46 ข้าไม่ยินยอมให้ท่านตาย
"พี่เฉิน!" ร่างบางในชุดคลุมน้ำเงินรีบวิ่งไปหาหนึ่งในทหารที่ตามนางมาด้วย ในใจร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก
ฮ่องเต้ของนาง ในนิมิตรนั้น เลือดนั้น ทำให้นางมือสั่นจนห้ามตนเองไม่อยู่
"มี่เอินเจ้าเจองูรึ?" จางเฉินเห็นนางวิ่งมาหน้าตั้งก็คิดว่าเจอสัตว์ร้ายอะไรเข้า
เหรินเยว่เทียนที่อยู่แถวนั้นด้วยก็รีบวิ่งมาดูด้วยความเป็นห่วง
"โรงน้ำชาชื่อเยว่กวาง*ท่านรู้จักหรือไม่?" ดวงตากลมเบิกโตคล้ายมีน้ำตาชั้นบางเคลือบอยู่หนึ่งชั้น (เยว่กวาง แปลว่าแสงจันทร์)
เหรินเยว่เทียนมองท่าทางร้อนลนของนางด้วยความแปลกใจ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนักบวชหญิงเป็นเช่นนี้
"รู้จัก" จางเฉินก่อนได้มาเป็นทหารในวัง ได้รับมอบหมายลาดตะเวนที่นอกวังอยู่ห้าเดือน เป็นคนที่รู้จักในเมืองหลวงทุกซอกทุกมุม นางถามถูกคนแล้ว
"อยู่ที่ใด!?" จูมี่เอินขยับเท้าไปอีกก้าวเร่งให้เขาตอบ
"เป็นร้านน้ำชาที่ตั้งอยู่ที่เขตชานเมือง"
"รีบเถิด ต้องรีบไป" จูมี่เอินวิ่งหันหลังกลับทันทีไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นอะไร นางกลับไปที่ม้าของตน ปีนขึ้นม้าด้วยตนเองทั้งที่ยามปกติต้องมีคนคอยช่วยเพราะตัวนางค่อนข้างตัวเล็ก "นำทางข้าที!" ขึ้นไปได้นางก็ตะโกนบอก
พูดให้คนอื่นนำทางแต่ร่างบางในชุดน้ำเงินก็ควบม้าจากไปก่อนแล้ว
"แต่เราต้องกลับวังหลวงนะ" จางเฉินตะโกนแต่คนฟังไม่อยู่รอแล้ว
"ตามนางไปก่อนเถิด ไม่ใช่เสด็จพี่ส่งพวกเจ้ามารักษาคามปลอดภัยให้นางหรือไร" เหรินเยว่เทียนมองออกตั้งแต่แรกว่าสองคนนี้ถูกใครส่งมา ตอนที่เขาจะเดินทางกลับเป็นเพื่อนจูมี่เอินสองคนนี้ก็รั้งจะตามมาให้ได้ มันแปลกมากที่ทหารของวังจะทำอะไรแบบนี้หากไม่ได้รับคำสั่ง และที่แปลกสุดคงจะเป็นพี่ชายของเขามากกว่า
หวงตงที่ได้ยินเสียงควบม้าออกไปก็รีบควบม้ามาทางจางเฉินทันที มองหาคนที่ตนต้องคอยดูแลก็ไม่อยู่แล้ว เห็นเพียงอ๋องห้าที่ควบม้าออกไป
"รีบตามนางกันเถอะ" จางเฉินกระโดดขึ้นม้าของตนด้วยความว่องไว ตามรั้งท้ายไปพร้อมกับหวงตง
ระหว่างทางที่ตามจูมี่เอินไปจางเฉินก็คิด ท่านอ๋องห้าท่านคาดการณ์ผิดแล้ว ฮ่องเต้มีรับสั่งมาถึงพวกเราสองคนก็จริง แต่ไม่ใช่ทำเพียงอารักขานางให้นางปลอดภัยเท่านั้น พระองค์ยังคงย้ำห้ามให้นางออกนอกเส้นทางอีกด้วย แต่ตอนนี้พวกเขาจะห้ามได้ยังไง ตามก็แทบจะตามไม่ทันอยู่แล้ว ม้าของนางกินหญ้าผิดหรือถึงได้วิ่งไวขนาดนั้น
"มี่เอินเราต้องกลับวัง" จางเฉินควบม้ามาขนาบข้างเมื่อพวกเขาใกล้ถึงทางเข้าเมือง และดูเหมือนจูมี่เอินจะชะลอความเร็วของม้าลงเพื่อรอให้จางเฉินมานำทาง
"พี่เฉิน ข้าไปแค่ครู่เดียว เรากลับทันแน่"
เห็นสีหน้าเป็นกังวลของนางจางเฉินก็ไม่กล้าจะถามอะไรมาก ปกตินางมักจะมีรอยยิ้มบางๆ ทำอะไรค่อนข้างนุ่มนวล เขาตัดสินใจในที่สุด ยังไงที่ตั้งของโรงช้ำชาก็ใช้เวลาไปกลับไม่เกินหนึ่งก้านธูป ทำเรื่องของนางให้เสร็จก็คงไม่กินเวลามากเกินกว่านั้นเท่าไหร่ แถมพวกเขาเดินทางมาไว้กว่าเดิมหนึ่งวัน น่าจะไม่เป็นที่ผิดสังเกตมากนัก
"ได้ รีบไปรีบกลับ" จางเฉินสะบัดมือที่กำบังเหียนไว้เพื่อส่งแรงไปบอกม้าของตนให้วิ่งไว้ขึ้น นำทางทั้งสามคนไปทางโรงน้ำชาที่จูมี่เอินได้ถามไปก่อนหน้านี้
จูมี่เอินไม่รู้เวลา แต่รู้ว่าเป็นวันนี้แน่ ในภาพนิมิตรนั้นแสงด้านนอกเหมือนจะเป็นเวลาใกล้ค่ำ ในตอนนี้ก็แทบไม่มีแสงแล้วเหมือนกัน ไม่รู้นางจะไปทันหรือไม่
'ขอให้ทันเถิด ข้าช่วยพระองค์มาสี่คราแล้ว ครั้งที่ห้าก็ต้องช่วยได้!' คิ้วเรียวขมวดเป็นปม คนตัวเล็กก้มตัวลงต่ำเพื่อทรงตัวบนหลังม้าให้ดีขึ้นกว่าเดิม มือสองข้างของนางเต็มไปด้วยเหงื่อกำบังเหียนในมือแน่น
นางกลัว กลัวว่าสิ่งที่พยายามมาหลายครั้งหลายคราจะเปลี่ยนไป หากเขาตาย แสดงว่าการช่วยเขาทั้งสี่ครั้งที่ผ่านมา เป็นเพียงการยื้อเวลาเท่านั้น เช่นนั้นคนในหมู่บ้านก็จะต้องจบชีวิตเช่นกัน
หัวใจดวงน้อยที่เต้นไม่เป็นจังหวะยังนึกถึงแคว้นที่ไร้ฮ่องเต้ปกครอง เขายังไม่มีองค์รัชทายาท ยามนั้นคงเกิดจลาจลขึ้นแน่ บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟจากการแย่งชิงอำนาจกันในวัง นางต้องหยุดชะตาครั้งนี้ให้ได้ ไม่อาจให้เขาจากไป!
ผ่านประตูเมืองแล้ว แสงจากท้องฟ้าไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ล่วงเลยเวลาที่นางเห็นไปสักพัก แต่ใจก็ภาวนาให้ไปทัน ถึงเหตุการณ์มันจะเกิดไปแล้วแต่อาจยื้อชีวิตเขาไว้ได้
เมื่อมองเห็นร้านน้ำชาร่างบางก็รีบควบม้าไปทางนั้นด้วยความไว ยามใกล้ถึงนางก็หยุดม้าลงแล้วกระโดดลงจากม้าด้วยความตนเอง หลังจากทรงตัวได้ก็หายเข้าไปในซอยมืดๆ ทันที
นางคิดจะหนี! หวงตงหันมองหน้าจางเฉิน เมื่อหยุดม้าได้ก็รีบตามนางไปทันที มิน่าฮ่องเต้ถึงย้ำให้พานางกลับไปให้ได้ ที่แท้นางก็มีแผนจะหนีตั้งแต่แรก
เหรินเยว่เทียนควบม้ามาถึงทีหลังสุดก็ทันได้เห็นคนตัวเล็กกระโดดลงม้าไปอย่างคล่องแคล่ว ร่างบางในชุดคลุมสีน้ำเงินวิ่งหายไปในซอยของร้านน้ำชา ทั้งที่นางบอกว่าเพิ่งหัดขี่ม้าได้ไม่นาน แต่เมื่อถึงเวลาที่ไม่คิดหน้าคิดหลังก็สามารถกระโดดลงจากม้าโดยไม่ล้มหน้าคว่ำไป ทำให้เหรินเยว่เทียนต้องมองนางใหม่อีกครั้ง
จูมี่เอินตัวเล็กมาก เล็กจนเหมือนจะโดนลมพัดได้ง่ายๆ แต่ความสามารถไม่ธรรมดาจริงๆ เห็นนางมีท่าทางแปลกไปเขาเองก็ร้อนใจตามเช่นกัน พอหยุดม้าได้ก็รีบตามไปทันที
จูมี่เอินได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลังร้องให้นางหยุด ยามปกติในวังมีกฏห้ามวิ่งให้ค่อยเดินอย่างเป็นระเบียบ นางก็ค่อยเดินตามกฏที่ตั้งไว้ แต่ตอนนี้ใครจะคิดว่านางสามารถวิ่งได้ไวขนาดนี้ แน่นอน คนที่หาบน้ำขึ้นเขาเป็นประจำขาย่อมแข็งแรงอยู่แล้ว เรื่องวิ่งเร็วแค่นี้ถือว่าสบายมาก
นางไม่ได้สนใจเสียงเรียกด้านหลังยังคงวิ่งเข้าไปลึกขึ้นกว่าเดิม เลี้ยวไปตามทางมืดๆ ในความทรงจำของตน
กึก
ในที่สุดนางหยุดลง แต่ไม่ได้หยุดเพราะเสียงเรียกจากทางด้านหลัง เสียงพวกนั้นเหมือนอยู่ใกล้ก็จริงแต่ไม่ได้เข้ามาในหูของนางแล้วในตอนนี้ หากแต่ที่นางหยุดนั้นเพราะนางเจอคนที่ต้องการหาแล้วต่างหาก
ดวงตากลมโตจ้องมองเขาผ่านความมืดที่ยังไม่ค่อยชิน แต่รับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศ หรี่ตามองลงอีกนิดก็เห็นว่าชุดสีฟ้าอ่อนแบบสามัญชนบนพระวรกายของฮ่องเต้เต็มไปด้วยเลือดเป็นทางยาว เลือดนั้นพาดจากไหลขวามาเอวซ้าย สีแดงสดของมันที่กระจายแทรกซึมผ่านผ้าราวกลับเป็นลายของชุดก็ไม่ปาน
หัวใจบางกระตุกวูบ
"ฝ่าบาท..." นางเรียกเขาเสียงเบา มือสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
"มี่เอิน?" เสียงในความมืดตอบกลับมาด้วยความแปลกใจ
