บทที่ 6 หัวใจที่เริ่มอ่อนไหว
หลานเยวี่ยซินเป็นฮูหยินของเฮ่อหลิงเทียนมาแล้วร่วมเดือน ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น นางถูกเขาพาเล่นสนุกไม่เว้นแต่ละวัน ทว่ากลับมีสิ่งที่ค้างคาใจของนางคือการที่มารดาเลี้ยงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ซึ่งมันดูผิดแปลกไปจากทุกที ราวกับว่านางมารผู้นั้นกำลังวางแผนทำสิ่งใดต่อไป
ส่วนความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยายังคงไม่มีสิ่งใดคืบหน้าไปมากกว่าการนอนร่วมห้อง เขานอนพื้นส่วนนางนอนบนเตียงใหญ่ ไม่มีการล่วงเกินใด ๆ นอกจากการเล่นสนุก
นางเดินเข้ามายังด้านในของเรือนหอด้วยความเงียบเชียบ เสียงฝีเท้าของหลานเยวี่ยซินดังกังวานเพราะอัญมณีที่ประดับอยู่บนรองเท้ากระทบกัน หลังจากวันนั้นที่นางโดนน้องสาวต่างมารดาเอ่ยถ้อยคำดูถูก เฮ่อหลิงเทียนก็เรียกช่างตัดเย็บมาวัดตัวเพื่อตัดอาภรณ์ใหม่ รวมถึงการซื้อหาเครื่องประดับและรองเท้ามากมายให้กับนาง
หลานเยวี่ยซินก้าวเข้ามาด้วยท่าทางเงียบ ๆ แม้รองเท้าจะมีเสียง ทว่ากลับไม่อาจทำให้บุรุษที่นั่งอยู่มุมห้องแหงนใบหน้าขึ้นมอง
นางจึงรู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะเดินเข้าไปใกล้
เฮ่อหลิงเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในมุมห้อง เขากำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งด้วยท่าทางจริงจัง โดยที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน พอได้มองเขาจากมุมนี้ นางกลับต้องแปลกใจ เพราะท่าทางของเขายามนี้เหมือนดั่งบุรุษทั่วไป ไม่ได้บ้าใบ้เลยสักนิด
แสงเทียนจากโคมไฟพลิ้วไหวอยู่ภายในกระดาษสีเหลืองอ่อนที่ห่อหุ้ม ทำให้แสงที่สาดส่องเป็นสีเหลืองทองทั่วทั้งห้อง จนเกิดเงาสะท้อนร่างสูงใหญ่ของเขาอย่างงดงาม
เฮ่อหลิงเทียนเงยหน้าขึ้นมองหลานเยวี่ยซิน เมื่อรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของนางภายในห้อง
“เหยี่ยซิน รีบเข้ามาสิ ข้าพบวิธีการเล่นหมากล้อมใหม่ ๆ ที่ดูน่าสนใจเสียยิ่งนัก”
หลานเยวี่ยซินยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงข้าง ๆ เขา นางไม่ตอบคำถาม แต่เข้ามานั่งเงียบ ๆ ข้างกายเขาเพียงเท่านั้น นางนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งเพราะมัวแต่มองเขาด้วยสายตาที่เหม่อลอย ผู้เป็นสามีเมื่อยามสงบนิ่งนั้นดูมีเสน่ห์ราวกับบัณทิตรูปงามในยามตั้งใจอ่านตำรา หากเขาไม่ตกเขาไปในครานั้น เห็นทีทั่วทั้งต้าเฟิงคงไม่มีบุรุษใดเทียบเคียง ฉับพลันเสียงหัวใจของนางก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ตึกตัก ตึกตัก
“เจ้ากังวลอันใดอยู่หรือ ถึงได้นั่งนิ่งเฉย ไม่พูดอะไรกับข้า”
เฮ่อหลิงเทียนมองไปที่ฮูหยินของตัวเองก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเบา เมื่อเห็นสีหน้าที่ครุ่นคิดของนาง
“ข้าคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพียงเท่านั้น”
หลานเยวี่ยซินหลุดจากภวังค์ แล้วส่งยิ้มจาง ๆ ให้กับเขา ดวงตาคู่คมคู่นั้นฉายแววความห่วงใยเอาไว้อย่างเปี่ยมล้น
เฮ่อหลิงเทียนยิ้มกว้าง ก่อนจะหยิบหนังสือที่อยู่ในมือขึ้นมาเปิดพลิกไปยังหน้าที่ต้องการ ก่อนจะหันไปถามนางอีกครั้ง
“หรือว่าเจ้ากำลังหลงเสน่ห์ข้า...”
หลานเยวี่ยซินเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ดูเหมือนว่าเหล่ากุนซือทั้งหลายจะเสี้ยมสอนเล่ห์ร้ายให้กับเขาอีกแล้ว
เฮ่อหลิงเทียนไม่รอให้นางตอบคำถาม เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและวางมือบนโต๊ะไม้เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางของห้อง จนกระดานหมากล้อมกระจายอยู่เต็มพื้น
“ข้าเคยได้ยินมาว่า หากถามคำถามเหล่านี้กับสตรี และได้คำตอบกลับมาเป็นความเงียบ นั่นหมายความว่าสตรีผู้นั้นกำลังรู้สึกหวั่นไหว เจ้าเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ฮูหยินของข้า”
ใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนเข้ามาจนชิดใกล้ ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขาทำให้หัวใจของนางเต้นแรงจนไม่อาจจับจังหวะได้ นัยน์ตาที่เคยใสซื่อฉายแววความเจ้าเล่ห์และร้ายกาจซุกซ่อนเอาไว้
หลานเยวี่ยซินยิ้มออกมาเล็กน้อย ใบหน้าแดงซ่านราวกับผลอิงเถาที่สุกงอม ฝ่ามือเล็กทาบลงบนแผงอกของเขา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“บางทีข้าก็สงสัยว่า...บุรุษเช่นเจ้าหากหวั่นไหวต่อสตรีจะมีอาการเช่นไรกัน”
หลานเยวี่ยซินช้อนสายตาขึ้นมองเขาด้วยความลึกซึ้ง นางเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าบุรุษที่ถูกผู้อื่นเสี้ยมสอน จะมีความคิดเรื่องนี้เป็นของตัวเองหรือไม่
“ข้าไม่อาจตอบเจ้า มีแต่เจ้าต้องหาคำตอบเอาเอง...”
อั่ก
เฮ่อหลิงเทียนโอบรอบเอวคอดกิ่วของนางเข้าประชิดกาย ก่อนจะกดใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม ฝ่ามือหนาประคองใบหน้าของนางเอาไว้ด้วยฝ่ามือเดียว ซ้ำยังเกลี่ยนิ้วมือลงบนแก้มอิ่มของนางด้วยความช่ำชอง ‘บุรุษบ้าเช่นเขา แพรวพราวถึงเพียงนี้เชียวหรือ’ ดูเหมือนว่านางจะสบประมาทเขาเกินไป
“เฮ่อหลิงเทียน เจ้ากำลังแกล้งข้าอยู่หรือ”
เป็นนางที่เป็นฝ่ายหลบสายตาที่ทรงเสน่ห์คู่นั้นของเขาด้วยความเขินอาย ก่อนที่เขาจะจับข้อมือเล็กให้วางทาบลงไปบนตำแหน่งของหัวใจบนแผงอกกว้างใหญ่ของเขา
ตึกตัก ตึกตัก
“ข้าไม่เคยแกล้งเจ้า แต่เสียงหัวใจของข้ามันเต้นผิดจังหวะไปนับตั้งแต่วันที่เจ้าเป็นเจ้าสาวของข้า” เฮ่อหลิงเทียนเชยปลายคางได้รูปให้แหงนมองสบตากับเขา ความรู้สึกของเขามันเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ที่ได้เจอนาง
“เจ้า...”
ยามนี้หลานเยวี่ยซินรู้สึกประหม่าและเขินอายจนทำอะไรไม่ถูก นางได้แต่เบนสายตาหลบไปทางอื่น เพราะหากยังจ้องตาเขาอยู่เช่นนี้แข้งขาของนางคงอ่อนเปลี้ยเป็นแน่
“ข้ารู้ว่าตัวเองนั้นรูปงามเพียงใด หากเจ้าจะหวั่นไหวกับข้าก็คงเป็นเรื่องปกติ” สิ่งที่เฮ่อหลิงเทียนเอ่ยออกมาทำให้นางคืนสติ ราวกับว่าเมื่อครู่เขาได้ถูกมารจิ้งจอกจอมราคะเข้าสิง ทว่ายามนี้เขาได้กลับมาเป็นคนเดิมเสียแล้ว
“หลงตัวเองเสียยิ่งนัก เจ้าเคยจริงจังกับอะไรบ้างหรือไม่”
นางแยกเขี้ยวใส่เขา หลังจากที่เขาทำให้นางออกจากภวังค์ความหลงใหล
“ข้าก็จริงจังกับหลาย ๆ อย่างนะ กับเจ้าข้าก็จริงจัง กับ...การเล่นหมากล้อม ข้าก็จริงจัง!” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ
หลานเยวี่ยซินขมวดคิ้ว จังหวะที่เขาบอกว่าจริงจังกับนางนั้น ทำให้นางรู้สึกดีราวกับโผบินขึ้นสู่ฟากฟ้า แต่กลับถูกเขาดึงตกลงมาเมื่อเขาเอ่ยประโยคต่อไป
“เจ้าว่ากระไรนะ! นอกจากไก่ตัวนั้นแล้ว ยังมีหมากล้อมอีกหรือ”
“แน่นอน หมากล้อมคือการฝึกสมอง แต่...ถ้าเจ้าชอบเล่นบ้าง ข้าก็ยินดีสอนเจ้าทุกเมื่อ” เฮ่อหลิงเทียนพูดเสียงหนักแน่น พร้อมกับกอดอกด้วยท่าทางโอ้อวด
“ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถมากพอที่จะเล่นกับเจ้าได้”
หลานเยวี่ยซินยิ้มกริ่ม และเอ่ยออกมาเป็นการดักคอเขาเอาไว้ นางชอบเล่นหมากล้อมเป็นชีวิตจิตใจ เพียงแต่อยากจะแกล้งเขาก็เท่านั้น
“ไม่เป็นอันใด บางทีการฝึกเล่นไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เจ้าเรียนรู้เอง ถึงแม้เจ้าจะเล่นไม่เก่ง แต่ข้าก็มั่นใจว่า เจ้าจะเอาชนะข้าได้ในวันหนึ่ง”
เฮ่อหลิงเทียนยักไหล่ ด้วยท่าทางมั่นใจ
“เจ้ามั่นใจเกินไปแล้วกระมัง…” หลานเยวี่ยซินหลับตาลงเล็กน้อยแล้วถอนหายใจ
“ฮ่า ๆ ข้าก็แค่พูดความจริงเท่านั้น”
เฮ่อหลิงเทียนยิ้มกว้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ ท่าทางอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน จนนางก็อยากจะรู้ว่าเขาเก่งกาจดั่งเช่นที่โอ้อวดหรือไม่
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขา ทำให้หลานเยวี่ยซินรู้สึกถึงความผ่อนคลายที่นางไม่เคยรู้สึกมาก่อน แม้จะมีความรู้สึกขัดแย้งในหัวใจ แต่นางก็ยอมรับว่า เขามีบางสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากนั้นไม่นาน เฮ่อหลิงเทียนก็หยิบกระดานหมากล้อมขึ้นมาจากพื้น
“เหยี่ยซิน เรามาเล่นหมากล้อมกันดีกว่า ข้าจะได้สอนเจ้า” หลานเยวี่ยซินมองเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มและพยักหน้า
“ข้าก็อยากลองดูเหมือนกัน”
กลิ่นหอมจากใบชาชั้นดีหอมฟุ้งไปทั่วห้อง หลานเยวี่ยซินนั่งจิบชาด้วยความผ่อนคลาย และปล่อยให้เฮ่อหลิงเทียนเป็นฝ่ายจัดวางกระดานหมากล้อม ก่อนเริ่มอธิบายวิธีการเล่นไปตามลำดับด้วยท่าทางที่ดูเชี่ยวชาญ
หลานเยวี่ยซินยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมา เริ่มรู้สึกถึงความสนุกและความตื่นเต้นที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน วินาทีที่ฝ่ามือน้อยได้สัมผัสกับกระดานหมากล้อม ความคิดถึงก็ทำให้นางน้ำตาคลอขึ้นมา นางมักจะร่วมเล่นหมากล้อมกับผู้เป็นบิดาอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ที่นางเพิ่งจะเริ่มเล่น จนกระทั่งเชื่อมโยงความคิดของตัวเองลงไปบนเกมกระดาน
“เป็นกระไรไป เจ้ากลัวว่าข้าจะชนะหรือ ถึงได้ร้องไห้ออกมา ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะออมมือให้” เขายื่นฝ่ามือเข้ามาลูบศีรษะของนางด้วยความอ่อนโยน ดวงตาของเขาทอประกายอันแสนจะอบอุ่น แม้คำพูดของเขาจะแฝงไปด้วยความถือดีก็ตามที
“เปล่าเสียหน่อย ข้าแค่คิดถึงบิดาเท่านั้น และเจ้าก็ไม่ต้องออมมือให้ข้า” นางยิ้มร่าแล้วปาดน้ำตาออกไป
ดวงตากลมโตจับจ้องลงไปที่ตัวหมากบนกระดานด้วยความตั้งใจ แต่ละตัวหมากที่วางลงไปผ่านกระบวนการความคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ฝีมือการเดินหมากของเฮ่อหลิงเทียนนั้นถือว่าไม่ด้อยไปกว่านาง แต่จากที่นางได้ดูก็สามารถเดาได้แล้วว่า ที่ผ่านมาเป็นเขาเล่นหมากล้อมเพียงผู้เดียว จึงไม่อาจตามความคิดของนางได้ทัน
“แพ้! ข้าแพ้เจ้าอีกแล้ว” เฮ่อหลิงเทียนแสดงท่าทีเหน็ดเหนื่อยหลังจากที่เขาแพ้นางห้ากระดานรวดเดียว
“ฮ่า ๆ ไหนว่าจะสอนข้าไม่ใช่รึ” นางหัวเราะขบขัน กับท่าทีกระวนกระวายของเขา ก่อนจะเล่นต่อไปอีกหลายกระดาน
“ฮูหยิน ข้าขอคารวะเจ้า ฝีมือฉกาจยิ่งนัก สอนข้าที” เขาประสานมือให้กับนาง พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนให้นางเป็นฝ่ายสอนเขาแทน
“เจ้าเก่งแล้ว แค่เพียงเจ้าไม่มีสหายร่วมเล่นก็เท่านั้น”
ในขณะที่นางและเขาเล่นหมากล้อมด้วยกัน ทำให้นางได้เห็นเฮ่อหลิงเทียนในหลาย ๆ มุมมอง แม้เขาจะเป็นบ้า ทว่าสติปัญญาของเขายังคงเฉลียวฉลาดและไหวพริบดี เพียงแค่นางแนะนำวิธีการเดินหมาก เขาก็สามารถพลิกเกมจนเอาชนะนางได้ด้วยความรวดเร็ว
บรรยากาศภายในเรือนหอเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เสียงหัวเราะอันแสนอบอุ่น รวมถึงรอยยิ้มกระชากใจของเขา ความจริงใจของเขาเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางเริ่มรับรู้ถึงความพิเศษในตัวของเฮ่อหลิงเทียนมากขึ้น... และสิ่งนั้นทำให้หัวใจของหลานเยวี่ยซินเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาเสียแล้ว