปหาซื้อที่ตั้งบ้านก่อนขอรับ ค่อยหาซื้อของตั้งโรงตีเหล็ก" โจวจวินพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม
"หากมีวิธีเผาถ่านจะดีมาก ตอนนี้ขายถ่านก็ได้ราคาดี แต่ข้าไปเสาะหาวิธีเผาถ่านจากคนอื่น คนพวกนั้นก็ขายวิชาเผาถ่านแพงเหลือเกิน"เจิ้งฝูหลิงบ่น
โจวจื่อหยาที่นอนฟังผู้ใหญ่คุยกัน จึงส่งความคิดบอกมารดาของตนว่า 'ท่านแม่ ข้ารู้วิธีเผาถ่าน'
เจิ้งฮุ่ยผิงดีใจจึงรีบบอกกับทุกคนว่า "ข้ารู้วิธีเผาถ่านเจ้าค่ะ"
โจวจวินรู้ว่านี่ต้องเป็นความรู้จากบุตรสาวผู้เป็นเทพธิดาตัวน้อยของเขาอย่างแน่นอน
แต่นางเจียงกลับนึกสงสัย "เอ๋ อาผิง เจ้าไปรู้วิธีเผาถ่านมาจากไหน แม่ไม่เห็นจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน"
เจิ้งฮุ่ยผิงกะพริบตา ก่อนจะยิ้มและพูดเอาตัวรอดว่า "ท่านแม่ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ ว่าข้าเรียนหนังสือมากับคุณหนู คุณหนูมีหนังสือเกี่ยวกับการเผาถ่าน ข้าเคยแอบอ่านมาเจ้าค่ะ รู้วิธีทำแต่ยังมิเคยลองปฏิบัติ"
เจิ้งฝูหลิงจึงหันมามองน้องสาวด้วยสีหน้าดีใจและพูดว่า "ดีเลย เจ้านำวิธีเผาถ่านสอนท่านพ่อกับพี่ชายใหญ่ได้หรือไม่ ไม่สิ ครอบครัวของพวกเจ้าเผาถ่านขายเองก่อนจะได้มีเงินเพิ่ม ประเดี๋ยวพี่รองจะรับถ่านจากพวกเจ้ามาขายเอง วิธีเผาถ่านห้ามบอกผู้อื่น เรื่องนี้เป็นความลับ"
เจิ้งฮุ่ยผิงจึงพูดว่า "เรื่องนี้ข้าคิดจะให้ท่านพ่อและพี่ใหญ่ทำเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ทำไร่ปลูกมันได้ข่าวว่าได้ผลผลิตน้อย ท่านพ่อก็ไปล่าสัตว์ไม่ค่อยไหวแล้ว พี่รองพูดว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นวิธีการเผาถ่านข้าไม่หวงหรอกเจ้าค่ะ"
เจียงฝานอมยิ้มและมองบุตรสาวอย่างตื้นตันใจ เจิ้งฝูหลิงจึงพูดอย่างอ่อนใจว่า "ชุ่ยเหนียนพูดเอาไว้ว่า พวกเจ้าใจดีเกินไป จะโดนผู้อื่นเอาเปรียบ คราวแรกข้าคิดว่านางคิดมากเกินไป ยามนี้ข้าเริ่มเห็นด้วยกับชุ่ยเหนียนแล้ว ท่านแม่ ครอบครัวพี่สะใภ้ใหญ่ชอบเอาเปรียบ ครอบครัวพี่หญิงใหญ่ก็เช่นกัน เมื่อครึ่งปีที่แล้วหากข้าไม่ได้กลับไปเยี่ยมท่านพ่อที่หมู่บ้านทันเวลา อาเจี้ยนก็คงป่วยหนักจนตายไปแล้ว เพราะไม่มีเงินไปหาหมอ พี่ชายใหญ่ให้เงินครอบครัวพี่สะใภ้ใหญ่ยืมไป5ตำลึงทอง เหลือเงินติดตัวอยู่ 3 ตำลึงทอง พี่หญิงใหญ่ก็มาขอไป อ้างว่าพี่เขยป่วยหนักจำเป็นต้องใช้เงิน กลายเป็นว่าทั้งครอบครัวเจิ้งไม่มีเงินเหลือสักอีแปะ เพราะท่านพ่อเอาเงินที่มีทั้งหมดมาฝากไว้ที่ข้า พวกเขาใจร้ายไม่มีใครยอมมอบเงินให้พี่ใหญ่เช่าเกวียนพาอาเจี้ยนไปหาหมอ คนเหล่านี้ใจดำและเห็นแก่ตัวเกินจะเยียวยา ครึ่งปีมานี้ยังไม่มีใครคืนเงินมาให้พี่ใหญ่เลย คราวนี้เห็นน้องสาวเพิ่งกลับไป คนพวกนี้คงจะมารุมทึ้งหวังพึ่งเงินจากน้องสาวและน้องเขยอย่างแน่นอนขอรับ"
เจียงฝานมีสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อฟังบุตรชายคนรองเล่าเรื่องในหมู่บ้านเถียนซี อาเจี้ยนที่บุตรชายคนรองพูดถึงคือ เจิ้งหรงเจี้ยนหลานชายคนโตของนางที่ยามนี้อายุ8 ขวบแล้ว
"พี่รองวางใจเถิดเจ้าค่ะ อาผิงมิใช่คนโง่ คนที่สมควรช่วยข้าก็จะช่วย คนไม่สมควรช่วยคนเหล่านั้นจะไม่ได้เงินจากข้าแม้แต่อีแปะเดียวเจ้าค่ะ"เจิ้งฮุ่ยผิงพูดเพื่อให้พี่ชายคนรองสบายใจ
วันนี้ทุกคนอยู่ค้างคืนที่บ้านของเจิ้งฝูหลิงอีกหนึ่งวัน ชุ่ยเหนียนเดินวนดูเกวียนคันใหญ่อย่างตื่นเต้น และพูดว่าคันใหญ่เช่นนี้คงจะขนของมาขายได้มาก
"พี่สะใภ้บรอง ข้าคิดจะกลับไปปลูกผักรวมถึงลองปลูกพริกด้วยเจ้าค่ะ หากได้ผักเยอะข้าคิดจะทำผักดองมาฝากขายกับพี่สะใภ้รองได้ไหมเจ้าคะ"
"ได้สิ แต่เจ้าต้องดองผักให้มีรสชาติอร่อยด้วยนะ เจ้าไม่ต้องห่วงนำของมาขายที่ข้า รับรองได้ราคายุติธรรมแน่นอน"
"ข้าขอบคุณพี่สะใภ้รองล่วงหน้าเจ้าค่ะ"
"คนกันเอง ขอบคุณไปทำไม วันนี้พี่รองของเจ้าไปหาซื้อแพะมาตุ๋น เขาตุ๋นแพะอร่อยมาก พรุ่งนี้เจ้ารอกินแพะตุ๋นได้เลย"
"วันนี้อามู่พาสองคนพ่อลูกบ้านโจวของข้าไปหาปลา หากได้ปลาเยอะข้าจะแกงปลาต้มส้มให้พี่สะใภ้รองลองชิมนะเจ้าค่ะ พี่รองของข้าชอบกินแกงปลาต้มส้มมาก"
"ชื่อแปลกดี ได้ วันนี้พี่สะใภ้รองจะรอชิม มา..หยาหยาให้ป้าสะใภ้รองอุ้มเจ้าสักหน่อย วันนี้ป้าสะใภ้อาบน้ำเนื้อตัวสะอาดแล้ว"
เจิ้งฮุ่ยผิงจึงยื่นโจวจื่อหยาให้ชุ่ยเหนียนอุ้ม ก่อนที่ตัวนางจะเดินไปช่วยนางเจียงทำอาหารในครัว
โจวจวินเดินกลับบ้านโดยหิ้วปลากลับมาด้วยมากมาย เจิ้งหรงมู่กลับมาด้วยเนื้อตัวมอมแมม เขาโดนน้องชายอย่างโจวจื่อหวายกลั่นแกล้งให้ตกลงไปในบ่อโคลน หลังจากทะเลาะกันอยู่หลายรอบ เด็กชายทั้งคู่กลับกอดกันนอนในคืนนี้โดยไม่ยอมแยกจากกัน
แกงปลาต้มส้มและปลาเคล้าเกลือทอด ปลาราดพริกถูกยกวางขึ้นโต๊ะ เจิ้งฝูหลิงและชุ่ยเหนียนต่างก้มหน้ากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
เช้าวันต่อมาอาหารรสชาติอร่อยตั้งขึ้นโต๊ะอีกหนึ่งมื้อ ชุนเหนียนพลันเข้าใจความรู้สึกของบุตรชายที่ร้องไห้ไม่ยอมให้โจวจื่อหวายขึ้นเกวียนจากไป เพราะนางเองก็อยากรั้งครอบครัวโจวให้อยู่ที่บ้านของตนต่อไปเช่นกัน แต่ทุกคนย่อมอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง ชุ่ยเหนียนและเจิ้งหรงมู่ยืนมองส่งคนและเกวียนคันใหญ่จากไปจนลับสายตา ชุ่ยเหนียนจึงตัดสินใจว่าต่อไปตนจะต้องกลับไปเยี่ยมคนที่หมู่บ้านเถียนซีให้บ่อยขึ้น นางไม่มีสหายจึงมองน้องสาวสามีเป็นสหายที่พูดคุยกันรู้เรื่อง และยังมีหลานสาวที่น่ารักอย่างโจวจื่อหยาอีก นางคิดอยากมีบุตรสาวเพิ่มอีกสักคน
