บทที่ 4
เป็นเวลาถึงสี่วันที่พึมพำฉินหย่งเล่อนอนป่วยไม่ได้สติ แต่แม้ฮูหยินของจวนจะป่วยหนักขนาดนี้แต่ก็ไร้เงาของเฉินเทียนอี้ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามี บ่าวในจวนที่เห็นว่านายท่านของคนไม่ได้มีท่าทีสนใจฮูหยิน พวกเขาจึงทำตัวเกียจคร้านแวะมาดูแลเฉินหย่งเล่อเพียงช่วงเช้าและช่วงเย็นเท่านั้น
"อืมมมม"
เฉินหย่งเล่อครางออกมาในลำคอก่อนจะลืมตานางยันกายให้ลุกขึ้นนั่งพลางมองไปรอบรอบ พบเพียงห้องที่ว่างเปล่าไม่มีแม้แต่กลิ่นกำยานรักษาหรือบ่าวรับใช้ที่คอยดูแล
ริมฝีบากบางเม้มเข้าหากันแน่นพลางนึกถึงช่วงเวลาก่อนที่นางจะหมดสติไป สายตาที่มองนางราวกับต้องการสังหารของเฉินเทียนอี้ทำเอารางบางรู้สึกเสียวสันหลัง หากไม่ใช่เพราะคนสนิทของเขาห้ามไว้คืนนั้นนางอาจได้ตายด้วยน้ำมือของตัวร้ายจริงจริง
"แล้วอย่าได้สำคัญตัวผิดคิดว่าเจ้าได้เป็นฮูหยินจวนเฉิน เพราะเจ้าในตอนนี้เป็นเพียงเบี้ยบนกระดานที่ยังมีประโยชน์ต่อข้าอยู่เท่านั้น"
เบี้ยบนกระดาน? เขาพูดราวกับต้องการใช้ประโยชน์จากข้า?
คำพูดของเฉินเทียนอี้ที่พูดกับนางในวันแรกที่เจอได้ดังก้องอยู่ในหัวของนาง เฉินหย่งเล่อขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยคงเป็นเพราะช่วงเวลาที่นางอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงฉากเริ่มในนิยายที่นางบรรยายเพียงไม่กี่หน้าเท่านั้นเลยทำให้นางไม่รู้ว่าเฉินเทียนอี้ในก่อนที่จะก่อกบฏนั้นมีแผนการอะไรอยู่ในใจ
"ที่ยอมเก็บข้าไว้เพราะต้องการใช้ประโยชน์สินะ เช่นนั้นหากข้าต้องการหย่าเขาคงไม่ยินยอมง่ายง่าย"
เฉินหย่งเล่อพึมพำกับตัวเองเบาเบา นางปรายตามองไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ไม่ไกลราวกับความคิดบางอย่างปรากฏขึ้นมาในหัวร่างบางเดินลงจากเตียงก่อนจะพยุงร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงของตัวเองเดินตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง
"หากไม่ยินยอมคงมีเพียงแต่ต้องหนีออกไปเงียบเงียบ"
เฉินหย่งเล่อพูดความคิดของตัวเองออกมา ก่อนจะเปิดกล่องไม้ที่อยู่ตรงหน้าเมื่อเห็นเครื่องประดับราคาแพงและตั๋วเงินที่ถูกซ่อนอยู่ด้านในก็ยกยิ้มพอใจ ต้องขอบคุณความจำในอดีตที่ปรากฏขึ้นตอนนางนอนไม่ได้สติทำให้นางได้รู้ว่าเฉินหย่งเล่อเองก็แอบเก็บเครื่องประดับมีค่าและตั๋วเงินไว้บางส่วน
ความเงียบกลับมาปกคลุมในห้องอีกครั้ง เฉินหย่งเล่อในตอนนี้กำลังคิดหาวิธีเพื่อหนีออกจากจวนแม่ทัพเฉินในแบบที่เขาไม่รู้ตัวได้อย่างไร เพราะคิดว่าหากนางถือห่อผ้าออกไปทางประตูหน้าจวนคงโดนจับได้ก่อนที่นางจะเดินออกจากจวนด้วยซ้ำ
เห็นทีคงต้องรอให้หายดีแล้วเดินสำรวจหาเส้นทางอื่นดู....
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ที่เฉินหย่งเล่อดูแลร่างกายตัวเองเป็นอย่างดี แม้บ่าวรับใช้ในจวนจะทำเป็นเมินเฉยคำสั่งในบางครั้งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงเคารพนางในฐานะฮูหยินเฉิน
ช่างเถอะ อีกไม่นานข้าก็จะไปจากที่นี่ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับใครให้เจ็บตัว
เฉินหย่งเล่อพูดกับตัวเองในใจก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากห้องมองสำรวจรอบตัวอย่างตั้งใจ โชคดีที่นางและเฉินเทียนอี้แยกเรือนกันจึงทำให้บ่าวรับใช้และทหารที่เรือนของนางมีพอจะนับคนได้ อีกทั้งพวกเขาก็มีท่าทางไม่ได้สนใจนางด้วยซ้ำเห็นทีแผนการหนีของนางคงพอมีหวังอยู่บ้าง
"ท่านแม่ทัพเฉินสังหารพี่ชายของตัวเองจริง ๆ หรือ"
เฉินหย่งเล่อที่กำลังเดินไปสำรวจกำแพงว่ามีรูหมาลอดหรือไม่หยุดชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินบทสนทนาของสาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกล
"ข้าอยู่จวนเฉินมาตั้งแต่เด็กได้เห็นเหตุการณ์นั้นกับตาตัวเอง แม้เหตุการณ์จะผ่านไปหลายปีแล้วข้าก็ยังลืมท่านแม่ทัพเฉินที่ตัวเต็มไปด้วยเลือดของคุณชายใหญ่ไม่ลง"
"แล้วเหตุใดถึงทำเช่นนั้นเล่า"
"ไม่มีผู้ใดรู้สาเหตุที่แน่ชัด ในวันนั้นนายท่านเฉินเอาแต่ด่าสาปแช่งท่านแม่ทัพที่สังหารคุณชายใหญ่จนล้มป่วยสุดท้ายก็จากไปด้วยอาการตรอมใจ"
"ท่านแม่ทัพก็ทำเกินไปนั่นพี่ชายแท้ ๆ เลยนะ"
"ท่านแม่ทัพโหดเหี้ยมแค่ไหนเจ้าก็รู้ เจ้าเองก็ทำงานให้ดีหากเจอท่านแม่ทัพให้เลี่ยงได้จะเป็นทางดีที่สุด"
เฉินหย่งเล่อตัดสินใจเดินออกมาจากตรงนั้น นางไม่อยากได้ยินบทสนทนาไร้สาระเช่นนี้อีกเพราะนางรู้เหตุผลที่เฉินเทียนอี้ทำเช่นนั้นดี ราชโองการลับจากฮ่องเต้องค์ก่อนนะสิ ตามนิยายพี่ชายของเฉินเทียนอี้ร่วมมือกับองค์ชายคิดกบฏฮ่องเต้เลยให้เขาจัดการอย่างเงียบที่สุดผู้คนจะรู้เพียงว่าเฉินเทียนอี้สังหารพี่ชายอย่างไร้เหตุผล ทั้งที่ความจริงทำเพื่อรักษาตระกูลเฉินไว้ไม่ให้โดนประหารทั้งตระกูล
"โหดเหี้ยมหรือ"
ชายผู้นี้คือวีรบุรุษที่ช่วยตระกูลไว้ต่างหาก ช่วงแรกในนิยายเขาก็เป็นคนดีคนนึงได้เลยหากไม่คิดอยากครอบครองอำนาจจนหลงผิด เฉินเทียนอี้ผู้นี้อาจไม่ได้เป็นตัวร้ายก็ได้
แต่แล้วภาพที่เขาบีบคอเฉินหย่งเล่อก็ฉายเข้ามาในหัว ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นคิ้วทั้งสองของนางขมวดเข้าหากัน มือบางยกขึ้นลูบที่ลำคอขาวอย่างลืมตัว ความรู้สึกเจ็บจนหายใจไม่ออกในวันนั้นยังคงย้ำเตือนนาง
"เหอะไม่มีทาง หน้าตาถูกตีตราว่าชั่วสมบูรณ์แบบขนาดนั้นไม่มีทางที่จะกลายเป็นคนดีแน่ ๆ"
