4/4
“แล้วภาพที่เห็นนี่ล่ะ มันประกาศชัดว่าพวกเธอทำอะไรกันในรถ ยัยพลับ ลูกต้องแต่งงานกับดรัณ” พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์บอกอย่างไม่ยอมให้ลูกสาวเสียตัวฟรีๆ ถึงจะถูกครหาว่าได้น้องเขยมาเป็นลูกเขยอีกรอบ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พลับพลึงท้องไม่มีพ่อ
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้
“คุณพ่อคะ!!! เราไม่ได้รักกันจะแต่งงานกันได้ยังไง”
ดรัณขบกรามแน่นสะบัดหน้าพรืดไปทางอื่น ‘คนไม่รักกันจะแต่งงานกันได้ยังไง?’
ยัยเด็กพลับพลึงกล้าพูดออกมาได้ ไม่ได้รักแต่มายั่วถึงที่ พอสติขาดก็บอกว่าเกิดจากความผิดพลาดไม่ตั้งใจ เจ้าหล่อนต้องการอะไรอีก
ผู้หญิง...
“แกบอกไม่รัก แล้วใครใช้ให้ไปเสนอตัวถึงในรถฮึยัยพลับ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าแกยินยอมพร้อมใจแค่ไหน ถ้าไม่ยอมจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้ไง”
“พ่อเลี้ยงจะให้ผมทำยังไงบ้างก็บอก” ดรัณบอก ไม่มองหน้าหญิงสาวตัวต้นเรื่องเลยสักนิด เขาทำเหมือนโกรธเคืองเธอมากมายแล้วจะรับผิดชอบเธอทำไมกัน ปฏิเสธก็ได้ถ้าอยากปฏิเสธ
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ อารัณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบพลับ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงกลัวว่าพลับจะท้องไม่มีพ่อหรอกนะคะ เราไม่ได้มีอะไรอย่างที่คิด รูปภาพนั่นก็เห็นแค่ช่วงบน ไม่มีใครรู้เท่ากับเราสองคนหรอกค่ะ พลับไม่ต้องการให้อารัณรับผิดชอบ”
คราวนี้พลับพลึงทำให้ดรัณหันมาสบตาได้ สายตาเยียบเย็นไม่ต่างจากดวงหน้านิ่งเฉยราบเรียบไร้ความรู้สึก ในตอนนี้เขาเหมือนแวมไพร์มากกว่าคนปกติ ลึกลับ น่ากลัว พอๆ กับน่าค้นหา ทว่าเรียวปากที่ปิดกันแน่นสนิทเหมือนจะข่มความรู้สึกบางอย่างนั่นต่างหากที่ทำให้เธอต้องถอนใจยาว
“พลับไม่ควรจะได้อาเขยมาเป็นสามีหรอกค่ะ คนที่จะต้องรับผิดชอบคือ...”
“ผมจะจัดงานแต่งงานตามที่พ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงต้องการ” ดรัณตัดบทเธอดื้อๆ หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้างเตรียมจะปฏิเสธรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ทว่าสายตาดุกร้าวที่ส่งผ่านมาจากแววตาเยือกเย็นของเขา กดดันความรู้สึกของเธอจนไม่อาจพูดห้ามออกไปได้ “ต้องการแบบไหน ก็ขอให้บอก...ครับ”
“ดี ฉันต้องการให้เธอจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด โธ่เอ๊ย...ฉันไม่คิดจริงๆ ว่าจะเปลี่ยนสถานะของเธอจากน้องเขยมาเป็นลูกเขย บอกตามตรงเธอทำให้ฉันผิดหวัง”
“ผมไม่เคยคิดจะให้ความหวังกับใครอยู่แล้วครับ ที่ทำแบบนี้ก็เพราะคิดว่าเป็นลูกผู้ชายพอ และรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร” ประโยคท้ายเขาหันมาพูดใส่หน้าหญิงสาว “เพราะรู้ ผมจึงต้องทำ”
พลับพลึงหน้าชาสลับกับร้อนผ่าว เขากำลังบอกว่าไม่ตั้งใจจะให้เกิดขึ้น ถ้าเธอไม่สร้างเรื่องขึ้นก็คงไม่เป็นอย่างนี้ เขาจะไม่ต้องรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายแบบนี้สินะ ถ้างั้นเขาก็บอกพ่อกับแม่เธอเสียเลยสิ ว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ประจานเธอซะเลยสิ ไหนๆ รูปก็ขึ้นหราให้ต้องอับอายกันถ้วนหน้าอยู่แล้วนี่นะ จะอายมากกว่านี้เพราะความโง่เง่าเต่าตุ่นของตัวเองจะเป็นไรไป
“ก็ยังดีที่เธอรู้ว่าควรทำอย่างไร เรื่องภาพนี่ก็เหมือนกัน ฉันจะไปแก้ข่าวกับหนังสือพิมพ์มันทุกฉบับ แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน กว่าที่พวกเธอจะแต่งงานกันก็กลบข้อครหาที่ยังเหลือได้แล้ว ยัยพลับนะยัยพลับ พ่อไม่คิดว่าแกจะใจเร็วด่วนได้ขนาดนี้เลย พ่อเสียใจจริงๆ”
“คุณคะ ลูกเราก็คงสำนึกผิดแล้ว ตอนนี้อย่ามามัวโทษแกอยู่เลยนะคะ เราต้องรีบจัดการทุกอย่างให้จบๆ ไปนะคะ” คุณกาญจนาดีดตัวขึ้นจากโซฟาเพื่อจบการสนทนาเรื่องนี้ ยิ่งฟังเธอก็ยิ่งอยากจะเป็นลมพับไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ในเมื่อมันไม่เป็นอย่างนั้นก็ควรจะหยุดพูดเรื่องนี้เสียที จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเลยดีกว่า
พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์ถอนใจ ยังคงมองหน้าดรัณและพลับพลึงอย่างขุ่นเคือง เมื่อเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดก็คงต้องรีบจัดการทำให้ทุกอย่างดีขึ้น การโกรธเคืองยังมีอยู่ตามประสาพ่อแม่ ความผิดหวังก็ยังมีไม่เลือนหายด้วยอยากให้ลูกได้ดิบได้ดีสมหน้าตา ไม่ใช่เป็นแบบนี้
พ่อเลี้ยงดรัณก็เป็นคนที่มีทุกอย่างพร้อมเหมาะที่จะดูแลบุตรสาว ถ้าไม่ติดตรงข้อครหาเรื่องเคยเป็นน้องเขยมาก่อน คนเป็นพ่อก็คงไม่ต้องคิดหนักขนาดนี้
“เอาเป็นว่าฉันจะทำอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ พวกเธอมีหน้าที่เตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวกันได้เลย”
พูดจบก็เดินจากไป ทิ้งพลับพลึงไว้กับดรัณเพียงลำพัง หญิงสาวหันมาเผชิญหน้าชายหนุ่มน้ำตาคลอ
“อารัณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยสักนิด”
“แล้วฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ ปฏิเสธแล้วบอกว่าภาพถ่ายนั่นไม่ใช่ตัวเองหรือไง”
“ก็บอกไปตามความจริง พลับไปกับใคร เจออะไร อารัณแค่มาช่วย”
“ด้วยการได้เธอเป็นเมียงั้นเรอะ”
หน้าใสซีดสลับแดงระเรื่อ เธอพยายามหาคำอธิบายเรื่องนี้ หาข้อแก้ตัวให้ทุกอย่าง มันไม่ใช่...ถึงจะใช่ ก็ไม่ได้เกิดจากความรัก แค่การลืมตัว ความทรมาน หรืออะไรก็แล้วแต่ทำให้มันเป็นแบบนี้ พลับพลึงไม่คิดว่าเรื่องมันจะแดงเร็วขนาดนี้ก็เลยไม่ทันตั้งตัว ไม่ได้หาข้อแก้ตัวมาเตรียมไว้ ไม่ได้เตี๊ยมกับเขา เราจะได้ไม่ต้องอึดอัดด้วยกันแบบนี้
แต่นี่...
“จะให้ฉันเข้าไปบอกใหม่ไหมล่ะ ว่าฉันแค่เข้าไปช่วยเธอจากการถูกไอ้นฤดลวางยา แล้วสุดท้ายเธอก็เป็นของฉันแบบไม่มีใครตั้งใจทั้งๆ ที่เธอปีนขึ้นมานั่งคร่อมตักฉันเอง”
“อารัณ!!!”
“เธอจะทำเสียงสูงไปทำไม ในเมื่อมันคือความจริง ความจริงที่ฉันวางตัวเป็นสุภาพบุรุษช่วยเธอปกปิดเรื่องนี้” เสียงของเขาดังเพียงกระซิบพอให้ได้ยินกันแค่สองคน หญิงสาวหน้าเผือด ที่เขากล่าวมามันคือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงเรื่องระหว่างนั้นเธอจะจำไม่ได้แต่ก็รู้ว่าตอนเกิดเรื่องเธอนั่งอยู่บนตัวเขา
