ตอนที่ 2 การทรยศครั้งสุดท้าย
ตอนที่ 2 สวรรค์เมตตา.
ความเจ็บปวดจากการถูกฉีกกระชากจิตวิญญาณหายไป ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกประหลาด แสงแดดอุ่นๆ ที่ส่องกระทบเปลือกตา กลิ่นกระดาษเก่าๆ ของหนังสือ และเสียงจอแจของวัยรุ่นที่ดังมาจากนอกหน้าต่าง...
ซูเหม่ยหลินค่อยๆ ปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพแรกที่เห็นไม่ใช่เพดานสีขาวปลอดเชื้อของห้องผู้ป่วย แต่เป็นเพดานปูนสีเหลืองนวลที่มีรอยแตกลายงาจางๆ เธอขมวดคิ้ว กลิ่นอายเหล่านี้ บรรยากาศแบบนี้ มันช่างคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ
เธอพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง และต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างกายของเธอขยับได้อย่างอิสระ ไม่มีสายระโยงระยาง ไม่มีเครื่องช่วยหายใจ มีเพียงชุดนอนผ้าฝ้ายธรรมดาๆ ที่เธอสวมอยู่ ร่างกายนี้ มันเบาและเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ไม่ใช่ร่างที่แห้งเหี่ยวบนเตียงผู้ป่วย
เธอสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ห้องที่รกเล็กน้อย มีกองหนังสือเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และทฤษฎีเศรษฐศาสตร์วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะ บนผนังมีโปสเตอร์งานสัมมนาสตาร์ทอัพที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน ทุกอย่างในห้องนี้ตะโกนบอกเธอว่านี่คือ...
“หอพักมหาวิทยาลัยอย่างนั้นรึ...”
เธอพึมพำกับตัวเอง เสียงที่ออกมาแหบพร่าเล็กน้อย แต่ก็เป็นเสียงของเธอ... เสียงในวัยเยาว์
หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก เธอถลาลงจากเตียง วิ่งไปที่กระจกบานเล็กที่แขวนอยู่บนผนัง และภาพที่สะท้อนกลับมาก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ
ใบหน้าในกระจกคือซูเหม่ยหลินในวัยยี่สิบปี ผิวพรรณยังคงสดใส ดวงตายังคงมีความมุ่งมั่นและไร้เดียงสา ไม่มีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักหลายปี ไม่มีเงาแห่งความเจ็บปวดจากการถูกทรยศ ผมยาวสีดำขลับถูกมัดรวบไว้อย่างลวกๆ เธอยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของตัวเอง... สัมผัสอุ่นๆ ที่ตอบสนองกลับมาเป็นของจริง
นี่มัน... เกิดอะไรขึ้น?
เธอเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าที่วางอยู่บนโต๊ะ รีบคว้ามันขึ้นมาเปิดหน้าจอทันที ตัวเลขที่ปรากฏขึ้นทำให้เลือดในกายเธอเย็นเยียบ
วันที่ 23 สิงหาคม 2015
สิบปี... เธอย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนวันที่เธอจะ เสียชีวิตบนเตียงในโรงพยาบาล!
ความทรงจำอันเลวร้ายในห้องผู้ป่วยทะลักเข้ามาในหัวอีกครั้ง คำพูดที่โหดร้ายของเฉินอี้ฟาน... เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของไป๋เสวี่ย... ความเจ็บปวด... ความอัปยศ... ความตายอันน่าสมเพช...
“อ๊ากกกกกกกกก!!!”
เธอทรุดตัวลงกับพื้น กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง แต่แล้วก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพื่อไม่ให้เสียงดังออกไปข้างนอก น้ำตาแห่งความเจ็บแค้นไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง นี่ไม่ใช่ความฝัน นี่คือความจริงที่น่าเหลือเชื่อที่สุด!
เธอร้องไห้... ร้องไห้ให้กับความโง่เขลาของตัวเองในอดีต ร้องไห้ให้กับความไว้ใจที่มอบให้คนผิด ร้องไห้ให้กับความรักที่กลายเป็นยาพิษทำลายชีวิตของเธอเอง
“ความไว้ใจคือยาพิษที่หอมหวานที่สุด... และฉันดื่มมันจนหยดสุดท้าย” เธอพึมพำกับตัวเอง
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งหยาดน้ำตาเหือดแห้งไปหมดแล้ว ซูเหม่ยหลินค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นยืน เธอกลับไปมองหน้าตัวเองในกระจกอีกครั้ง แต่คราวนี้ ดวงตาที่สะท้อนกลับมาแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ความไร้เดียงสาได้หายไปแล้ว เหลือเพียงความเย็นชาที่ลึกล้ำราวกับหุบเหวแห่งขั้วโลกเหนือ ความเศร้าโศกถูกแช่แข็งกลายเป็นความเคียดแค้นที่พร้อมจะแผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง
หากนี่คือโอกาสครั้งที่สองที่สวรรค์มอบให้ เธอก็จะไม่ใช้มันเพื่อมีความสุข แต่จะใช้มันเพื่อลากคนทรยศเหล่านั้นลงนรกไปพร้อมกับเธอ!
“ในเมื่อสวรรค์ให้โอกาส... ฉันก็จะเป็นยมทูตทวงหนี้ชีวิตของพวกมันเอง”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ตื่นขึ้นมา มันเป็นรอยยิ้มที่งดงาม... และอันตรายถึงขีดสุด
เธอนั่งลงที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ เปิดเครื่องขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สมองที่เคยเก็บงำข้อมูลมหาศาลจากโลกอนาคตอีกสิบปีข้างหน้าเริ่มทำงานราวกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เธอรู้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น รู้ว่าบริษัทไหนจะล้ม รู้ว่าเทคโนโลยีอะไรจะมา และที่สำคัญที่สุด... เธอรู้ทุกย่างก้าวของแผนการที่เฉินอี้ฟานและไป๋เสวี่ยจะใช้เพื่อเหยียบย่ำเธอขึ้นไปสู่ความสำเร็จ
วันที่ 23 สิงหาคม 2015... ถ้าเธอจำไม่ผิด วันพรุ่งนี้ คือวันที่เธอจะต้องนำเสนอโครงสร้างพื้นฐานของ ‘ยูนิเวิร์สคอยน์’ ให้อี้ฟานดูเป็นครั้งแรก มันคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง... และมันจะเป็นจุดจบของพวกมันเช่นกัน
ทันใดนั้นเอง...
ครืด... ครืด...
โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นขึ้น หน้าจอสว่างวาบพร้อมกับชื่อที่ทำให้ไอสังหารแผ่ออกมาจากร่างของเธอโดยไม่รู้ตัว...
‘อี้ฟาน’
ซูเหม่ยหลินจ้องมองชื่อนั้นนิ่งงัน หัวใจที่เคยเต้นแรงเมื่อเห็นชื่อนี้ในอดีต บัดนี้กลับสงบนิ่งราวกับผืนน้ำแข็ง เธอปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกดรับสายด้วยมือที่มั่นคง
“ฮัลโหล เหม่ยหลิน อยู่ไหนน่ะ? ฉันโทรหาตั้งหลายครั้ง” เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยดังมาจากปลายสาย
“เรื่องโปรเจกต์ที่เราคุยกันไว้ พรุ่งนี้เธอพร้อมพรีเซนต์ให้ฉันดูใช่ไหม? อัลกอริทึมที่เธอเขียนน่ะ ฉันตื่นเต้นจนรอไม่ไหวแล้วนะ”
ซูเหม่ยหลินหลับตาลงช้าๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสะกดกลั้นความเกลียดชังที่พุ่งพล่าน ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของเธอคมกริบราวกับใบมีด
เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและเย็นชาจนคนฟังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“เรื่องนั้น...”
เธอเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่จุดชนวนสงครามขึ้นเป็นครั้งแรก
“...ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
ติ๊ด!
เธอเป็นฝ่ายกดตัดสายทันที ไม่รอให้ปลายทางได้เอ่ยคำใดๆ อีก
เกมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว... แต่ครั้งนี้ ผู้คุมกฎคือเธอแต่เพียงผู้เดียว
****
