ดอกรักที่ 2 คู่หมั้น! (2)
“นี่ถ้าไม่ได้พ่อเพรียวช่วยขนกระเป๋ามาส่งให้ถึงที่บ้าน งานนี้ยัยกางเขนคงต้องลำบากมากกว่านี้แน่” คุณย่าดาวเรืองเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ เหมือนชวนคุย
ทว่าคนที่ถูกพาดพิงอย่างกางเขนซึ่งดูเหมือนไม่มีตัวตนบนโต๊ะอาหารก็กลายเป็นที่สนใจของทุกคนไป
“ลำบากยังไงคะคุณย่า?” หญิงสาวแกล้งถาม
“อ้าว เราก็ต้องแบกกระเป๋าใบโตพวกนี้กลับมาบ้านเองน่ะสิ”
กางเขนยิ้มแหยให้คุณย่าดาวเรือง ก่อนหันไปถลึงตาดุใส่อาคเนย์ที่ได้ความดีความชอบจากผู้ใหญ่จนหน้าบานหุบยิ้มแทบไม่ลง เธอย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้และอดไม่ได้
“แล้วได้ของฝากอะไรมาบ้างล่ะกางเขน?” คุณอัญมณีหันมาสนใจลูกสาวคนเล็กบ้าง
“หลายอย่างค่ะคุณแม่”
“ดีเลย งั้นไปหยิบมา จะได้แบ่งให้นายเพรียวนำกลับไปฝากคุณชุติมาด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ แค่ให้ผมมาฝากท้องที่นี่แทบทุกวันก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้วครับ”
“เกรงจงเกรงใจอะไรกันพ่อเพรียว เราเองไม่ใช่คนอื่นคนไกล เหมือนลูกเหมือนหลานแท้ ๆ ของฉัน” คุณย่าดาวเรืองแทรกขึ้น เพราะท่านรักและเอ็นดูเด็กผู้ชายเป็นพิเศษ ทั้งนี้เป็นเพราะท่านไม่มีหลานชายเลยสักคนนั่นเอง
แต่สำหรับกางเขนถึงกับหูผึ่ง นายเพรียวมากินข้าวบ้านเธอแทบจะทุกวันเลยเหรอ?! หมั่นไส้ ข้าวบ้านตัวเองมีก็ไม่ยอมกิน
“ลุกไปจัดของให้พี่เขาสิกางเขน” โดนคุณอัญมณีสั่งซ้ำอีกครั้ง กางเขนเลยจำใจปฏิบัติตามคำสั่งอย่างขัดอะไรไม่ได้ ทั้งที่ความจริงเธอไม่อยากแบ่งของกินที่ตั้งใจซื้อมาฝากสมาชิกทุกคนในบ้านให้กับอาคเนย์เลย
อุตส่าห์ลงทุนลงแรงแบกข้าวหลามหนองมนมาจากชลบุรี แทนที่คนในบ้านจะได้กินอย่างทั่วถึง ที่ไหนได้ต้องแบ่งให้คนที่เธอไม่ชอบขี้หน้าอีก... คิดแล้วน่าโมโห!
กางเขนทำอินออดลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารไปค้นกระเป๋าใส่ของฝากและหยิบเอาข้าวหลาม ทอฟฟี่ห่อกระดาษสีสวย กะละแม และขนมอื่น ๆ ที่เธอไม่รู้จักชื่อออกจากกระเป๋า ส่วนหงส์หยกพอเห็นสีหน้าบูดบึ้งของน้องสาวเลยลุกจากเก้าอี้เพื่อมาช่วยกางเขนจัดการแบ่งขนมอีกแรง
“เป็นอะไร หน้างอคอหักเป็นปลาทูในเข่งเชียว” หงส์หยกกระซิบถามอย่างสัพยอก
“ถ้ารู้ว่าต้องแบ่งขนมพวกนี้ให้นายเพรียว กางเขนไม่แบกมาให้เมื่อยมือหรอก รู้อย่างนี้น่าจะทิ้งไว้ข้างทางก็ดี” พอกางเขนบ่นอุบทำหน้าหงิกงอ หงส์หยกก็หยิกแขนน้องสาวดื้อ ๆ
“โอ๊ย! กางเขนเจ็บนะ” ผู้เป็นน้องทำหน้าหงิกกว่าเก่าแล้วลูบแขน “เจ๊หยิกกางเขนทำไม?”
“อีกหน่อยนายเพรียวก็จะมาเป็นสมาชิกในครอบครัวของเราแล้ว จะพูดจะจาอะไรก็ให้มันน้อย ๆ หน่อย”
“เจ๊ว่าไงนะ?!” กางเขนถามเสียงดังอย่างตกอกตกใจ ทำเอาบรรดาผู้ใหญ่ที่นั่งพูดคุยอยู่กับอาคเนย์พากับหันมามองกางเขนด้วยสายตาตำหนิ
กางเขนเลยยิ้มแหยพร้อมผงกศีรษะให้กับทุกคนก่อนหันมาสนใจพี่สาวอีกครั้ง
“นี่ล้อกันเล่นใช่มั้ย?”
“เรื่องจริง นี่ไง” หงส์หยกย้ำพร้อมยิ้มหวาน พลางชูมือซ้ายซึ่งสวมแหวนเพชรน้ำงามให้น้องสาวได้ดู
กางเขนรีบคว้ามือพี่สาวเอาไว้แล้วดูแหวนวงนั้นอย่างสนอกสนใจ แต่หงส์หยกก็ดึงมือกลับไปจัดการเรียงขนมของฝากใส่ถุงต่อ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมกางเขนไม่รู้เรื่องเลย?”
“ก็... เมื่อไม่นานนี้เอง”
“ไม่นานน่ะ กี่วันมาแล้ว” กางเขนทำหน้ายุ่งอย่างไม่สบอารมณ์
“สักห้าเดือนที่แล้ว”
คำบอกเล่าของหงส์หยกนี่ล่ะยิ่งพาให้กางเขนเครียดหนักยิ่งกว่าเดิม เธอไม่มีความสำคัญในครอบครัวเลย ขนาดพี่สาวหมั้นหมายทั้งทีเธอยังไม่รู้เรื่องนี้
ในตอนนี้เธอไม่สนใจเรื่องที่สมาชิกในครอบครัวไม่ยอมบอกเธอเรื่องที่หยกหมั้นหมายกับอาคเนย์แล้ว ประเด็นร้อนที่ค้างใจของเธออยู่คือ คนที่หงส์หยกเลือกมาเป็นคู่หมั้น และเธอก็ไม่ชอบขี้หน้านั่นต่างหาก!
หากหงส์หยกหมั้นหมายกับคนอื่น กางเขนจะไม่ใส่ใจอะไรมากเลย แต่เพราะผู้ชายที่จะมาเป็นพี่เขยในอนาคตคือ ‘นายอาคเนย์ พิบูรณ์พูนผล’ นี่สิ ถึงทำให้เธอแทบเต้น เพราะทำใจยอมรับไม่ได้!
“เธอเก่งเนอะ ทั้งที่ขึ้นรถทัวร์มายังหอบหิ้วขนมพวกนี้กลับมาบ้านได้ตั้งเยอะ” หงส์หยกชวนคุยไม่สนใจปฏิกิริยาของน้องสาวเท่าไหร่
กางเขนไม่สนใจที่พี่สาวพูดเลย พอหงส์หยกลุกขึ้นนำของฝากไปให้อาคเนย์นั่นล่ะ กางเขนก็หนีไปเดินเล่นข้างล่างซะ ทั้งนี้เป็นเพราะไม่อยากเห็นหน้ายียวนกวนประสาทของอาคเนย์ที่ทำท่าว่าพอใจกับของฝากของเธอเป็นนักเป็นหนานั่นเอง
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นายนั่นกำลังเย้ยเยาะเธอ!
ใต้ร่มเงาของต้นลีลาวดีที่ออกดอกขาวสะพรั่งต้น ทั้งยังส่งกลิ่นหอมอบอวนไปทั่วบริเวณ และปลิดขั้วทิ้งดอกสีขาวแซมเหลืองกระจายอยู่เต็มพรมหญ้าเขียวขจี ไม่ได้สร้างความสงบให้กับกางเขนแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามหญิงสาวกลับรู้สึกไม่สบายใจและอึดอัดกับเรื่องของหงส์หยกหมั้นหมายกับอาคเนย์เป็นอย่างมาก
คำถามก็คือ ทั้งสองคนนี้รักกันตั้งแต่เมื่อไหร่?
