10 หึงระดับแปด
10
หึงระดับแปด
“ไม่แต่ง! ทำไมต้องเป็นเจนที่ต้องแต่งงาน ทำไมคุณพ่อไม่ส่งยายพราวไปคะ?!”
เสียงเจนนินทร์ดังลั่น เมื่อรู้ว่าถึงเวลาที่เธอต้องเตรียมรอแต่งงานตามสัญญาที่มีมาตั้งแต่เด็ก ทั้งๆที่เพิ่งกลับบ้านมาได้ไม่ถึงวัน ก็มีเรื่องให้ต้องรำคาญใจ ด้วยความที่เป็นคนเอาแต่ใจ ใครขัดก็ไม่ได้ ต้องชนะเสมอ เพราะโดนจันทราผู้เป็นแม่สปอยล์มาตั้งแต่เกิดเลยก็ว่าได้
“ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธอะไรทั้งนั้น เพราะมันคือหน้าที่ลูกสาวคนแรกของบุลันตรา” เศรษฐ์จ้องหน้าลูกสาวจอมเอาแต่ใจเขม็ง
“ใจเย็นๆ นั่งลงก่อนยายเจน ถ้าลูกได้เจอคุณอนาคินสักครั้งลูกอาจจะอยากแต่งขึ้นมาก็ได้ รู้ไหมว่าถ้าได้เป็นสะใภ้ของ กลินท์ตระกูล ลูกจะสบายไปทั้งชาติ งานก็ไม่ต้องทำ อยากได้อะไรเขาก็หามาให้ได้หมด ต่อให้เป็นดาวเป็นเดือนก็เถอะ” จันทราเกลี้ยกล่อมลูกสาว
อิราได้แต่มองจันทราสลับกับเจนนนิทร์ด้วยความเหนื่อยใจ เพราะแบบนี้ไงน้องสาวของเขาเลยมีนิสัยไม่ยอมคน เอาแต่ใจ และชอบเอาชนะ
“ทำไมเจนจะไม่เคยเจอเขาคะคุณแม่ เขาก็เป็นแค่เด็กนิสัยเสียคนนึง”
“โถ่ ยายเจน นั่นมันเมื่อสิบสี่สิบปีที่แล้ว ตอนนี้อนาคินเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นนักธุรกิจ หน้าตาหล่อเหลารูปร่างดี รวยระดับประเทศ ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง แถมยังรวย ลูกจะกลายเป็นผู้หญิงที่ใครๆก็อิจฉา” เจนนินทร์เงียบฟังมารดา พอได้ยินสรรพคุณของคู่หมั้นก็นึกอยากจะเจอสักครั้ง
“พอๆ ชักจะไปกันใหญ่แล้ว สปอยล์กันแบบนี้ไงถึงได้นิสัยเสีย เอาแต่ใจไม่เลิกสักที” เศรษฐ์ที่อดรนทนไม่ไหวพูดขึ้น
“คุณพ่อ! ใช่สิ ก็เจนมันไม่ใช่ลูกรักเหมือนพี่อิรากับยายพราวนี่ คุณพ่อถึงได้ส่งเจนให้ไปแต่งงานกับใครก็ไม่รู้”
“เจน…” อิราส่งเสียงปรามเจนนินทร์เบาๆ แต่เธอกลับไม่สนใจหันไปจ้องหน้าผู้เป็นตาเขม็ง
“น้อยไปสิ! การที่ส่งแกไปแต่งงานกับอนาคินอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่คนเป็นพ่ออย่างฉันจะหามาให้แกได้แล้วเจนนินทร์” สิ้นเสียง ประมุขให้ของบุลันตราก็ลุกขึ้นจากโซฟาหรูในห้องนั่งเล่นแล้วเดินออกไปทันที
“คุณคะ…ใจเย็นๆก่อนนะคะ ยายเจนแกยังเด็ก” จันทรารีบเดินตามผู้เป็นสามีไป
“พี่อิรา…เจนไม่ยอมแต่งแน่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาว่าที่คุณแม่พูดเป็นเรื่องจริง” เจนนินทร์หันมาพูดกับอิรา ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าน้อยๆแล้วลุกออกไปจากตรงนั้น
“พี่อิรา!” เจนนินทร์ทุบเบาะโซฟาหนังอย่างหัวเสียที่ถูกเพิกเฉย
“ถ้าไม่หล่อไม่รวยไม่เป็นที่หนึ่ง อย่าหวังเลยว่าฉันจะแต่งงานด้วย…อนาคิน!”
สองวันมานี้หลังจากที่รัชชุไปซื้ออุปกรณ์เพื่อการออกแบบมาให้ พราวตะวันก็หมกมุ่นอยู่กับงานออกแบบชุดสูทที่อนาคินสั่ง เพราะไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อหาข้อมูล พราวตะวันเลยทำได้เพียงดูแบบหาไอเดียจากนิตยสารแฟชั่นของฝรั่งเท่านั้น
“ของว่างค่ะคุณพราว” เล็กน้อยยกน้ำกับขนมมาวางให้พราวตะวันที่โต๊ะริมสระว่ายน้ำ
“ขอบใจจ่ะ”
“โห…คุณพราววาดรูปสวยจังเลยนะคะ” เล็กน้อยมองภาพวาดที่ถูกระบายด้วยสีน้ำฝีมือพราวตะวันแล้วชมออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ก็ฉันเรียนด้านนี้มาโดยตรง ไม่เก่งก็น่าอายแย่เลยนะ” พราวตะวันว่าพร้อมรอยยิ้มชื่นชมตัวเอง
“สวยอย่างที่เล็กน้อยว่าจริงๆนะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจาด้านหลังเล็กน้อย
“คุณอัค!” พราวตะวันและเล็กน้อยเรียกชื่อคนมาใหม่พร้อมกัน
“ครับ ผมเอง” อคีราห์ตอบรับแล้วฉีกยิ้มกว้างตามประสาคนอัธยาศัยดีผิดกับใครบางคน
“มายังไงคะเนี่ย เชิญนั่งค่ะ” พราวตะวันวางพู่กันแล้วผายมือให้อคีราห์
“ผมขับรถมาน่ะครับ เดินมาคงไม่ไหว” น้ำเสียงปนหัวเราะของอคีราห์ทำให้พราวตะวันยิ้ม
“ฉันรู้หรอกค่ะว่าคุณอัคไม่ได้เดินมาแน่”
“ความจริงผมอยากมาเยี่ยมคุณพราวตั้งนานแล้วล่ะครับ แต่เพราะไม่กล้าสู้หน้าเลยไม่ได้มา…”
“โถ่…พราวซะอีกที่ต้องไม่กล้าสู้หน้าคุณอัค เล่นโกหกเรื่องที่มาของตัวเองกับคนที่มาช่วยแบบนั้น”
“ถ้าคุณไม่โกหกแล้วบอกว่าเป็นบุลันตรา เราคงไม่ได้มานั่งคุยกันแบบนี้หรอกครับ…อย่าคุยเรื่องเครียดกันเลย นี่คุณพราวกำลังวาดอะไรอยู่ ฝีมือใช้ได้เลยนะ”
“พราวกำลังออกแบบชุดสูทให้พี่ชายคุณอัคน่ะค่ะ…เป็นคำสั่ง”
“พี่คินเขาเป็นพวกบ้าอำนาจ ชอบใช้คำสั่ง…เอ่อ ผมขอไม่พูดเรื่องคุณพราวกับพี่คินนะครับ ผมไม่รู้จะช่วยคุณได้ยังไงเลยจริงๆ” อคีราห์ทำหน้ารู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พราวเข้าใจ ที่พราวต้องอยู่ที่นี่ก็เพื่อรอวันพิสูจน์ว่าบุลันตราไม่ได้สั่งยิงเขา คุณอัคอย่าคิดมากเลยนะคะ”
“ครับ…งั้นแสดงว่าเราก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ ใช่ไหมครับ” อคีราห์ยิ้มกว้างถามใบหน้างานตรงหน้า
“ก็…น่าจะได้นะคะถ้าเราอายุเท่ากัน แต่ถ้าให้เดา พราวว่าพราวน่าจะต้องเรียกว่าพี่อัคมากกว่า” พราวตะวันหัวเราะ
“ผม 28” อคีราห์พูดพรางหัวเราะไปด้วย
“พราว 24 ค่ะ”
“งั้นพี่ก็เป็นพี่อัค ส่วนตรงหน้าก็คือน้องพราว อายุต่างแต่เราเป็นเพื่อนกัน ตกลงนะครับ” อคีราห์ยื่นมือขวาไปตรงหน้าพราวตะวันพร้อมรอยยิ้ม
“ตกลงค่ะพี่อัค” พราวตะวันยื่นมือไปจับมือของอคีราห์พร้อมรอยยิ้มเช่นกัน
“พราวให้พี่ช่วยอะไรก็บอกนะ พี่ถนัดเรื่องศิลปะเป็นที่หนึ่งเลย”
“จริงเหรอคะ”
“อื้ม…พี่จบมาโดยตรง ตอนนี้ทำสตูดิโอกับแกลเลอรี่แสดงภาพอยู่บนเกาะดาว”
“แกลเลอรี่…ใช่ The Passion หรือเปล่าคะ”
“พราวเคยไปเหรอ” อคีราห์เลิกคิ้วถามพร้อมรอยยิ้ม
“ไปมาสองสามครั้งแล้วค่ะ ทุกครั้งที่กลับมาที่บ้านพราวก็จะไป นึกไม่ถึงว่าเป็นของพี่อัค”
“อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้ วันหลังพี่จะพาไปดูงานแสดงอีกนะ”
“เราทำแบบนั้นได้เหรอคะ” พราวตะวันหุบยิ้มถามอคีราห์เสียงอ่อย
“ได้สิ ถ้าพี่คินไม่รู้” อคีราห์ทำนิ้วชี้จุ๊ปาก
“จริงสินะคะ” พราวตะวันยิ้มกว้างเมื่อเห็นหนทาง ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
รถของอนาคินวิ่งเข้ามาจอดที่โรงจอดรถหน้าบ้านท้ายเกาะ ก่อนที่ร่างจะลงมาก่อนที่เล็กน้อยจะวิ่งเข้ามารับสูทกับกระเป๋า อนาคินเลิกคิ้วขวาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังมาไกลๆ
“เสียงใครคุยกัน” เขาถามเล็กน้อยขณะกำลังเดินเข้ามาในบ้าน
“คุณอัคมาน่ะค่ะ กำลังคุยอยู่กับคุณพราวริมสระว่ายน้ำ”
พอได้ยินอย่างนั้นอนาคินก็รีบก้าวเท้ายาวตรงไปที่ริมสระว่ายน้ำหลังบ้านทันที และสิ่งที่เขาได้เห็นคือพราวตะวันที่มีรอยยิ้มสดใสกับเสียงหัวเราะ กำลังนั่งคุยอยู่กับอคีราห์ผู้เป็นน้องชายอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ฝันกรามของอนาคินขบกันแน่น เขากระชากเนคไทน์ออกให้หลวมอย่างไม่พอใจ กล้าดีนักนะที่ยิ้มกับชายคนอื่นต่อหน้าเขาแบบนี้
“อ้าว! พี่คิน?” อคีราห์เรียกพี่ชายเมื่อหันมาเห็นว่าเขากำลังยืนมองอยู่
“แกมาทำอะไรที่นี่อัค” อนาคินถามอคีราห์ทั้งๆที่สายตากำลังจ้องพราวตะวันราวกับจะกลืนกินให้ได้
“ผมมาเยี่ยมพราวน่ะ อยู่ต่างบ้านแบบนี้กลัวเขาจะเหงา” อคีราห์ที่ยังไม่รู้ตัวตอบพร้อมรอบยิ้ม
“กลัวจะเหงา?” อนาคินทวนคำเสียงแข็ง
“นายคงจะไม่ว่าอะไรนะ ถ้าพี่อัคเขาจะมาเยี่ยมฉันบ้าง” ได้ทีพราวตะวันก็เริ่มพูดจายั่วอารมณ์อนาคินพร้อมรอยยิ้มยียวน
“พี่อัคเหรอ…นี่ไปนับญาติกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่ได้นับญาติสักหน่อย เรามีหลายเรื่องที่เข้ากันได้คุยกันถูกคอเลยตกลงเป็นเพื่อนกันแต่พราวอายุน้องกว่าเลยเรียกผมว่าพี่”
หลายเรื่องเข้ากันได้
คุยกันถูกคอ
เดี๋ยวได้รู้แน่ว่าใครจะเข้าเธอได้ก่อนกัน อนาคินคิดในใจก่อนจะถอนหายใจออกมาเพื่อสงบสติอารมณ์หึงหวง ซึ่งไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ
“พราวตะวัน ไปเตรียมอาหารฉันหิวแล้ว” อนาคินออกคำสั่งเสียงแข็ง
“นี่พราวต้องทำอาหารเองด้วยเหรอ แล้วเล็กน้อยล่ะ” อคีราห์ถามขึ้นอย่างสงสัย
“นายก็รู้ว่าทุกคนต้องทำงาน” อนาคินตอบเสียงนิ่ง
“พี่อัคอยู่ทานด้วยกันสิคะ” พราวตะวันแสร้งทำเสียงหวานพร้อมรอยยิ้มชวนอคีราห์
“ดีเลยครับ เดี๋ยวพี่ไปช่วยนะ”
อนาคินมองตามทั้งสองคนที่พากันเดินเข้าไปในบ้าน มือของเขากำแน่น อีกทั้งกรามที่ขบกันด้วยความโมโห เธอกำลังยั่วโมโหเขา และมันได้ผล อยากจะรู้นักว่าถ้าอคีราห์กลับบ้านไปแล้ว ยังจะกล้ายั่วอยู่ไหม
อนาคินนั่งมองพราวตะวันและอคีราห์ที่ช่วยกันทำอาหารอย่างสนิทชิดเชื้ออยู่ที่โต๊ะอาหาร เขาแทบจะรอให้อคีราห์รีบกินข้าวแล้วกลับไปไม่ไหว อยากจะขย้ำสองเต้าที่คลอเคลียแขนน้องชายผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ให้แหลกคามือ
พราวตะวันเหลือบมองอนาคินด้วยรอยยิ้ม สะใจนักที่ได้เห็นคนใจร้ายโมโหจนแทบขาดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเกรงใจน้องชาย นึกแล้วอยากให้อคีราห์มาที่นี่บ่อยๆ เพราะนอกจากจะมีเพื่อนคุยที่ถูกคอ จะมีตัวช่วยยั่วประสาทใครบางคนอีกด้วย
“ไว้พี่อัคมาบ่อยๆนะคะ พราวอยู่คนเดียวไม่ค่อยได้คุยกับใคร” พราวตะวันทำเสียงหวานบอกอคีราห์ขณะที่เขากำลังจะกลับ อีกทั้งเพราะรู้ว่าใครบางคนกำลังมองอยู่
“ได้เสมอ…พี่ไปก่อนนะพราว” ว่าแล้วอคีราห์ก็ขึ้นรถแล้วขับออกไป
พอส่งอคีราห์เสร็จพราวก็ตะวันเดินมาเก็บอุปกรณ์วาดรูปที่โต๊ะริมสระว่ายน้ำ เธอแอบชำเลืองมองหาอนาคิน แต่ก็ไม่พบว่าเขาอยู่ชั้นล่างของบ้านแล้ว
“ตลกชมัด” พราวตะวันพูดกับตัวเองนึกตลกที่เธอยั่ว อนาคินได้
หมั่บ!
อนาคินที่เดินอ้อมมาจากข้างหลังเข้ามาคว้าแขนพราวตะวันไว้อย่างแรง
“อ๊ะ!” พราวตะวันร้องเสียงหลงเซตัวไปตามแรงกระชากจนเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของอนาคิน
“ตลกอะไร?!” อนาคินถามเสียงแข็ง มือก็บีบแขนพราวตะวันแน่น
“ฉันเจ็บนะ!” พราวตะวันใบหน้านิ่วด้วยความเจ็บจากแรงบีบที่แขน
“เจ็บเหรอ…เจ็บแค่นี้เธอทนไม่ได้ แล้วถ้ามากกว่านี้จะไม่ตายไปเลยหรือไง!”
“ไม่มีอะไรเจ็บกว่าการที่โดนนายจับมาขัง แล้วปู้ยี่ปู้ยำฉันอย่างกับไม่ใช่คนอีกแล้วล่ะ!”
“เดี๋ยวเธอจะได้รู้ ว่าปู้ยี่ปู้ยำที่แท้จริงมันเป็นยังไง!”
ตู้ม!!!
เสียงแรงปะทะของน้ำในสระดังขึ้นเมื่ออนาคินกอดร่างบางของพราวตะวันกระโดดลงไปจนจมไปใต้น้ำทั้งคู่ พอตั้งสติได้ก็พยายามถีบตัวเองเพื่อขึ้นจากน้ำ แต่แล้วเธอก็โดนอนาคินดึงตัวเอาไว้ก่อนจะกุมคอของเธอล็อคเข้ามากดริมฝีปากเพื่อจุมพิตอย่างดุเดือดภายใต้สระน้ำ…
