ตอนที่ 5
ในเมื่ออยู่ใต้ชายคาเดียวกัน และเธอต้องทำหน้าที่ เมีย ทั้งที่เริ่มกดดันกับท่าทีแข็งกระด้างของเขา ตั้งแต่ผ่านงานแต่ง ทั้งจดทะเบียนสมรสกับไตรทศเขาไม่เคยพูดดีกับเธอเลยแม้สักหน
เขาคงเกลียดและโกรธมาจนถึงขนาดไม่อยากให้อภัย หญิงสาวปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้ตัว ก่อนอาบน้ำแต่งตัวและลงไปในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารมื้อเช้าแม้เขาไม่ต้องการ ขณะจะลงมือทำอาหารก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“แม่เลี้ยง...นั่นจะทำอะไรเหรอจ๊ะ”
หทัยภัทรหันไปมองเด็กสาวซึ่งอายุอ่อนกว่าเธอสักสองปีเห็นจะได้ ใส่เสื้อคอบัวแขนยาวและนุ่งผ้าซิ่นเดินเข้ามาหา
“ฉันกำลังจะทำมื้อเช้าไว้ให้พ่อเลี้ยงน่ะแจง”
เธอบอก จุ๊บแจง เด็กสาววัยสิบหก เป็นคนงานในปางไม้ของไตรทศและมีหน้าที่ดูแลทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่ของเขาด้วย จุ๊บแจงบุ้ยปากก่อนพูดว่า
“ไม่ต้องหรอกแม่เลี้ยง เดี๋ยวแจงทำให้เอง แม่เลี้ยงไม่ต้องทำหรอกนะ เพราะเนี่ยมันหน้าที่ของแจง”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ฉันก็มีหน้าที่ต้องทำกับข้าวกับปลาให้พ่อเลี้ยงอยู่แล้ว”
“แม่เลี้ยงที่ไหนเขาทำงานแม่บ้านกันล่ะจ๊ะ เป็นแม่เลี้ยงก็ต้องแต่งตัวสวยๆ ไม่ต้องทำงานหนัก ให้แจงทำเถอะนะ...นะ...แม่เลี้ยง”
“แต่ว่า...”
“ขอร้องล่ะ...แม่เลี้ยงให้แจงช่วยงานบนบ้านเหมือนเดิม เพราะถ้าแจงไม่ได้ทำงานบนเรือนใหญ่ของพ่อเลี้ยง มีหวังต้องโดนอัปเปหิไปทำงานในปางไม้แน่เลยอ่ะ แจงอยากทำงานบ้านสบาย ๆ ไม่อยากไปอยู่ในโรงไม้ ฝุ่นควัน คนงานผู้ชายชอบมาพูดกะลิ้มกะเหลี่ยแจงอ่ะ”
“เอางั้นเหรอ...จ้ะๆๆ...ก็ได้ ฉันจะให้แจงทำงานบ้านก็แล้วกัน”
“ว๊าว! แม่เลี้ยงทั้งสวยและใจดีมากๆ แบบนี้แจงรักตายเลย สวยขนาดนี้ อย่าทำงานหนักเลยค่ะ แต่งตัวสวย ๆ คอยปรนนิบัติเวลาพ่อเลี้ยงกลับมาจะดีกว่านะคะ”
จุ๊บแจงประจบด้วยการกอดนายหญิงและแสดงท่าทางดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ หทัยภัทรเองไม่กล้าพูดกับเด็กสาวเรื่องไตรทศ ไม่ว่าเธอจะแต่งตัวสวยขนาดไหนพ่อเลี้ยงก็คงไม่สนใจ แถมเขาจะเกลียดเธอมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
หลังปล่อยให้จุ๊บแจงทำงานในบ้านทั้งจัดเตรียมกับข้าวกับปลา ปัดกวาดบ้าน เธอก็ออกมาเดินเล่นข้างบ้าน มันเป็นสวนดอกไม้ที่เธอเคยมานั่งเล่นบ่อยๆ เพราะตามพ่อมาที่ปางไม้ของไตรทศ
พ่อของหทัยภัทรเป็นช่างไม้ฝีมือดีที่พ่อเลี้ยงเรียกใช้บ่อย ทว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็ไม่เอ่ยถึงครอบครัวของเธออีก ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขายังโกรธ แม้ไตรทศไม่พูดอะไรซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวของเธอเข้าใจว่าเขายอมรับได้
แต่หญิงสาวรู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นและเข้าใจแม้แต่น้อย ร่างอรชรเดินเข้าไปในสวนสวยที่ยามนี้ดอกไม้กำลังผลิบานแข่งสีสันท่ามกลางฤดูร้อน ขณะกำลังเพลิดเพลินกับสีสวยของดอกไม้ก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง
“พริ้ม”
“พี่รุ้ง” หทัยภัทรตกใจเมื่อหันกลับไปก็พบว่า รติมา ญาติซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ยืนอยู่ห่างจากเธอเพียงสองสามก้าว
“พี่รุ้ง...กลับมาเมื่อไหร่คะ”
“พี่เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้”
“พี่รุ้ง...มาคนเดียวเหรอคะ แล้วมายังไง?”
“พี่มาคนเดียว ก็ให้เพื่อนมาส่งน่ะ เมื่อก่อนพี่มาที่นี่ออกบ่อย”
น้ำเสียงของรติมาเหมือนกำลังประชดประชัน มันยิ่งทำให้หทัยภัทรรู้สึกใจไม่ดี แต่เธอพยายามกลบเกลื่อนความประหม่าด้วยการพูดด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ
“เอ้อ...พริ้มต้องขอโทษพี่รุ้งเรื่องพ่อเลี้ยง...พริ้ม...”
“จะต้องมาขอโทษทำไมกันล่ะ ในเมื่อ...พริ้มก็ได้ทุกอย่างสมความตั้งใจแล้วนี่ไม่ใช่เหรอ”
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่รุ้งเข้าใจนะคะ”
“พี่น่ะไม่เข้าใจอะไรหรอก แต่คิดว่าเธอคงเข้าใจ และรู้แน่แก่ใจว่าทำอะไรลงไปบ้าง ก็ถ้าอยากได้พ่อเลี้ยงทำไมไม่บอกพี่แต่แรกล่ะ จะได้หลีกทาง หรือไม่ก็เอาพ่อลี้ยงใส่พานแล้วยกให้เลย ไม่ต้องเสียเวลาวางแผนทำมารยาให้เขารับผิดชอบแบบนี้!”
น้ำเสียงที่เริ่มเกรี้ยวกราดของรติมาทำให้หทัยภัทรผงะงัน หญิงสาวคิดในใจว่าเป็นใครก็คงต้องโกรธที่จู่ ๆ แฟนตัวเองต้องแต่งงานกับญาติสนิท หทัยภัทรยกมือไหว้พร้อมทั้งพูดว่า
“พี่รุ้ง...พริ้มต้องขอโทษด้วยจริงๆ สำหรับเรื่องพ่อเลี้ยง พริ้มเองก็ไม่นึกว่าเรื่องจะบานปลายขนาดนี้”
