45 ถูกเรียกตัวกลับ
แม้การช่วยเหลือท่านหมอและชาวบ้านจะไม่ได้ยากอะไรแต่ก็อยู่ต่างที่ทำให้รู้สึกแปลกไปบ้าง พอมีเหรินเยว่เทียนมาอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยด้วยทั้งวันก็ทำให้คล้ายตนเองได้กลับไปอยู่ที่อารามของหมู่บ้านจิ้งสบายใจอย่างหายห่วง
"ฮ่องเต้ทรงส่งเจ้ามาช่วยปัดเป่าวิญญาณอย่างนั้นหรือ" เหรินเยว่เทียนหาบน้ำเข้ามาในห้องครัวสองถัง เขาวางมันลงแล้วยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อ คราบคุณชายเจ้าสำราญถูกปัดทิ้งไปจากสายตาของจูมี่เอินแล้ว
"..." จูมี่เอินพยักหน้าไป เป็นการโกหกที่นางไม่ชินเอาเสียเลย "แต่ดีที่ยังไม่มีผู้เสียชีวิต" จูมี่เอินยกยิ้มขึ้น เดินไปหาเขาแล้วตักน้ำไปเติมในข้าวต้มที่ต้มไว้อยู่ในกระทะใหญ่
ภายในห้องครัวที่มีเพียงคนสองคน กับไปความร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากอาหาร เป็นภาพความทรงจำที่เหรินเยว่เทียนไม่เคยได้พบ ยามได้มองสตรีผู้นี้ทำอาหารก็ดูสงบใจอย่างบอกไม่ถูก การที่นางเป็นนักบวชมันทำให้ความรู้สึกของคนรอบข้างเบาสบายใจเช่นนั้นหรือไม่
"..." เหรินเยว่เทียนมองยังคงมองดูจูมี่เอินทำอาหาร และคิดว่าการช่วยเหลือมาทันได้ยังไง แม้จะดีที่ราษฎรในหมู่บ้านยังไม่มีใครเสียชีวิตจากโรคท้องร่วง แต่การส่งเสบียงมาได้ไวเช่นนี้ก็ค่อนข้างแปลก ตามที่ได้ยินท่านหมอเจียงพร่ำพรรณาถึงพี่ชายเขาตอนรักษาคนป่วยนั้น ท่านหมอพูดว่า
'ฮ่องเต้ช่างปรีชายิ่งนัก เพียงแค่หกวันก็ส่งสมุนไพร อาหาร และน้ำมาถึงหมู่บ้านแล้ว แถมไม่กี่เดือนก่อนฝนก็กลับมาตกต้องตามฤดูกาลเป็นสัญญาณของฮ่องเต้ที่มีบุญญาธิการมาเกิด อีกทั้งความสามารถล้นเหลือ'
แม้นจะบอกว่าส่งจดหมายไปเพียงหกวันเสบียงก็มาถึง แต่เหรินเยว่เทียนก็เหมือนเหรินโยว่หลุนที่เติบโตมาในวังหลวงด้วยกันตั้งแต่เด็ก การคดโกง เล่ห์เหลี่ยมมากมายนั้นเห็นจนชินตา หากผู้ดูแลส่งเสบียงจะยักยอกของไปบางส่วนก็ควรจะมาถึงช้ากว่าหกวันไม่ใช่หรือ ขุนนางพวกนั้นใจดีตั้งแต่เมื่อใดกัน หรือยังพอมีคนที่ให้พี่ชายเขาพอใช้งานได้อยู่บ้าง ถึงทำงานได้รวดเร็วทันใจเช่นนี้
เหรินเยว่เทียนถอนหายใจ เขาจะคิดมากไปทำไม ไม่ใช่เรื่องของเขา และดูท่าต่อให้จับผิดนักบวชหญิงท่านนี้เพียงไรก็คงไม่ได้ความ นางคงไม่รู้เรื่องราวพวกนี้เป็นแน่
จูมี่เอินใช้เวลาในการอยู่ช่วยท่านหมอเจียงเกือบห้าวัน จนกระทั่งเช้าของวันที่ห้าก็ได้รับจดหมายจากวังหลวงเรียกตัวกลับไป
"ท่านนักบวชต้องกลับแล้วหรือ" เจียงหลี่เฉียงเมื่อรู้ว่าจูมี่เอินต้องกลับแล้วก็รู้สึกเสียใจอยู่นิดๆ ได้นางมาช่วยจัดการทุกอย่างนั้นง่ายกว่าตอนที่เขาทำคนเดียวมาก ตลอดหลายวันที่มีนางมาอยู่ที่โรงหมอด้วยกันก็ได้รู้ว่านางนั้นงดงามจากภายในสู่ภายนอก หากเขามีลูกชายคงอยากให้นางแต่งเข้าบ้านเป็นแน่ เสียดายที่ตนนั้นไม่มีลูกชาย อันที่จริงควรบอกว่าไม่มีภรรยาถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกที่สุด
และอุปสรรค์อีกอย่างคือสตรีที่งดงามผู้นี้เป็นนักบวช ความคิดนั้นของเขาไม่มีเรื่องใดเลยที่สามารถเป็นไปได้ ทว่าได้มองนางในชุดนักบวชแล้วก็กลับคิดว่านางเป็นนักบวชก็ดีเช่นกัน จิตใจเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ครั้งนี้หมู่บ้านแห่งนี้ได้นางและฮ่องเต้ช่วยไว้จริงๆ
"เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ" จูมี่เอินพับจดหมายเก็บคืน "มีอะไรที่ต้องการเพิ่มเติมรึไม่ท่านหมอเจียง"
เจียงหลี่เฉียงส่ายหน้ายิ้มๆเสบียงอาหารที่ถูกส่งมารอบสองเพิ่งมาถึงเมื่อวาน ปริมาณขนาดนั้นสามารถเลี้ยงคนในหมู่บ้านได้เกือบเดือน ความจริงตอนนี้คนป่วยก็เริ่มดีขึ้นแล้วเหลืออีกวันสองวันก็กลับไปทำงานกันปกติ แหล่งน้ำที่เป็นตัวกระจายโรคก็ถูกคนของวังหลวงช่วยจัดการเรียบร้อย น้ำดื่มสะอาดก็ถูกนำมาจากหมู่บ้านใกล้เคียงเพิ่มแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นจูมี่เอินเดินทางกลับพร้อมกับเหรินเยว่เทียนโดยมีทหารนอกเครื่องแบบอีกสองคนตามกลับด้วย นางบอกว่านางจำทางกลับได้และยังมีเหรินเยว่เทียนไปด้วย แต่สองคนนั้นก็ยืนยันที่จะตามไปให้ได้ แถมบอกว่าทางนี้คนเยอะแล้ว จูมี่เอินไม่ชอบต่อความยาวสาวความยืดก็ทำเพียงแค่พยักหน้าเข้าใจให้กับทหารทั้งสองคนก่อนจะหันกลับไป ควบมาเดินไปหาคนที่รออยู่บนม้าด้านหน้า ไม่ทันเห็นสายตาของทหารสองคนที่มองไปยังบุคคลที่สี่
ทหารสองคนมองท่านอ๋องห้าที่ตามมาตั้งแต่สามวันที่แล้ว ท่านอ๋องตามเกาะติดท่านนักบวชไม่ยอมห่าง จนคล้ายสามีมาตามภรรยาที่หนีออกจากบ้านก็ไม่ปาน แต่พวกเขาก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ ทำหน้าที่คุ้มครองท่านนักบวชกลับวังตามที่ได้รับคำสั่งพิเศษมาก็พอ
สองวันหลังการเดินทางกลับเมืองหลวง ครานี้ไม่ต้องขนเสบียงทำให้พวกเขาสี่คนเดินทางอีกแค่ไม่ถึงชั่วยามก็จะถึงทางเข้าเมืองหลวงแล้ว ย่นเวลาขึ้นมาได้อีกหนึ่งวันเต็มๆ
ตลอดการเดินทางมาทำให้จูมี่เอินสนิทกับทหารทั้งสองคนมากขึ้น เหมือนเวลาได้อยู่กับศิษย์พี่ของตน สบายใจไม่มีเรื่องให้ต้องคิด สองคนคุยเก่งมาก นางเองก็ชอบเป็นผู้ฟัง เลยเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทั้งสองคนมีชื่อว่า จางเฉินกับหวงตง เป็นทหารรักษาวังที่ถูกแบ่งมาร่วมเดินทางส่งเสบียงในครั้งนี้ หากกลับไปที่วังเวลาปกติพวกเขาบอกว่านางสามารถไปพบพวกเขาได้ที่ตำหนักของหมอหลวง พวกเขาเฝ้ารักษาการอยู่ละแวกนั้น
ระหว่างทางพักให้ม้าได้ดื่มน้ำกินหญ้า จูมี่เอินที่กำลังลูบแผงคอของม้าอยู่ก็เกิดนิมิตรขึ้นมา
พรึบๆ
นางเห็นชายคนหนึ่งสภาพคล้ายนักโทษ เห็นฮ่องเต้ของนาง สถานที่รอบข้างกลับมืดสนิทมีเพียงแสงจากเทียนเพียงเล็กน้อย ทว่าสิ่งที่ทำให้นางตกใจคือเลือดที่อาบอยู่ที่ตัวของฝ่าบาท
พรึบ
ดวงตาคู่สวยกลับมาเป็นสีดำ นึกหาทางเข้าไปยังสถานที่ที่เห็นเมื่อครู่ในหัว ใช่ ร้านน้ำชา นางเห็นซอยนั้นมีร้านน้ำชา
"พี่เฉิน!" ร่างบางในชุดคลุมน้ำเงินรีบวิ่งไปหาหนึ่งในทหารที่ตามนางมาด้วย ในใจร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก
