ตอนที่ 10 ลูกชายเจ้าของบริษัทรถไถ
เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศของคฤหาสน์หลังใหญ่ เหมือนจะอบอุ่นขึ้น...
เมื่อโต๊ะอาหารขนาด 10 กว่าที่นั่ง มีอาหารเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ แม้จะมีผู้ร่วมโต๊ะเพียง 4 คนเท่านั้น
หัวโต๊ะมีชายวัยกลางคน ที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับปุณณ์ ที่ใครก็บอกว่าเป็นพิมพ์เดียวกัน แววตาของท่านทอประกายสดใส ราวกับชีวิตนี้ไม่เคยมีสิ่งใดทำให้ขุ่นมัวได้เลย
"อื้อ...อร่อยดีนะมื้อนี้ ต้มยำฝีมือคุณรึเปล่าริสา" ปรเมศ เกษตรทรัพย์เจริญ หันไปถามภรรยาด้วยน้ำเสียงหวาน ซึ่งทำเอาคนที่นั่งอยู่ด้านขวามือของเขา ถึงกับต้องส่ายหน้า
"ไม่ต้องปากหวานไปหรอกค่ะ กลบความผิดเขียดทอดของลูกชายคุณไม่ได้หรอก" ริสา เกษตรทรัพย์เจริญ ว่าพร้อมหันไปมองบุตรชายคนเล็ก ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะฝั่งซ้าย ตรงข้ามกับตัวเองใกล้ๆ กับบิดา ที่กำลังตักอาหารรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย แบบไม่สนใจใคร
ก่อนจะเหลือบไปมองยังบุตรชายคนโต ที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวเอง ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ตักอาหารรับประทานไปแบบเงียบๆ
บรรยากาศร่วมโต๊ะของบ้านหลังนี้ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหน...
แตกต่าง แต่ไม่เคยลงตัว
"หื้อ คุณก็...ผมว่ามันก็อร่อยใช้ได้อยู่นะ" ปรเมศก็อย่างนี้ เขาไม่อยากทำลายบรรยากาศ พอๆ กับไม่พยายามเปลี่ยนแปลงบรรยากาศ
เขาไม่เคยตำหนิบุตรชายคนเล็ก พอๆ กับที่ไม่เคยห้ามปรามบุตรชายคนโต ที่สร้างสงครามประสาทฝ่ายเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ
"คุณน่ะ ระวังท้องเสียนะคะ...ทานเข้าไปได้ยังไง" เมื่อเห็นสามี ตักเขียดทอด ห่อหมกฮวกลงบนจานตัวเอง ริสาก็แทบจะทนไม่ได้
ปุณณ์เหลือบสายตามองไปยังมารดาเล็กน้อย...
คำพูดของคำหล้าก็แว่วเข้ามา
เขาเข้าใจเธออย่างดีเลยล่ะ ว่าทำไมเธออยากจะแบ่งชนชั้นกับเขา ก็เพราะว่ามีบุคคลอย่างมารดาเขานี่ไงล่ะ
"ใช่ครับคุณแม่ อาหารที่ไม่ได้มารตรฐานแบบนั้น ไม่ควรที่จะขึ้นโต๊ะบ้านเราด้วยซ้ำ" ภูมิ เกษตรทรัพย์เจริญ เอ่ยพร้อมรวบช้อนและส้อมลง ประกาศชัดว่าตัวเองจะไม่รับประทานต่อ
ทำให้ผู้เป็นบิดาจำต้องชะงักด้วย...
"อื้อ คงจะจริง" คนนั่งหัวโต๊ะรวบช้อนและส้อมลงบ้าง จนภรรยาต้องเบิกตาขึ้น
ตอนนี้ไร้รอยยิ้มบนใบหน้าของประมุขใหญ่
"ถ้าพ่อไม่ทาน ผมขอนะครับ" ปุณณ์เองก็หัวดื้อใช้ได้ ในคราวที่เขาจะไม่ยอมอะไร
ทั้งๆ ที่ปกติแล้ว เป็นคนง่ายๆ ยังไงก็ได้...และไม่เคยตอบโต้มารดาและพี่ชายเลย
การที่เขาพูดออกมาแบบนี้ทำให้ปรเมศเห็นแล้วว่า บุตรชายคนเล็กจริงจังกับเรื่องนี้แค่ไหน
"“แกไปถ่ายรายการอะไรมา ก่อนจะออนแอร์เอามาให้ฉันดูด้วย อย่าให้เสียภาพลักษณ์บริษัทล่ะ" ภูมิเอ่ยดักขึ้นมา เชิงเข้าเรื่อง
ที่วันนี้เขายอมมารับประทานอาหารร่วมโต๊ะ ตามคำชวนของมารดา ก็เพราะว่าอยากจะมาเตือนปุณณ์เรื่องนี้
"โหยพี่ภูมิ ไม่ขนาดนั้นหรอก ผมไม่ใช่ดาราดังอะไร ไม่มีใครรู้ด้วยว่าผมเป็นลูกชาย KSP ไม่ต้องห่วงไปหรอก" และต่อให้จะไม่พอใจพี่ชายแค่ไหน คนอย่างปุณณ์ก็มีวิธีพูดที่ดูชิลล์ๆ สบายๆ ถอดแบบบิดาออกมาไม่มีผิด
“ว่าได้เหรอ คนติดตามแกเป็นล้าน...มันต้องมีคนสืบบ้างแหละ ถึงแกจะไม่พูดก็เถอะ” ริสาตอบกลับรวดเร็ว แสดงจุดยืนชัดว่าอยู่ข้างใคร เหมือนที่เป็นมาเสมอ
ปุณณ์เงียบไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆ ถอนหายใจออกมา...มองไปยังจานของบิดาเชิงขอเขียดทอดมารับประทาน
แต่คนชิลล์ๆ พอๆ กับเขาอย่างปรเมศ กลับทำเป็นยักไหล่และตักเขียดทอดรับประทาน เคี้ยวโชว์แบบเลือกข้าง ทั้งๆ ที่ไม่ได้พูดอะไร
"เป็นไงบ้างครับพ่อ"
"อื้อ...ใช้ได้ อร่อยนะเนี่ย ขออีกสักคำ" เท่านั้นแหละ ริสาก็ถึงกับค้อนสามีวงใหญ่
ดูเอาเถอะ ยังไงปรเมศก็ให้ท้ายลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาเสมอสิน่า!
"แกๆ นั่นคำหล้าป่ะ..."
"ใช่ๆ คำหล้าที่เป็นญาติพี่เอกอ่ะ"
"งั้นแสดงว่าวันนั้น มันจะได้เจอพี่ปุณณ์สิ!"
เสียงจอแจ หวีดหวิวของเด็กผู้หญิงในรั้วโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดของแก่น แว่วเข้ามาในหูของคำหล้า แต่เธอกลับไม่ได้สนใจ เดินมุ่งหน้าไปยังร้านน้ำปั่น เพราะรู้สึกร้อนจะบ้า...เธอรับวุฒิ ม.6 เรียบร้อยแล้วและวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้ลาเพื่อนๆ
แต่เพื่อนเธอก็ไม่ได้เยอะสักเท่าไหร่
"คำหล้า แกจะกลับเลยป่ะ" สายบัว เพื่อนสนิทที่บ้านอยู่ต่างตำบลเอ่ยถามอย่างรู้สึกเสียดาย ที่ช่วงเวลามัธยมปลาย กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
"อื้อ ตารออยู่อ่ะ...วันนี้จะต้องรีบไปเปล่งน้ำออกจากนา ฝนตกหนักมาหลายวันแล้ว" คำหล้าบอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงสดใส เธอไม่ได้มีทีท่าว่าจะอาลัยอาวรณ์ใคร แม้เพื่อนอยากจะให้เธอไปเดินตลาดนัดหน้าโรงเรียนด้วยก็ตาม
"โอเค เอาอย่างนั้นก็ได้.."
"เดี๋ยวก่อน แล้วผลแอดมิดชั่นนี่ แกจะไปฟังที่ไหน อีกสามวันจะออกแล้ว เน็ตต้องแรงๆ เลยนะเว้ย" สายบัวรีบว่าเชิงเป็นห่วง เพราะรู้ว่าคำหล้าไม่ค่อยจะใช้โซเชียลมีเดียสักเท่าไหร่
"กะว่าจะไปดูบ้านพี่เอกอ่ะ แกติดไวฟาย..." แต่ไม่ทันที่คำหล้าจะพูดจบ กลุ่มผู้หญิงนักเรียนม.ปลายรุ่นเดียวกันก็วิ่งมาหา
"คำหล้าๆ แกได้ขอถ่ายรูปกับพี่ปุณณ์ไหม?" ชื่อของ ปุณณ์ สะดุดเข้าที่ใจของคำหล้าอย่างจัง
หลายวันแล้วที่เขากลับ กทม.ไป แต่ไม่มีวันไหน ที่เธอจะเอาชื่อนี้ออกจากหัวได้
"ปุณณ์ไหน?" เธอพูดเหมือนไม่รู้ ไม่สนใจ หันไปสั่งน้ำปั่นจากแม่ค้า
"ก็...พี่ปุณณ์ที่ดังๆ ในติ๊กต่อกไง ที่เพิ่งมาบ้านแกเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว แกไม่เห็นเลยเหรอ" พวกคนจอมเซ้าซี้ว่าพร้อมเขย่าและพยายามเอารูปของปุณณ์ให้ดู
คำหล้าไม่สนใจก็จริงแต่แอบเหลือบสายตาดู
วิดีโอและรอยยิ้มของเขา ทำเอาหัวใจของเธอชุ่มชื้นขึ้นมา...
บ้าน่า จะดีใจทำไม
"โอ๊ย คำหล้ามันไม่ได้ดูติ๊กต่อกหรอก พวกแกเลิกเซ้าซี้มันได้แล้ว" จนสายบัวต้องเข้ามาช่วย นักเรียนหญิงกลุ่มนั้นถึงเลือกจะล่าถอยไป โดยที่สายบัวไม่รู้เลยว่า เพื่อนรักของเธอกำลังบันทึกชื่อติ๊กต่อกของใครบางคนไปถึงก้นบึ้งหัวใจ
และได้ทำการโหลดติ๊กต่อกเข้ามาสู่โทรศัพท์เครื่องของยาย...
เมื่อมาถึงบ้านทันที!
แต่สิ่งที่ทำให้คำหล้าใจเต้นแรงอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะว่าใบหน้าจากวิดีโอของเขา
แต่เป็น...รูปปลาช่อนแห้งทอดกรอบ ใส่เพลงลูกทุ่งที่เธอชอบ และแคปชั่นที่เขียนว่า
Miss ที่แปลว่าคิดถึง
"บ้า เขาคิดถึงปลา...จะดีใจทำไม" เธอพึมพำพร้อมเลื่อนไปดูคลิปอื่นๆ ที่ลงเอาไว้ มีวิดีโอตอนที่เขาอยู่กับกองถ่ายของเอก พร้อมใส่แคปชั่น พบกันที่รายการ สวรรค์บ้านเฮา นับถอยหลังอีก 3 วันคับบ
คำหล้าก็เข้าไปส่องวิถีชีวิตปุณณ์ด้วยนิ้วสั่นๆ ใจหวิวๆ บางมุมก็ไม่เคยเห็น แตกต่างจากตอนที่อยู่บ้านนอกด้วยกัน
เขาดูหล่อ ดูสูงส่ง ไกลห่าง จนเด็กสาวนึกไปถึงเพื่อนๆ ที่พากันกรี๊ดกร๊าดเขา เหมือนเธอไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
สาวน้อยถอนหายใจออกมา ก่อนจะเลือกกดลบ ติ๊กต่อก
"กลับมาอยู่โลกตัวเองเถอะ แล้วให้มันกลายเป็นความทรงจำพอ" ว่าแล้วก็เอาโทรศัพท์ไปคืนยาย มานอนกอดอก ถอนหายใจมองหลังคาสังกะสีไร้ฝ้าของบ้านตัวเอง
เขาก็อยู่ส่วนเขา
เฮาก็อยู่ส่วนเฮา
เป็นเส้นขนาน เหมือนขื่อบ้าน...สองท่อนนี่แหละ!
แล้วพอเธอพลิกตัวก็ไปเจอ กระดาษเบอร์โทรเขา ที่ติดข้างฝา
ลุกขึ้นจะไปดึงมันทิ้ง...แต่สุดท้ายก็ทำไม่ลง
"บ่เอาดอก มันต่อยาก เข็ด" แล้วเธอก็ถอนหายใจ เอาผ้าห่มคลุมโปง เกลียดความรู้สึกวุ่นวายในอก นี่เหลือเกิน แต่ทำอะไรไม่ได้!
