บทที่10 น้ำลดสร้างความเสียหายไม่ต่างกัน
ผ่านไปหนึ่งเดือนน้ำก็ค่อยๆลดลงไปบ้าง แต่ปัญหาหนักของทุกคนคือน้ำที่เริ่มเน่าจนส่งกลิ่นเหม็น แถมยุ่งยังสร้างความรำคาญให้ไม่ใช้น้อย จนไม่เป็นอันหลับ พอนานวันเข้าก็มีคนเป็นไข้ป่าแล้วจากไป
เจอเยียนเห็นหลายคนเป็นไข้ป่าเลยยิ่งไม่ให้ไป๋เฟิ่งออกมาจากคอนโด ส่วนตนเองก็ขึ้นไปบนเขาที่สูงขึ้นไม่พยายามอยู่ตีนเขาที่มีน้ำเพราะอาจโดนยุ่งกัดจนเป็นไข้ป่าได้ ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าจะเดินทางไปหัวเป่ยเพื่อหนีปัญหาตรงนี้ ไว้ให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมก่อนค่อยกลับมาก็ยังได้ ชายหนุ่มล่าสัตว์ป่าแล้วชำแหละให้เรียบร้อยก่อนจะเอาเข้าไปให้คู่หมั้นทำอาหาร และเก็บหญ้าไปให้สัตว์และผักป่าที่เรียนรู้มาจากคู่หมั้น ชายหนุ่มเดินวนอยู่รอบๆเขาเพราะรู้สึกว่ามีคนตามสะกดรอย จนชายหนุ่มเดินเข้าไปในป่าดึกแล้วแอบหลบเข้าไปในคอนโด
"ไปไหนแล้วละ"ชาวบ้านที่ตามมาติดๆเมื่อเห็นเจอเยียนเดินเข้าไปในป่าลึกก็เดินตามแต่พอเข้ามาแล้วกลับหาชายหนุ่มไม่เจอ
"ก็เห็นอยู่ว่าเขาเดินเข้ามาทางนี้ แล้วหายไปไหนแล้ว"ชาวบ้านอีกคนก็พูดขึ้น ตอนนี้หลายคนเสบียงเริ่มหมดแล้ว พวกเขาเลยคิดว่าจะมาดูของบ้าถังว่าหลงเหลือมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีหลงเหลือพวกเขาก็คิดว่าอาจแอบขโมยกลับไปบ้าง เพราดูจากสภาพของเจอเยียนยังมีสุขภาพที่แข็งแรงไม่ได้มีสภาพอดอยากแบบพวกเขา นั้นหมายความว่าคนบ้านถังคงขนเสบียงหนีน้ำมาทันแนๆ
"น่าเจ็บใจนัก เราแอบตามเจ้าเจอเยียนหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่เคยตามจนรู้ว่าพวกนั้นไปตั้งที่พักอยู่ตรงไหน ภูเขานี้ก็มีป่าอยู่แค่นี้ ทำไมเราถึงหาไม่เจอ "
"นั้นสิ..พวกบ้านถังมีเด็กเล็ก ปกติต้องได้ยินสิ แต่นี้กลับเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ พวกเจ้าว่าแปลกมั้ย"
"จริงด้วย เจ้าพูดมีเหตุผล"
"ครั้งหน้าต้องไม่พลาด ยังไงเราก็ต้องขโมยเสบียงพวกนั้นมา ที่บ้านข้าตอนนี้ต้องขุดรากไม้กินแล้วเพราะเสบียงหมดไปนานแล้ว มีตำลึงแล้วไง ไปซื้ออะไรไม่ได้เลย" ทั้ง3คนบ่นไปก็เดินกลับไปที่พัก
เจอเยียนที่หลบบนต้นไม้แล้วแอบฟังที่ทั้ง3คนพูด นั้นหมายความว่าตอนนี้ชาวบ้านต่างก็เดือดร้อนกันไม่ใช้น้อย แต่บนภูเขาก็มีสัตว์และผักป่าให้เก็บกิน ทำไมถึงไม่เดินมาหา แต่กลับคิดมักง่ายจะมาขโมยของพวกตน สงสัยเขาต้องหลบให้ห่างจากชาวบ้านไม่เข้าใกล้เพื่อความปลอดภัยของตนเอง
ด้วยเหตุนั้นชายหนุ่มจึงตัดหญ้าให้มากหน่อยเพื่อเหล่าสัตว์เลี้ยงได้้กินหลายวัน เขาจะไม่พยายามออกมาจากคอนโด รอจนน้ำลดเมื่อไรเขาจะพาพี่น้องถังไปจากที่นี้
"ต่อไปนี้ข้าจะออกไปข้างนอกน้อยลง เพราะข้าโดนสะกดรอยตาม เพื่อความปลอดภัยเราต้องอยู่ในนี้ไปก่อน"
"แล้วน้ำลดลงมากมั้ยเจ้าคะ"ไป๋เฟิ่งถูกสั่งห้ามออกไปเพราะชาวบ้านเป็นไข้ป่ากันหลายคนเจอเยียนจึงห่วงนาง
"น้ำลดลงไปประมาณ1ฉื่อได้"(23.1 เซนติเมตร)
"น้ำลดลงไปเยอะเหมือนกันนะเจ้าคะ แบบนี้เราก็ใกล้ลงเขาได้แล้ว"
"ถึงน้ำลดเราก็อยู่ที่นี้ไม่ได้ เพราะบ้านเราเป็นบ้านเดียวที่มีทั้งสัตว์เลี้ยงและเสบียง ถ้าชาวบ้านรู้ พวกเขาต้องพยายามมาขโมยไปแนๆ ข้าไม่อย่างสังหารชาวบ้านไม่มีทางสู้"
"เช่นนั้นหรือเราหนีไปหัวเป่ยบ้านท่านดีกว่าเจ้าคะ"ช่วงสภาวะแบบนี้ใครที่มีมากกว่าผู้อื่นถือว่าอันตรายต่อตนเองมาก
เจอเยียนเลยอยู่แต่ในคอนโด ยามว่างชายหนุ่มก็จะเข้าไปในห้องเก็บอาวุธเพื่อนำอาวุธมาทำความสะอาด ไป๋เสวียนรู้สึกสนใจอาวุธของน้องเขยเลยให้ชายหนุ่มสอน อาวุธของเจอเยียนส่วนใหญ่จะเป็นปืนแบบต่างๆ
"การเล็งเป้าก็เหมือนยิงธนูขอรับ แต่อานุภาพจะแรงกว่า"
"แล้วแหวนวงนี้ทำไมมันแปลกๆ"
"สิ่งนี้เรียกว่าสนับมือขอรับ เอามาใส่นิ้วทั้ง4แบบนี้ มันจะช่วยให้เวลาเราต่อยคู่ต่อสู้เราจะได้เปรียบขอรับ"เจอเยียนใส่สนับมือแล้วทำท่าชกไปมา ไป๋เสวียนเห็นก็ถูกใจเลยขอจากชายน้องเขย
ผ่านไปอีก10วันน้ำก็ลดลงจนสามารถเดินลงจากเขาได้ แต่ทางเดินก็เต็มไปด้วยขี้โคลน แต่ชาวบ้านก็เลือกที่จะกลับลงไปที่บ้านเพราะทนอยู่บนเขาไม่ได้อีกต่อไป เพราะการอยู่บนเขาเป็นเวลาเกือบเดือนทำให้เริ่มมีกลิ่นจากการขับถ่ายที่ถึงจะเดินไปไกลจากกลุ่ม แต่พอนานวันเข้ามันก็เริ่มเยอะขึ้นจะกลิ่นแรงมาถึงที่พัก
ส่วนเจอเยียนเมื่อออกมาแล้วเห็นน้ำลดลงก็ตัดสินใจเข้าไปปรึกษากับพี่น้องถังเพื่อเดินทางไปหัวเป่ย
"น้ำแห้งแล้ว แต่ทางเดินมีแต่โคลน ทำให้บ้านเรามีสภาะโคลนอยู่เต็มบ้าน ถ้ายังไงเราก็ไปบ้านข้าก่อนดีกว่านะ"
"เช่นนั้นก็ไปกันเลย แต่ก่อนไปขอข้าไปดูสภาพบ้านก่อน ยังไงก็อดห่วงไม่ได้"
เจอเยียนจึงพาทั้ง3ออกจากคอนโดแล้วเดินลงจากเขาไปดูสภาพบ้าน เมื่อเห็นสภาะบ้านที่มีแต่โคลน ไป๋เฟิ่งถึงกับร้องไห้ บ้านนางทำไมมีสภาพเป็นเช่นนี้ ท่านพ่อท่านแม่อุตส่าห์สร้างมาแต่ตอนนี้มันแย่มาก ส่วนไป๋เสวียนที่อุ้มไป๋หย่างไม่มีความทรงจำจากร่างเดิมก็รู้สึกเฉยๆแต่นางก็อดเสียดายสภาพบ้านไม่ได้
"ไปกันเถอะ..เดี๋ยวจะมืดค่ำเอา"สุดท้ายไป๋เสวียนก็พูดกับน้องสาว
"เจ้าคะ"ไป๋เฟิ่งที่มีเจอเยียนเช็ดน้ำตาให้ก็ตอบพี่สาว
แล้วทั้ง4คนก็ออกเดินทาง พอผ่านบ้านชาวบ้านก็มีคนถามขึ้น
"อ้าว...พวกเจ้าจะไปไหนกันหรือ?"ป้าตูถามขึ้น
"พวกข้าจะเดินทางไปหัวเป่ยเจ้าคะ..บ้านพวกข้าไม่สามารถอยู่ได้แล้ว จะซ้อมแซมก็ไม่มีตำลึง เลยคิดจะไปหัวเป่ยเจ้าคะ มีตำลึงเมื่อใดเคยกลับมาซ้อมแซมบ้านเจ้าคะ"
"เช่นนั้นหรือ..เช่นนั้นก็เดินทางปลอดภัยแล้วกันนะ"
"เจ้าคะ"ทั้ง3เดินฝ่าดินโคลนเจอเยียนรับหน้าที่อุ้มไป๋หย่างตลอดทางเพื่อไม่ให้คู่หมั้นและพี่สาวต้องเหนื่อยไป๋เฟิ่งนำผ้ามาคลุมตัวน้องสาวเพื่อไม่ให้โดนแดดมากเกินไป เดินมาจนหมดวันก็ยังไม่เจอดินที่แห้ง ตกค่ำทั้ง3จึงหาที่หลบแล้วแอบเข้าไปในคอนโดเพื่อที่จะได้พักผ่อน
เช้ามาก็ออกเดินเท้าเช่นเดิม พวกเขาไม่สามารถนำม้าออกมาได้เพราะเส้นทางที่เป็นโคลนอาจเกิดอันตรายได้
ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านก็เห็นความเสียหายจากน้ำท่วมที่ผ่านมา เดินผ่านที่ไหนก็เห็นแต่ความเศร้าหมอง หลายครอบครัวบ้านพักเสียหายเพราะน้ำที่ท่วมเป็นเวลานาน
จนผ่านเข้าบ่ายวันที่2ถึงเจอพื้นดินแห้งสนิทไร้ดินโคลนปกคลุม พอเจอดินแห้งเจอเยียนก็นำม้าออกมา ส่วนไป๋เสวียนก็นำรถม้าออกมาผูกกับเจ้าม้าหนุ่ม ที่เจอเยียนเลือกเจ้าดำเพราะเห็นว่าเป็นการเดินทางไกล จะใช้ม้าสาวก็น่าสงสารมันเกินไป พอนั้งรถม้าได้ก็สบายขาไปได้เยอะ เจอเยียนนำผ้าออกมาทำที่นอนให้ไป๋หย่าง เขารับหน้าที่บังคับรถม้าเอง ส่วน3สาวก็นั้งสบายมองทิวทัศน์ข้างทาง
การไปหัวเป่ยพวกเขาก็เดินทางขึ้นไปทางทิศตะวันออก เจอเยียนกลัวไป๋หย่างจะสะเทือนจากรถม้า เขาจะบังคับม้าให้วิ่งเหยาะๆไม่ให้เร็วเกินไป หนูน้อยไป๋หย่างได้นั้งสบายและจะแวะพักเมื่อหนูน้อยหิวนม ถึงไป๋หย่างจะใกล้1ขวบ แต่นางก็ยังชอบกินนมแพะ ไป๋เฟิ่งจึงตามใจน้องสาวเพราะเจอเยียนบอกเด็กวัยนี้ยังต้องบำรุงด้วยนม
พอหนูน้อยอิ่มก็ให้คลานเล่นอีกพักใหญ่ค่อยเดินทางต่อ การที่ให้ไป๋หย่างคลานเล่นเพราะนางจะได้ไม่เบื่อจนเกินไป
ตกเย็นพอแวะพัก ก็มีรถม้าอีก2คันมาจอดอยู่ใกล้ๆ ตอนแรกที่เจอเยียนจอดพักกะว่าจะเข้าไปในคอนโด แต่ไม่คิดว่าจะมีคนมาจอดข้าง ชายหนุ่มจึงต้องแกล้งทำทีหาไม้มาสุมไฟให้ไป๋เฟิ่งทำอาหาร
"ระวังตัวด้วย พี่ว่าคนกลุ่มนี้ไม่น่าไว้ใจ"ไป๋เสวียนเดินเข้ามากระชิบบอกทั้ง2
"ข้าก็คิดเหมือนกัน พวกเขามองมาทางเราบ่อยจนผิดสังเกต"
"เฟิ่งเอ๋ออย่าพาหย่างเอ๋อไปไกลจากรถม้า "คนเป็นพี่สาวอดเตือนน้องสาวไม่ได้
"คืนนี้พาหย่างเอ๋อไปนอนข้างใน ส่วนข้างนอกข้าจะเฝ้าเอง"
"เจ้าคนเดียวอาจไม่ไหว เดี๋ยวข้าอยู่ช่วยเอง ให้เฟิ่งเอ๋อพาหย่างเอ๋อเข้าไปในคอนโดเจ้า อยู่ข้างนอกพาข้าพะวง
"เจ้าคะ..อย่างไรพวกท่านก็ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ"นางมีไป๋หย่างต้องดูแลเลยทำตามที่พี่สาวบอก
เมื่อคุยตกลงกันเสร็จ ทุกคนก็ทำตัวปกติ ถึงเวลาอาหารอยู่ๆก็มีคนจากรถม้าอีกคันนำอาหารมาให้
"พวกข้าห็นว่าพวกเจ้ามีเด็กเล็กเลยแบ่งอาหารมาให้นะ"หญิงสาวพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"ขอบคุณเจ้าคะ "ไปเสวียนรับชามของกินมาด้วยสีหน้ายิ้มบางๆ
"ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะไปไหนกันหรือ?"หญิงสาวยังถามต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นกันเอง
"พวกเราจะไปหัวเป่ยนะขอรับ"เจอเยียนตอบนิ่งๆ
"พอดีเลย พวกข้าก็จะไปหัวเป่ยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็มาเข้าขบวนกับพวกข้ามั้ย ได้ปลอดภัยด้วย"
"เออ..ไม่รบกวนดีกว่าขอรับ เรามีเด็กเล็ก การเดินทางจึงล่าช้าเพราะแวะพักบ่อย ถ้าไปร่วมขบวนกับพวกท่านอาจสร้างภาระให้พวกท่านได้"ชายหนุ่มรีบบอกปัด
"เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร งั้นก็ตามสบายนะ อย่าลืมกินน้ำแกงละ กำลังร้อนๆได้อุ่นท้อง"
"ขอบคุณเจ้าคะ"
"ว่าแต่ด็กน้อยไปไหนสะละ ข้าอยากเห็น ข้าเป็นคนชอบเด็กๆนะเห็นแล้วนึกเอ็นดูไม่ได้"
"อ้อ..น้องสาวข้าเข้านอนแล้วเจ้าคะ นางเดินทางมาทั้งวันเลยเหนื่อยนะเจ้าคะ"
"เช่นนั้นเองหรือ งั้นข้าไปก่อนนะ"หญิงสาวที่มีใบหน้ายิ้มแย้มเดินจากไป ไป๋เสวียนจึงแกล้งเอาชามน้ำแกงมาวางไว้ข้างๆพุ่มไม้แล้วค่อยเทน้ำแกงทิ้ง
ตกดึกยามห้าย(21:00-22:59น)เจอเยียนกับไป๋เสวียนก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวรอบๆ ทั้ง2จึงเตรียมตั้งรับ
"พวกมันหลับหรือยัง?"
"น่าจะสลบกันหมดแล้ว ยาของข้าใช้ได้ผลทุกครั้ง "
"ครั้งนี้โชคดีมีเด็กด้วย ข้าจะได้กินเนื้อเด็กอีกแล้ว แค่คิดก็น้ำลายไหล"
"เจ้าตะกละเอ้ย..ยังไงก็ต้องฆ่าเจ้าผู้ชายก่อนแล้วค่อยจับผู้หญิงกะเด็ก ก่อนเอาพวกนางไปขายข้ากับพี่ใหญ่จะเล่นสนุกกับพวกนางให้หนำใจ โดยเฉพาะคนที่อุ่มเด็ก หน้าตางามยิ่งนัก"
"คิดจะรังแกคู่หมั้นข้า พวกเจ้าใช้ความกล้าอะไร"เจอเยียนที่หมดความอดทนเพราะได้ยินพวกมันเอ้ยวาจาไม่ให้เกียรติคู่หมั้นตน
