8 โชคชะตานำพา
สตรีตระกูลเหลียงได้รับเทียบเชิญจากองค์หญิงลี่ย่า เนื่องในวันพระราชสมภพของพระองค์ จัดขึ้นที่วังเล็กนอกตัวพระราชวังอีกที
องค์หญิงลี่ย่าพระองค์นี้ ในความจำของเชียนอี้มีไม่มากนัก เคยพบหน้าก็งานวันนี้คราวเดียวนอกนั้นก็ได้ยินเพียงข่าวคร่าวเล็กน้อย บ้างว่าภายหลังองค์หญิงพระองค์นี้ถูกส่งไปแต่งงานกับองค์ชายเมืองอื่น
ด้วยความที่องค์หญิงลี่ย่าตามจริงแล้วมิใช่พระธิดาแท้ๆของฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบัน แต่เป็นผู้ช่วยชีวิตทั้งสองพระองค์ครั้นถูกฮ่องเต้องค์ก่อนส่งไปครองเมืองชายแดน ทรงรับเป็นบุตรีบุญธรรมตั้งแต่นั้นมา พอได้ขึ้นครองราชย์จึงแต่งตั้งเป็นองค์หญิงขั้นหนึ่งไม่ต่างจากธิดาในสายเลือด
ทรงเป็นที่โปรดปรานอย่างมาก ถึงขนาดมีจวนอีกแห่งนอกวังแยกมาเฉกเช่นสถานที่จัดงานเลี้ยงครานี้
ตามจริงเชียนอี้ไม่ค่อยอยากจะไปร่วมงานครานี้เท่าไหร่นัก เพราะงานเลี้ยงคราวนี้ในชาติที่แล้วนี่ล่ะ ที่ทำให้นางตกหลุมรักสามีอย่างหวงซวี่หนาน และหวงซวี่หนานก็น่าจะเห็นเชียนอี้ในสายตาวันนี้เช่นกัน
ทว่างานนี้หากเชียนอี้ไม่ไป นางก็ไม่มีโอกาสสร้างตัวตนใหม่ให้คนภายนอกเห็นกับตา หากพลาดโอกาสนี้ไปก็ต้องรองานใหญ่อีกนาน หากนางจะแต่งออกไปในตระกูลที่ดีหน่อย หรือต้องการหาว่าที่สามีที่รักใคร่ก็จำเป็นต้องไปเจอผู้คนมากหน่อย นางจะเลือกสามีเองนั้นยากยิ่ง แต่หากถูกตาต้องใจใครแล้วสิ่งที่สตรีไร้มารดาดูแลคนหนึ่งทำได้ก็คือทำให้ฝ่ายชายสนใจและมาสู่ขอนางก็ได้เช่นกัน
ด้วยความที่บิดายังพักอยู่จวนยังไม่ออกไปทำงานที่ไหนไกล ผสานกับฮูหยินรองเพิ่งทำผิดมหันและถูกบิดาลงโทษไป เชียนอี้จึงค่อยใช้ชีวิตสบายหน่อย นางถูกเรียกจากพ่อบานฉีฮุ่ยให้มาเลือกผ้าเพื่อจัดทำชุดพร้อมกับน้องคนอื่น ฉะนั้นวันนี้ชุดที่ใส่จึงเข้ากับเชียนอี้มาก ไม่ว่าจะสีเขียวอมฟ้ามองแล้วสบายตา หรือเครื่องประดับหยกที่ประโคมตกแต่งแต่พอดี มองดูสมกับเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเหลียง
งดงามสบายตา สงบนิ่ง และดูพอดีไม่แก่เกินวัย...
ชาติก่อนเวลาออกงานนางมักถูกจับใส่ในชุดสีส้มสดใส ซึ่งขัดกับใบหน้าเศร้าหมองและไม่กล้าสู้หน้าของเชียนอี้มาก มันทำให้นางเหมือนบ่าวคนหนึ่งที่ได้รับชุดหรูจากเจ้านายเสียมากกว่า
“พี่หญิงใหญ่งดงามอย่างน่าประหลาดเลยเจ้าคะ”
น้องรอง เชียนเอ้อ เดินกรุยกรายอวดชุดงดงามโดดเด่นที่เชียนอี้จำได้ว่าไม่มีในแบบชุดตอนที่นางดู และเนื้อผ้าก็พิเศษกว่าทั่วไป คงเป็นฝีมือการจัดการของซื่ออิงนั่นเหละ เพราะนอกจากเชียนอี้ที่อายุใกล้วัยปักปิ่นแล้ว เชียนเอ้อที่อ่อนเดือนกว่านางก็ใกล้วัยปักปิ่นแล้วเช่นกัน งานนี้ซื่ออิงก็คงคิดจะพาบุตรสาวไปอวดโฉมหาคู่ครองที่เหมาะเช่นกัน
“เจ้าเองก็งดงามโดดเด่นเช่นกันนะ อ้อ น้องสี่ด้วยล่ะ ชุดเข้ากับเจ้ามาก”
เชียนเอ้อหยักหน้าขอบคุณ ส่วนเชียนซื่อบิดเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจโจ่งแจ้ง จนอนุเจียงที่มาส่งบุตรสาวไปงานที่หน้าจวนหยิกเตือนสติไปหนึ่ง
“ขอบคุณคุณหนูใหญ่มากที่เอ่ยชมซื่อเอ๋อร์ อย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกันไปงานครานี้ขอให้รักใคร่ปรองดองกันนะเจ้าคะ”
อนุเจียงไม่มีสิทธิ์ไปงานออกหน้าชูตา จึงใช้โอกาสนี้ทำเป็นญาติดีกับเชียนอี้ทั้งที่ก่อนหน้าล้วนให้บุตรสาวของตนมาเอาเปรียบนางเสมอมา ตนเป็นเช่นไรก็เลี้ยงบุตรสาวให้คล้ายตนเองไม่ต่างกันเลยจริงๆ
“ไปกันเถอะ อาชินวันนี้ไม่สบายไม่ได้ไปกับพวกเรา”
จงชินคงยังไม่ตื่นอีกตามเคย ในวันที่อากาศเย็นสบายและตอนนี้เพิ่งเข้ายามเฉิน เช่นนี้ จงชินคงนอนหลับสบายไร้คนปลุก ซึ่งเชียนอี้ไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้เพราะนางก็รู้ว่าน้องชายไม่รู้ประสาเท่าไรไม่ไปงานนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ไปสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ตนเองและตระกูล
รถม้าประจำจวนเหลียงเดินทางไปถึงจวนพักขององค์หญิงลี่ย่าแล้ว สตรีสี่นางก็ลงจากรถม้าพร้อมเดินตามบ่าวนำทางเข้างาน เชียนอี้มองรอบๆสายตาตรวจจับทุกบริเวณที่เป็นสระน้ำทั้งหมด เพราะในชาติก่อนเชียนอี้ถูกใครบางคนชนจนตกสระน้ำไปแล้วได้หวงซวี่หนานช่วยไว้จากความตายนี่แหละ ระหว่างเราสองคนจึงมีสายใยแห่งความรับผิดชอบผูกกันบางๆไว้เสมอมา เพื่อให้นางไม่ต้องมีเรื่องเกี่ยวพันธ์กับบุรุษผู้นั้นอีก เชียนอี้จึงตั้งใจว่านางจะอยู่ให้ห่างจากสระน้ำ หรือสิ่งใดที่มีน้ำมากๆให้หมด!
“คุณหนูท่านนี้คือคุณหนูใหญ่เหลียงหรือ?”
อยู่ดีดีก็มีสตรีวัยกลางคนในชุดสีแดงหรูหราคนหนึ่งเดินเข้ามาถามเฉินซื่ออิงที่เดินนำขบวนอยู่
เชียนอี้คารวะคนพูดทันที นางจำได้แล้วคนผู้นี้คือฮูหยิน
ของเจ้ากรมโยธา นักสังคมตัวยงมีสหายรอบทิศจนมีหลายจวนเชิญไปเป็นแม่สื่ออยู่หลายที ชาติก่อนตอนที่เชียนเอ้อถูกใจหวงซวี่หนานก็ขอให้มารดาไปติดต่อหลิงฮูหยินผู้นี้ให้ช่วยนั่นเอง
“อ้อ ใช่แล้วล่ะ นะ...”
“คารวะหลิงฮูหยินเจ้าค่ะ ข้าเหลียงเชียนอี้เองเจ้าค่ะ”
นางไม่รอให้ซื่ออิงเอ่ยอธิบายคุณสมบัติของนางแต่ด้านลบหรอก สู้ทำให้หลิงฮูหยินเห็นเองกับตาว่าเชียนอี้เป็นอย่างไรมิดีกว่าหรือ
“โตแล้วงดงามสบายตาดีเสียจริง หากไป๋ฮูหยินยังอยู่คงปลื้มปริ่มมากเป็นแน่”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าก็ได้รับการสั่งสองจากท่านแม่ในช่วงที่ท่านยังอยู่ที่แหละเจ้าค่ะ ขอบคุณหลิงฮูหยินที่ยังคะนึงถึงท่านแม่นะเจ้าคะ”
หากมองไปยังใบหน้าที่แต่งแต้มสีสันจัดเต็มของซื่ออิงย่อมเห็นแววตาไม่พอใจแน่ ในเมื่อตนเองคือบุคคลที่มีชีวิตอยู่แท้ๆกลับไปพูดถึงคนที่ตายไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นหนามคอยตำอกให้ไม่ก้าวขึ้นเป็นฮูหยินเอกเสียทีด้วย
“อ้อ หลิงฮูหยินเดี๋ยวพวกเราขอตัวไปทางนู้นก่อนนะ”
แน่นอนว่าพวกเราที่ว่ารวมถึงเชียนอี้ที่กำลังคุยกับ
หลิงฮูหยินอย่างออกรสไปด้วย นางรู้ว่าตนถูกตัดโอกาสนั่นแหละ แต่ก็มิได้ใส่ใจอันใดเพราะตามจริงเชียนอี้ก็หาทางปลีกตัวจากการชวนคุยของอีกฝ่ายพอดี
“อยู่ข้างหลังข้าไว้เล่า เดี๋ยวจะไปสร้างเรื่องร้ายให้จวนได้อย่าได้อวดดีว่าตนฉลาดไป”
คำพูดของซื่ออิงจงใจบอกเชียนอี้แต่คนรับไม่รับซะอย่างก็ไม่เกิดผลอันใด เชียนอี้สอดสายตามองสังเกตุโดยรอบเห็นว่าบริเวณนี้เริ่มใกล้จุดสระน้ำชมดอกบัวกลางจวนแล้ว นางก็ตัดสินใจหยุดฝีเท้าทันที
“นี่ จะหยุดเดินก็บอกก่อนสิ พี่หญิงใหญ่มิได้เดินมาคนเดียวนะ”
คนที่เดินตามเชียนอี้มาก็คือเชียนเอ้อ และข้างหลังเป็นเชียนซื่อ ไม่แปลกอันใดที่คนเกือบชนจะเอ่ยปากเตือน แต่นางไม่สนอันใดแล้ว เชียนอี้หันไปเอ่ยปากกล่าวกับเฉินฮูหยินแทน
“พวกท่านเดินไปกันก่อนเลยนะ ข้ารู้สึกอยากไปพักทางด้านนู้นมากกว่า รู้สึกว่าทางนี้คนเยอะหายใจไม่สะดวกเท่าไร”
เชียนอี้ไม่สนสายตาไม่พอใจของใคร นางรีบเดินแยกไปฝั่งตรงข้าม ไม่สนว่าคนส่วนใหญ่จะมุ่งหน้าไปทางสระบัวอันเป็นจุดชมวิวที่เจ้าของจวนแนะนำแต่อย่างใด
เชียนอี้ไม่อยากมีชะตากรรมหน้าอายอย่างชาติก่อน การถูกมองจากผู้คนที่ไปชมดอกบัวแต่ดันได้เห็นสตรีตกน้ำอีกทั้งยังมีสภาพเปียกปอนน่าอาย
นางคิดแล้วก็รู้สึกอยากกัดลิ้นตายไปตอนนี้เสีย หากชาตินี้นางไม่ไปแถวสระน้ำนั่น ชะตากรรมน่าอับอายและการต้องเจอกับหวงซวี่หนานก็น่าจะเปลี่ยนไปสิ
เชียนอี้รีบเดินไปหน่อย ตัวก็คอยหันหลังมองไปทางทิศสระบ้างจนชนเข้ากับใครบางคนเสียแล้ว!!!
“อ้ะ ขออภัยที่ข้าเดินไม่ดูทางเจ้าค่ะ”
แม้จมูกจะเจ็บแป๊บเพราะเมื่อครู่เชียนอี้หันไปมองทางพอดีแล้วชนเข้าอกแข็งแกร่งของบุรุษผู้โชคร้ายเข้า แต่ในเมื่อทำผิดก็ต้องขอโทษไปก่อนนั่นล่ะ
“ข้าไม่เป็นอันใด คุณหนูเถอะ มีเลือดไหลจากจมูกแล้ว”
เชียนอี้ตกใจตาเบิกโพลง!
สิ่งที่น่าตกใจมิใช่เพราะรู้ว่าตนเลือดกำเดาไหล แต่เสียงอันแสนคุ้นเคยนี่ต่างหาก!
...ไม่ผิดแน่ นี่มันเสียงของหวงซวี่หนาน!!!
เขามิใช่ควรอยู่บริเวณแถวสระบัวหรอกหรือ?
“...”
เชียนอี้ตกใจจนปล่อยให้เลือกจากจมูกไหลย้อยเข้าปากต่อหน้าต่อตาสามีเมื่อชาติที่แล้วอย่างไม่รู้สติ พอเห็นว่ามือของอีกฝ่ายกำลังเอื้อมจะมายุ่งเกี่ยวที่บริเวณหน้าของตนก็ถอยหลังทันที และด้วยความที่นางมิได้มองว่าข้างหลังพื้นมีก้อนหินก้อนใหญ่ที่เดินผ่านมาได้ตอนขามา แต่ตอนถอนคราวนี้กลับเหยียบเข้าอย่างเต็มฝ่าเท้า
“ว้าย!”
นางคงไม่ล้มหัวกระแทกพื้นและตายอีกรอบหรอกใช่ไหมนะ...
“ห้ามขยับอีกเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าล้มลงมิรู้ด้วยนะ”
หวงซวี่หนานเอ่ยเสียงเข้มแกมดุสตรีตรงหน้าที่ดูท่าจะกลัวเขาหรืออย่างไร ตอนนี้เขาช่วยประคองเอวนางไว้ก่อนจะล้มหงายหลังไปได้ สายตาก็ตกลงที่เลือดสีแดงสดที่ไหลไม่หยุดจากจมูกแดงช้ำน่าสงสาร
สตรีรูปร่างผอมบางตรงหน้าทำอย่างกับเขาคือตัวน่ารังเกียจก็ไม่ปาน นางรีบกลับมายืนตั้งตัวให้มั่นคง มืออีกข้างหนึ่งก็ยกแขนเสื้อปิดบังหน้าตา
“ขอบคุณ คุณชายมากเจ้าค่ะ ข้าลาล่ะ”
ซวี่หนานมองตามร่างบางในชุดสีเขียวอมฟ้าสบายตาจนลับมุมต้นไม้ไป เขาไม่ค่อยคุ้นหน้านางเท่าไรนักคิดเท่าไรก็นึกไม่ออกว่ามาจากตระกูลใด
และคาดว่านางก็คงไม่อยากจะให้เขารู้ด้วยกระมัง...
ด้วยความที่เชียนอี้นั้นไม่มีบ่าวติดตามข้างกายเลยสักคนเดียว การจัดการกับเลือดกำเดาที่ไหลเพราะจมูกไปกระแทกของแข็งเข้าจึงต้องเป็นนางเองที่จัดการ ดีที่เลือดไหลไม่มากแต่ให้เดาเลยว่าตอนนี้จมูกของนางต้องแดงมากแน่ ไว้กลับไปต้องประคบสักหน่อยก่อนที่จะบวม
นางยังไม่ไว้ใจบ่าวคนใหม่ที่เพิ่งได้มา จึงคิดว่าระหว่างรอแม่นมและอาหลานหายดี ร่างกายแข็งแรงจึงคิดว่าจะพึ่งตนเองไปก่อน
เวลาผ่านไปสองเค่อเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นทิศมาจากลานกลางสวนอันเป็นสถานที่จัดเลี้ยงนั่นเอง เวลานี้เจ้าของงานอย่างองค์หญิงลี่ย่าคงเรียกรวมเพื่อเข้าสู่พิธีการแล้ว เชียนอี้จึงไม่ต้องเดินเล่นรอเวลาอีก นางมุ่งหน้าสู่ลานพิธีทันที
อาหารคาวหวานที่องค์หญิงลี่ย่าจัดเตรียมไว้ดูอุดมสมบูรณ์มาก ทั้งหน้าตาน่ากินและรสชาติก็ถูกปากคนส่วนใหญ่ เชียนอี้ชิมแล้วยังชอบเลย ทว่าช่วงเวลาแห่งการลิ้มลองของอร่อยก็หมดไปอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ช่วงแห่งการมอบของขวัญให้เจ้าของงานกันแล้ว
ของขวัญที่ว่ามีเงื่อนไขว่าต้องมิใช่สิ่งของ องค์หญิงลี่ย่ารับเป็นการแสดงเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าพระองค์อยากจะมอบความรื่นเริงให้ผู้มาร่วมงานด้วย ตนมิอยากชื่นชมเพียงคนเดียว
เหตุผลนี้ทำให้องค์หญิงลี่ย่าดูงดงามสูงส่งขึ้นอีกเท่าตัวเลยล่ะ
การแสดงของแต่ละตระกูลที่มาร่วมงานก็ผ่านไปเรื่อยๆ จนมาถึงตระกูลเหลียง ของขวัญที่พวกเราจะมอบให้คือการแสดงบรรเลงกู่เจิงร่วมกับขับร้องของคุณหนูตระกูลเหลียงอย่างเชียนเอ้อ เชียนซื่อ ที่ทั้งสองตั้งใจฝึกซ้อมร่วมกันมาอย่างดี เชียนอี้ในตอนพวกนางซ้อมกำลังหลงป่าผจญกับอันตรายนอกจวนนั่นแหละ นางมองทั้งสองแสดงความสามารถแล้วก็อดปรบมือชื่นชมให้ไม่ได้
หากน้องทั้งสองนางนี้มิได้มีนิสัยที่เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่ พวกเราก็คงอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไปแล้วล่ะ...
น่าเสียดายจริงๆ เบื้องหลังเสียงหวานซึ้งของน้องสี่ นางคือคนที่ชอบตะคอกสั่งใส่เชียนอี้ยามต้องการอันใด
เบื้องหลังความลื่นไหลนุ่มนวลในการบรรเลงกู่เจิงของน้องรอง นางคือคนที่ชอบตวัดแส้ใส่บ่าวไพร่ยามต้องอดกลั้นอารมณ์ต่อคนหมู่มาก
เชียนอี้ล้วนรับรสเหล่านั้นมาหมดสิ้น จนตอนนี้ความรักฉันพี่น้องเริ่มชินชา จืดจาง...
“องค์หญิงลี่ย่าเพคะ หม่อมฉันอยากขอโอกาสให้พี่หญิงใหญ่ของหม่อมฉันได้แสดงบางสิ่งให้พระองค์ทอดพระเนตรด้วยเพคะ”