4
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...เสียงเบรกรถที่ดังไปทั่วบริเวณชายหาด เรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมองตามๆ กัน
มาร์ครีบเก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อทันทีที่เห็นร่างสูงของแพททริกสันและออร์แลนโด้เดินตรงมาหาตนด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“มะ...มีอะไรเหรอครับ” คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ เอ่ยถามเสียงสั่นๆ ‘บ้าจริง! บอสไปทำอะไรเอาไว้อีกวะ’
“ไอ้เจคอยู่ไหน” ออร์แลนโด้ถามเสียงเย็น ขณะแพททริกสันกวาดตามองหาเงาหัวของน้องชายตัวดี
“บะ...บอสขับรถออกไปเมื่อครู่ครับ” มาร์คบอกด้วยสีหน้าตื่นๆ ‘เอาแล้วไหมล่ะ งานเข้าจริงๆ ด้วย!’
“ไปไหน” ออร์แลนโด้ถามพร้อมกับมองคนสนิทของน้องชายอย่างจับสังเกต
“ผะ...ผมไม่รู้ครับ บอสสั่งให้อยู่รอคุณแพททริกกับคุณอลันมารับ คุณซานเชส คุณเรนเดล แล้วก็คุณจัสตินครับ”
“แกโกหก!” ออร์แลนโด้ตรงเข้ากระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายอย่างโมโห
“อลันอย่า!” แพททริกสันรีบดึงน้องชายออก เพราะตอนนี้หลายคนเริ่มหันมามอง และบางคนก็ชูถือมือขึ้นเหมือนกำลังถ่ายคลิป
“สะ...สาบานเลยครับ ผมไม่รู้จริงๆ ยัง งงๆ อยู่เลยว่าบอสรีบไปไหน” มาร์คบอกอย่างรู้สึกกลัว เพราะไม่อยากรองรับอารมณ์ของเจ้าชายน้ำแข็งแทนผู้เป็นนาย
“ระยำจริงๆ” ออร์แลนโด้สบถอย่างหัวเสีย
“แด๊ดดี้ค้าบบ” จัสตินจูงว่าววิ่งนำซานเชสกับเรนเดลตรงไปหาบิดาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อลัน! ที่ไอ้เจคมันบอกว่ากำลังสอนลูกเราสาวว่าว จริงๆ แล้วคือว่าวอันนี้ใช่ไหม?” แพททริกสันชี้ไปยังว่าวที่ลูกชายทั้งสองถืออยู่ในมือ
“บ้าจริง!” คนที่กำลังจะจัดหนักจัดเต็มกับเมียรัก แต่พอได้อ่านแชตของน้องชายตัวแสบเสร็จก็รีบต่อสายโทร. หาพี่ชาย ‘แพททริสัน’ แล้วนัดกันไปที่คฤหาสน์โรคาซานเดอร์ แต่พอไปถึง ก็พบว่าเจคอปพาสามหนุ่มไปเที่ยวทะเล ด้วยความโมโห! ตนกับพี่ชายจึงรีบขับรถตามมาในสภาพที่ใส่แต่เสื้อยืด สีขาวกับกางเกงบ๊อกเซอร์ ซึ่ง...ก็เรียกสายตาจากผู้คนที่มาเที่ยว ให้หันมามองกันอย่างล้นหลามเลยทีเดียว
“เชส! เรน! กลับบ้าน” แพททริกสันบอกลูกชายน้อยด้วยใบหน้าแดงก่ำ เมื่อเห็นใครต่อใครพากันแอบถ่ายรูปตนกับน้องชาย ที่มีสภาพไม่ต่างจากคนเพิ่งจะตื่นนอน
“เอ่อ...พวกเราขอไปหาคุณปู่กับคุณย่าที่คฤหาสน์ได้ไหมครับ” จัสตินเอ่ยขอ เพราะคืนนี้มีนัดวีดิโอคอลกับสามหนุ่มร็อฟเวลล์
“โอเค! ไปขึ้นรถ เดี๋ยวแด๊ดจะขับไปส่ง” ออร์แลนโด้บอกพลางหันไปพยักหน้าให้พี่ชายรีบออกเดิน ‘พระเจ้า! หวังว่าพรุ่งนี้คงไม่ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หรอกนะ’
“คร้าบบบ” สามหนุ่มรีบวิ่งตรงไปยังรถของบิดา
“บอกไอ้เจคว่าถ้าฉันเจอมันเมื่อไหร่ เจ็บหนักแน่!” แพททริกสันหันไปทิ้งทวนก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทีเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วโคตรจะอับอาย
“คะ...ครับ” มาร์คก้มหน้าลงนิดๆ อย่างนอบน้อม ก่อนจะเงยขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงของรถสปอร์ตสุดหรูทั้งสองคันขับแล่นออกไปด้วยความเร็ว
“เฮ้อ...บอสนะบอส! เมื่อไหร่จะเลิกป่วนคนนั้นคนนี้สักทีวะ” คนที่ต้องมาทนก้มหน้ารับกรรมให้ทุกครั้งสบถออกมาอย่างรู้เหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันไปบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ให้เตรียมตัวเดินทางกลับไปคฤหาสน์โรคาซานเดอร์
วันต่อมา...ประเทศไทย
หลังเครื่องบินส่วนตัวลงแตะที่รันเวย์ของสนามบิน เจคอปก็ขับรถตรงไปยังร้านอาหารเอื้องลานนา ที่อยู่ข้างๆ กับโรงแรมมะลิฉัตร แกรนด์ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเหล่าบอดี้การ์ดที่เดินทางมาเฝ้าติดตามดูอยู่ห่างๆ
ทันทีที่เข้าไปข้างในร้านอาหาร เจคอปก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของพนักงานเสิร์ฟสาวแสนสวย ที่ไม่ว่าเขาจะเดินทางไปกี่ประเทศ พบเจอกับดารา-นางแบบเป็นร้อยเป็นพัน แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้เขาเก็บเอาไปนอนฝันได้นอกจากสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
มารีอา อนันพิศสุทธิ์ อายุ 22 ปี สูง 161 เซนติเมตร สาวน้อยวัยสดใสดุจดอกไม้แรกแย้มที่กำลังเบ่งบาน เธอทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารเอื้องลานนานมาเกือบสี่ปี ตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่งจนกระทั่งจะจบการศึกษาปริญญาตรี ซึ่งกำลังรอสอบเข้าทำงานที่โรงแรมใหญ่ระดับห้าดาวแห่งหนึ่งอยู่
“สวัสดีค่ะ” มารีอายกรีบมือไหว้ เมื่อเห็นลูกค้าหนุ่มลูกครึ่งสุดหล่อ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทา เข้ามานั่งยังโต๊ะซึ่งเป็นโซนที่เธอดูแลอยู่
“พระเจ้า! หน้าอกใหญ่เป็นบ้า” เจคอปจ้องมองหน้าอกขนาดเกินตัวกับเอวที่เล็กคอดนั้นด้วยหัวใจสั่นๆ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างรู้สึกกระหาย
“คะ...คุณว่าอะไรนะ?” มารีอารู้สึกหวาดกลัวชายหนุ่มตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก พลัน! ภาพข่าวสยองขวัญ คดีฆ่าหั่นศพที่กำลังดังครึกโครมก็ผุดขึ้นมาในหัว พยานหลายปากที่พบเห็น ต่างให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า...ผู้ต้องสงสัยเป็นชายชาวต่างชาติ หน้าตาดี อายุราวๆ 35-40 ปี ซึ่งมันก็ตรงกับคนที่นั่งส่งสายตาแวววาวมาให้เธอในตอนนี้ซะเหลือเกิน
“เอ่อ...ผมพูดว่าคุณน่ารักเป็นบ้าน่ะครับ” เจคอปอึกอักรีบออกตัว เพราะดันเผลอพูดสิ่งที่คิดเอาไว้ในใจออกมา
“แต่เมื่อกี้ฉันได้ยินคุณพูดว่า หน้าอกใหญ่เป็นบ้า” มารีอาเอ่ยท้วงเสียงแข็ง
“โอ้พระเจ้า! ผมพูดแบบนั้นออกไปจริงๆ เหรอครับ?” ชายหนุ่ม ฉีกยิ้มกลบเกลื่อน หลังสาวเจ้าทวนประโยคที่น่าอับอายให้ฟังอีกครั้ง
“ใช่! ฉันก็ได้ยินแบบนั้นนะ” ชายวัยหกสิบที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ ช่วยยืนยันอีกเสียง
“ว้าว!” เจคอปหันไปยิ้มให้กับพยาน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับสาวเจ้าอย่างจำนน “ผมขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดอะไรแบบนั้นออกมาจริงๆ”
“โอเคค่ะ! คุณจะสั่งอาหารหรือยังคะ?” มารีอาถามพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มราวกับกำลังเก็บรายละเอียดของคนร้าย
“คุณพอจะช่วยแนะนำให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” เจคอปส่งยิ้มให้สาวตรงหน้าอย่างรู้สึกความเก้อเขิน
มารีอาฝืนยิ้มตอบบางๆ เตรียมจะเอ่ย “เมนูแนะนำของร้านก็มี...”
“คุณอายุเท่าไหร่?”
“22 ค่ะ คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ?” มารีอาบอกก่อนจะทำหน้าตกใจ! เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงที่เป็นเหยื่อทั้งสามคนก็ล้วนแต่อายุ 22 เท่าๆ กับเธอ
“เปล่าครับ แค่ถามดูเฉยๆ” เจคอปฉีกยิ้มกว้างราวกับหุ่นของบริษัททะยานขึ้นสามสิบจุดในระยะเวลาไม่กี่นาที
“ให้ตายสิ! ฉันนึกว่าหนูอายุ 17 นะเนี่ย?” ชายวัยหกสิบยกมือขึ้นทาบอก ก่อนจะมองสำรวจใบหน้าจิ้มลิ้มที่อ่อนเยาว์อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ขอบคุณพระเจ้าที่มีคนคิดเหมือนผม” เจคอปบอกพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“เอ่อ...” มารีอาปาดเหงื่อที่ไหลลู่ตรงขมับทิ้งด้วยมือไม้สั่นๆ ขณะที่ฉากฆาตกรรมต่างๆ ผุดขึ้นมาในจินตนาการของเธออย่างต่อเนื่อง
“คุณช่วยสั่งอะไรก็ได้ให้ผมทานสักสองสามอย่างสิครับ!” เจคอปรีบบอกเพราะกลัวว่าสาวเจ้าจะโกรธ แล้วให้พนักงานคนอื่นมาดูแลโต๊ะที่ตนนั่งแทน
“ดะ...ได้ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวตอบก่อนจะรีบเดินตรงไปยังเคาท์เตอร์ด้วยสีหน้าตื่นๆ
