โคอ่อนกินหญ้าแก่
“งั้นหนูก็จำไว้เลยนะ ว่าไม่มีอาหลานที่ไหนเขาจูบแลกลิ้นกันขนาดนี้”
“ชู่วววว อย่าพูดแบบนี้อีกนะ เดี๋ยวแมรี่มาได้ยิน” ฉันรีบร้องปรามคนตัวโตพลางหันซ้ายมองขวาด้วยความระแวง
“แมรี่เห็นตอนเราจูบกันซะขนาดนั้น อาว่าเขาคงรู้ไปถึงไหนต่อไหนแล้วล่ะ”
เป็นอย่างที่อากายพูด ยัยแมรี่เข้ามาเห็นเต็มๆ สองตาขนาดนั้น คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วแหละ
“แล้วมาจูบหนูทำไมเล่า”
“จูบให้หายคิดถึงไง” อากายตอบกลับพลางเลื่อนมือมาหยิกแก้มฉันด้วยความมันเขี้ยว
“แล้วคิดถึงหนูมากแค่ไหน?”
“ทำให้ถึงขนาดนี้ยังไม่รู้อีกเหรอ?” ไม่พูดเปล่าแต่เขายังโน้มใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้ฉัน จนเราสองคนเกือบจะจูบกันอยู่ร่อมร่อ
“…..” หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ถึงแม้ว่าเราจะเคยจูบกันแล้วแต่ฉันก็ยังรู้สึกไม่ชินอยู่ดี
“มะ…ไม่อยากคุยด้วยแล้ว กินขนมดีกว่า” ฉันพูดแก้เขินพลางหันไปหยิบขนมหม้อแกงขึ้นมากินโดยมีสายตาของอากายที่มองจ้องมา
“กินเข้าไปเยอะๆ จะได้กลับมาน่ารักเหมือนเดิม”
“แล้วตอนนี้ไม่น่ารักเหรอคะ?”
“ตอนนี้หนูสวยมากกว่า”
“…..” ที่เงียบไปไม่ใช่อะไร แต่เพราะกำลังเขินเขาอยู่ ทำไมเขาถึงชอบหยอดให้ฉันใจอ่อนอยู่เรื่อย ก็เป็นซะแบบนี้ เป็นใครจะไม่หลงรักบ้าง
“แต่อาชอบตอนที่หนูอวบๆ นะ มีแก้มเยอะๆ มันน่ารักดี” พูดจบเขาก็หอมแก้มฉันอยากแรงหลายๆ ที จนรู้สึกเจ็บ ถ้าเขากลืนฉันลงท้องไปได้ ป่านนี้เขาคงทำแล้วล่ะ
“แต่ถึงหนูจะเป็นยังไง อาก็รักอยู่ดี”
“คนแก่ชอบพูดจาเลี่ยนๆ แบบนี้ทุกคนหรือเปล่าคะ?” ฉันถามพลางตักขนมเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ จนเต็มทั้งสองแก้ม แต่พอหันไปเห็นสีหน้าของอากายถึงกลับต้องหุบยิ้มในทันที ก็แค่บอกว่าแก่เอง ไม่เห็นจะต้องทำหน้าซีเรียสขนาดนี้
“หนูล้อเล่นค่ะ อายังดูไม่แก่สักหน่อย แถมยังหล่อมากๆ ด้วย”
“ปากหวานจังเลยนะ แบบนี้คนแก่อย่างอาก็หลงแย่เลยสิ” แขนแกร่งเลื่อนมาโอบเอวฉันไว้แน่นเพื่อไม่ให้ขยับหนี
“เด็กดื้อ! หายงอนหรือยัง?”
“ยังไม่หาย แล้วอีกอย่างหนูก็ไม่เด็กแล้วนะ อีกไม่กี่วันก็อายุ19แล้ว”
“แล้ววันเกิดปีนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม?”
“ตอนนี้ทิชามีครบหมดแล้วไม่อยากได้อะไรค่ะ”
“…..”
“ว่าแต่อาเถอะค่ะ จะบินกลับไทยวันไหน?”
“ว่าจะอยู่ฉลองวันเกิดกับหนูก่อนแล้วค่อยกลับ”
“หนีงานมาแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นว่าหรอคะ?” ฉันถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะรู้ว่าการที่เขาทิ้งงานมาแบบนี้ธุรกิจคงเสียหายหลายสิบล้านแน่นอน
“ขอแค่ได้มาเห็นหน้าหนู ใครจะว่ายังไงอาก็ไม่สน”
“…..” ฉันคลี่ยิ้มหวานให้คนที่นั่งข้างๆ จากที่เคยโกรธและไม่อยากเจอหน้า แต่พอมาวันนี้ฉันกลับไม่ได้คิดแบบนั้น
“เมื่อกี้ลูกน้องส่งข้อความมาบอกว่าจองโรงแรมได้แล้ว ถ้างั้นอาขอตัวกลับก่อนนะ แล้วจะมาหาใหม่”
“ดีเลยค่ะ เดี๋ยวทิชาเดินไปส่งด้านล่าง”
“ไม่ต้องไปส่ง อากาศข้างนอกมันหนาว เดี๋ยวจะป่วยเอา”
“แบบนั้นก็ได้ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะ”
“เอาไว้ถ้าถึงโรงแรมแล้วอาจะวิดีโอคอลหานะ เตรียมรับสายด้วย”
“…..” ฉันพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะมองตามแผ่นหลังของเขาที่เดินออกไป
“เห้ออออ ปากก็บอกว่าตัดใจ แต่พอเขามาหาก็อ่อนปวกเปียกระทวยไปหมดเลยนะเพื่อนฉัน” เสียงกระแหนะกระแหนของยัยแมรี่ดังมาแต่ใกล้ ในขณะที่ฉันกำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว
“เป็นธรรมดาย่ะ เขาอุตส่าห์บินมาหาถึงที่นี่ เป็นใครจะไม่ใจอ่อนบ้าง?” ฉันไหวไหล่ใส่เพื่อนรักแบบไม่ใส่ใจพลางยกขาขึ้นมาไขว่ห้างอย่างอารมณ์ดี
“แต่จะว่าไป อากายเขาก็ดูรักแกมากนะ”
“แกคิดแบบนั้นเหรอ?” พอได้ยินดังนั้น ฉันจึงหันไปถามแมรี่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นี่แกไม่เคยสังเกตบ้างหรือไง ทั้งรอยยิ้มทั้งแววตาที่เขามองแก มันดูไม่เหมือนอาที่มองหลานเลยสักนิด”
“ก็เคยคิดอยู่บ้าง แต่ยังไม่แน่ใจ” ฉันพยายามคิดตามที่แมรี่พูด
“ส่วนฉันรู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าเขาน่ะไม่ได้คิดกับแกแค่หลาน”
“…..”
“แต่ก็คงแย่หน่อยนะ ถ้าเกิดว่าพ่อแกรู้จะทำยังไง?”
“ฉันก็กลัวอยู่เหมือนกัน” สิ้นคำพูดของแมรี่ บรรยากาศรอบตัวก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาซะงั้น ถ้าเกิดว่าพ่อรู้เรื่องนี้ มีหวังว่าฉันกับอากายคงได้หัวขาดทั้งคู่แน่ๆ
“หรือถ้าแกจะถอนตัวตอนนี้ยังทันนะ จากโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”
“เรื่องอะไรจะยอมถอยง่ายๆ ฉันรักของฉันมาเป็นปีๆ ยังไงก็ไม่ถอยหรอก”
“งั้นถ้าไม่ถอยก็ไปให้สุด ฉันนี่แหละจะยืนอยู่ข้างแกเอง”
“ขอบใจแกนะที่เข้าใจ” ฉันโผกอดแมรี่ไว้แน่น ถึงเราสองคนจะชอบทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ แต่ในชีวิตก็มีแค่มันที่ไม่เคยทิ้งฉันไปไหน
โรงแรม…
“ห้องคุณอาสวยจังเลยนะคะ แถมยังกว้างมากๆ อีกด้วย” ดวงตากลมโตวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณเมื่อเดินตามเข้ามาในห้องขนาดใหญ่ที่อากายพักอยู่แล้วเครื่องอำนวยความสะดวกมีแบบครบครันทันสมัย ไม่บอกก็รู้ว่าพักต่อคืนคงจะหลักแสนแน่ๆ
“เผื่อหนูมาค้างด้วยจะได้ไม่อึดอัดไงครับ”
“ห้องหรูขนาดนี้คงแพงเอาเรื่องเลยใช่ไหม?”
“แลกกับความสะดวกสบายอาว่ามันไม่แพงหรอก”
“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวอาไปหาอะไรมาให้ดื่ม”
“ไม่เป็นไรค่ะอา ทิชายังไม่อยากดื่ม” ฉันรีบคว้าข้อมืออากายเอาไว้ ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกไป
“เป็นอะไรไป ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น” อากายเอ่ยถามพลางมองหน้าฉัน เมื่อจู่ๆ ก็มีสีหน้าสลดลงไป
“ทิชาอยากรู้ค่ะ”
“หนูอยากรู้อะไร?”
“อยากรู้ว่าตอนนี้เราสองคนเป็นอะไรกัน?” ฉันตัดสินใจพูดมันออกไป มันคือคำถามที่ฉันต้องการคำตอบมากที่สุดในตอนนี้ อยากได้ยินจากปากของเขาไม่ใช่คิดไปเอง
“แล้วหนูอยากเป็นอะไรกับอา?”
“…..” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นพร้อมก้มหน้าเงียบอยู่แบบนั้น ถ้าบอกว่าอยากเป็นแฟนมันจะดูมากเกินไปไหม มันจะเร็วเกินไปหรือเปล่า
“หรือถ้าหนูอยากให้อาเป็นอะไรก็บอกมา อาจะยอมเป็นให้ทุกอย่าง”
“อยากให้อามาเป็นแฟนทิชาได้ไหมคะ?”
“ไม่ใช่แค่แฟน แต่ถ้าอยากให้เป็นผัวอาก็ทำให้ได้”
“ทะ…ทำยังไงหรอคะ?” ฉันแสร้งถามยียวนพลางทำสีหน้าไร้เดียงสา เพราะอยากรู้ว่าปฏิกิริยาของอากายจะเป็นยังไง
“เอาไว้ให้หนูโตกว่านี้แล้วอาจะทำให้ดูนะ” อากายพูดด้วยน้ำเสียงละมุนละไม ก่อนจะยื่นมือมาลูบหัวฉันด้วยความเอ็นดู แต่เขาจะรู้ตัวบ้างไหมว่าสายตาของเขาในตอนนี้มันเหมือนหมาป่าที่อยากจะขย้ำกระต่ายน้อยอย่างฉันเต็มทน
“หนูอยากรู้เหมือนกันค่ะ ว่าคุณอาจะทนได้มากขนาดไหน?” สิ้นประโยคนั้น ฉันจึงค่อยๆ เลื่อนมือลงไปปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกทีละเม็ดจนเผยให้เห็นเนินอกอันอวบอิ่มที่มีเพียงบราเซียลูกไม้สีดำปกปิดไว้
“…..”
