สิ้นสุดงานเทศกาลบุปผา ๒
“ดีมาก! ข้าจะช่วยเจ้าเอง หากมีอะไรให้ช่วย” ชิงเฟิงกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
เสียงตะโกนและเสียงปรบมือจากผู้ชมยังคงดังก้องอยู่รอบ ๆ พวกนางต่างรู้สึกถึงบรรยากาศแห่งความหวังและการเติบโตของพลังในดินแดนบำเพ็ญเซียนแห่งนี้
เมื่อเสียงปรบมือเริ่มเงียบลง ไทเฮาก็ยืนขึ้นจากที่นั่งของพระองค์ ด้วยท่าทีที่มีอำนาจและสง่างาม พระองค์มองไปยังคุณหนูทั้งสองที่เพิ่งต่อสู้กันอย่างดุเดือดและเต็มไปด้วยพลัง
“วันนี้เป็นวันที่น่าประทับใจมาก สำหรับการแสดงพลังของคุณหนูหลี่ซูเหม่ยและคุณหนูจากตระกูลอวิ๋น” ไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความเป็นทางการ
“การต่อสู้ของพวกเจ้าทั้งสองไม่เพียงแต่แสดงถึงพลังปราณที่ยอดเยี่ยม แต่ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นและความสามารถในการควบคุมพลังของตน”
พวกนางเพิ่งจะอายุ 15 ปีนับว่าเป็นต้นกล้าที่ดีของแคว้นหลงซานแล้ว!
พระองค์หยุดไปชั่วครู่ มองไปยังชิงเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“คุณหนูอวิ๋น เจ้าทำให้ข้าต้องรู้สึกชื่นชมเจ้ายิ่งนัก ข้ารู้สึกว่าในอนาคตเจ้าต้องก้าวหน้าอย่างรวดเร็วแน่นอน”
ชิงเฟิงรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำชมจากไทเฮา แต่ก็ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มจากใบหน้าได้ พระองค์ยังคงกล่าวต่อไปว่า
“การต่อสู้ในวันนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น การแข่งขันในอนาคตอาจมีบททดสอบที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองจะเตรียมพร้อมและพัฒนาตนเองให้ถึงที่สุด”
เมื่อไทเฮากล่าวจบ พระองค์เริ่มมองไปรอบ ๆ เพื่อให้ผู้ชมตระหนักถึงความสำคัญของงานนี้
“วันนี้ข้าขอปิดงานเทศกาลบุปผาอย่างเป็นทางการ ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมแสดงพลังและแบ่งปันความสุขในวันนี้”
เสียงปรบมือและเสียงเชียร์ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นชมและความปลื้มปีติ ไทเฮายิ้มให้กับผู้คนก่อนที่จะเดินกลับไปยังที่นั่งของพระองค์อย่างสง่างาม
ในใจของชิงเฟิง นางรู้สึกถึงความกดดันและความคาดหวังจากไทเฮา แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกถึงแรงบันดาลใจที่จะต้องพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น เพื่อตอบสนองความคาดหวังนั้น ในขณะที่หลี่ซูเหม่ยยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้ในอนาคต
“งานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงพลังการบำเพ็ญเพียร แต่เป็นการเปิดโอกาสใหม่ ๆ สำหรับพวกเราทั้งสองคนด้วยนะ” ซูเหม่ยพูดด้วยความมุ่งมั่น
“ข้าจะไม่ยอมแพ้ในการพัฒนาตนเอง และจะฝึกฝนให้หนักขึ้นหวังว่าข้าจะได้เจอกับเจ้าในเวทีใหญ่ ๆ ในอนาคตนะ”
ชิงเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าก็เช่นกันซูเหม่ย การเดินทางของพวกเรายังช่างยาวไกลนัก”
ในมุมที่เงียบสงัด ซื่ออิงยืนอยู่ด้านหลังผู้ชม สายตาของนางจับจ้องไปที่ชิงเฟิงและหลี่ซูเหม่ยด้วยความริษยาอย่างชัดเจน ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความไม่พอใจที่ทั้งสองได้รับความสนใจและคำชมจากไทเฮา
“ทำไมถึงต้องเป็นพวกนาง...” ซื่ออิงพึมพำด้วยเสียงเบา สายตาของนางวาววับไปด้วยความโกรธและริษยา
“ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคุณหนูจากจวนอัครเสนาบดี แต่กลับไม่มีใครสนใจข้าเลยสักนิด”
นางรู้สึกเหมือนถูกบดบังด้วยความสามารถของชิงเฟิงและซูเหม่ย ขณะที่คนรอบข้างต่างมองไปที่พวกนางด้วยความชื่นชม ทำให้ซื่ออิงยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองในใจ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ยอมให้พวกนางมีความสุขอย่างนี้ได้อีกต่อไป”
นางหันไปมองรอบ ๆ เพื่อดูว่าใครสามารถช่วยให้นางได้ความได้เปรียบ ซื่ออิงจดจ่ออยู่กับความคิดที่จะหาวิธีที่จะทำลายความสัมพันธ์ของชิงเฟิงและหลี่ซูเหม่ย โดยเฉพาะชิงเฟิงที่ได้รับความสนใจจากไทเฮา
“ถ้าข้าสามารถทำให้พวกนางแตกแยกกันได้ ข้าก็อาจจะมีโอกาสในการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอย่างแน่นอน” นางคิดอย่างมุ่งมั่น ในใจของนางเต็มไปด้วยแผนการที่ไม่ดีนักที่จะทำให้พวกนางต้องเจอกับปัญหาและความหายนะ
การมองดูความสำเร็จของคนอื่นทำให้ซื่ออิงรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกลืมเลือน แต่กลับไม่ได้ตระหนักถึงความผิดพลาดในความคิดของตน
“ข้าจะต้องหาทางทำให้พวกนางต้องพบกับความทุกข์และความเสียใจ” นางกล่าวกับตัวเองด้วยความมั่นใจ
ในขณะที่งานเทศกาลบุปผายังคงมีความคึกคัก ซื่ออิงกลับตั้งใจที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังและอิทธิพลของนาง แม้ว่ามันจะไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง แต่ความริษยาก็ทำให้นางตัดสินใจที่จะเริ่มเดินในเส้นทางที่ผิดไปในที่สุด
