บทที่ 3
“น้าสัญญานะจ๊ะว่าจะน้ากับน้องจะอยู่ที่นี่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว จะไม่ทำตัวเทียบคุณแม่ของหนูน้ำแน่นอน” เพราะเด็กสาวเอาแต่นิ่งไม่ยอมพูดอะไร จึงเป็นหน้าที่ของพิศสมัยที่ต้องเอ่ยขึ้น
“หนูน้ำ...” ความสับสนส่งผลให้เด็กสาวเลือกที่จะวิ่งหนี เดือดร้อนคนเป็นพ่อ ที่ต้องรับหน้าที่เดินตามมาเจรจากับลูกถึงห้อง
“น้ำคงโกรธพ่อมากใช่ไหมลูก...” หากจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงเป็นการโกหก ซึ่งนั่นมันไม่ใช่นิสัยของเธอเลย
“พ่อรักเขาเหรอคะ คุณน้าคนนั้น” เด็กสาวเลือกที่จะถามกลับถึงสิ่งที่ยังคงค้างคาใจ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเร็วมากจนเธอใจหาย ไม่ทันเตรียมใจรับมือกับสมาชิกใหม่ของบ้าน เพราะพ่อไม่เคยพูดถึง ไม่แม้แต่จะเกริ่นเพื่อให้เธอได้ทันเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับสิ่งนี้
“รักสิลูก”
“รักมากกว่าคุณแม่ไหมคะ”
”ไม่ลูก! ไม่มีวันที่พ่อจะรักใครมากกว่าแม่ของลูก แม่ของลูกยังคงเป็นที่หนึ่งสำหรับพ่อเสมอ จะไม่มีใครมาแทนที่แม่ของลูกได้” แม้บิดาจะยืนยันหนักแน่นเพียงใด แต่การกระทำของท่านในตอนนี้มันก็ยังสวนทางกับคำพูดเมื่อครู่อยู่ดีแล้วเธอควรจะทำอย่างไรต่อ
“พ่อสัญญาไหมคะ”
“พ่อสัญญาจ๊ะ” เมื่อบิดาว่ามาแบบนั้น จะให้เธอว่าอะไรต่อมานอกจากยิ้มให้ท่าน เหมือนเป็นการตอบตกลงโดยไม่มีเสียง
น้ำทำถูกแล้วใช่ไหมคะแม่...
การรอคอยร่วมสองชั่วโมงจบลงด้วยการที่ธารธาราต้องหาทางมาเหมือง ‘ปเวศน์’ ด้วยตัวเองเพราะไม่มีใครไปรับอย่างที่พ่อได้บอกไว้ในตอนแรก ซ้ำเบอร์ของ ‘เขาคนนั้น’ ก็ไม่สามารถติดต่อได้
แต่ดูเหมือนความซวยในชีวิตเธอจะยังไม่หมดลงง่ายๆ เพราะรถโดยสารคันเก่าที่นั่งมาจู่ๆ ก็จอดทิ้งเธอลงที่หน้าเหมือง พร้อมกับคำบอกกล่าวเพียงสั้นๆก่อนที่ลุงคนขับจะเหยียบคันเร่งออกไปไกล
“เดินตรงไปสักสี่กิโลก็ถึงแล้วนังหนู ลุงส่งเอ็งได้เท่านี้แหละ!” แม้จะอยากถอยหลังกลับไปแค่ไหนแต่สุดท้ายเธอทำได้แค่คิดเท่านั้น
เธอมาไกลมาก ไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับไปในที่ที่ไม่ได้สร้างความสุขให้ชีวิตเธออีกแล้วในวันนี้ มีแค่สองเหตุผลเท่านั้นที่ผลักให้เธอตัดสินใจมาที่นี่ หนึ่งคือพ่อ และสองคือเธอไม่อาจทนมองภาพของคนสองคน ที่รวมหัวกันทำระยำลับหลังมีความสุขร่วมกันได้
คงเหลือแค่ทางเดียวเท่านั้นนั่นคือต้องไปต่อ แม้จะไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรรออยู่ที่ปลายทางแต่ก็ต้องไปเพราะไม่มีทางไหนให้เลือกอีก
ระยะทางที่ว่าไกลสุดลูกหูลูกตายังเทียบไม่ได้เลยกับอากาศยามบ่ายที่ร้อนอบอ้าวจนร่างบอบบางของคนที่เดินเท้าเข้ามาได้เกือบชั่วโมงกว่าเริ่มมีท่าทีอ่อนล้า วูบหนึ่งที่เธอเกิดอาการหน้ามืดจวนจะล้ม แต่เป็นเสียงรถที่วิ่งเข้าใกล้ที่เรียกสติเธอให้กลับคืนมาได้
“ผมไม่ได้บอกผ่านพ่อคุณไปรึไงว่าให้รอที่ท่ารถ!” เสียงของคนที่ก้าวลงมาจากรถนั้นเข้มจัด บ่งบอกให้รู้ว่าคนพูดกำลังอยู่ในภาวะอารณ์โกรธอย่างถึงที่สุด แต่กระนั้นเธอกลับไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะเบิกตามองเขาให้ชัดๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าเป็นใคร และไว้ใจเขาได้มากแค่ไหน
“คุณเก้า...รึเปล่าคะ” เสียงของเธอที่ดังออกไปนั้นเบาราวกับจะเป็นเพียงเสียงกระซิบเบาเสียจนทำให้อีกคนต้องเดินเข้ามาดูใกล้ๆ
“ใช่ ว่าแต่คุณเป็นอะไร เฮ้ย!” เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าคือคนที่กำลังจะเดินไปหา ธารธาราก็หยุดทุกสิ่งลงด้วยการทรุดไปต่อหน้าเขาในทันที โชคดีที่เขารับเธอเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงเจ็บไม่น้อย
ดีแล้วที่เป็นเขา...
ร่างของคนหมดสติถูกอุ้มมาวางที่รถคันเก่าอย่างเบามือโดยมีเมธีคนสนิทคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ห่างๆ ทว่าก็อดลอบมองว่าที่ ‘เมียนาย’ ไม่ได้ เพราะเคยเห็นอีกฝ่ายผ่านทางรูปถ่าย จึงอยากเห็นตัวเป็นๆ สักครั้งด้วยตา ว่าแม่คุณจะสวยหวานเหมือนในรูปรึเปล่า
“แกจะมองอีกนานไหม ไปขับรถสิวะ!”
คนถูกตวาดสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบวิ่งอ้อมไปเปิดประตูรถตามคำสั่ง ไม่นานรถคันใหญ่ก็ค่อยๆ ขับเคลื่อนออกไป จุดหมายนั้นคือบ้านใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่...
