บทที่ 1 : พบเจออีกครั้ง
บทที่ 1
ปีพุทธศักราช 256X
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เดินผ่านกัน มองหน้ากันเพียงแวบเดียวแล้วก็หันกลับมา ถึงจะไม่ได้รู้จักหรือได้พูดคุยกัน แต่หากช่วงชีวิตหนึ่งได้มีโอกาสผ่านหน้าผ่านตากันบ้าง ก็เป็นความเชื่อที่ว่าชาติที่แล้วหรือชาติไหน ๆ เราก็คงเคยเจอกันมาบ้างแล้ว...
เดี๋ยวครับ! เปิดเรื่องมาทำไมต้องจริงจังเบอร์นั้นอะ ผมแค่เดินออกจากหอเพื่อมาหาข้อมูลไปทำธีสิสแล้วดันเดินผ่านคนนั้นคนนี้ที่ผมไม่รู้จักเท่านั้นเอง จะงัดปรัชญาชีวิตออกมาทำไมเนี่ย จะปลงแล้วถูกไหม
อ้ะ สวัสดีครับ งงละสิว่าผมเป็นใครมาจากไหน เปิดเรื่องมาก็บ่นเลย ไหนเรามาทำความรู้จักกันหน่อยดีกว่าไหมครับ
ผมชื่อบอร์น ชื่อจริงชื่อบรรณรต ส่วนไอ้ที่บอกไปว่าผมกำลังจะออกไปหาข้อมูลทำธีสิสนี่ก็...อา ไม่อยากพูดถึงหัวข้อธีสิสที่ผมเพิ่งจะได้รับการยอมรับแบบส่ง ๆ จากอาจารย์ที่ปรึกษามาเมื่อวานนี่เอง
ตอนนี้ผมเรียนสถาปัตย์ปี 5 แล้ว ปีที่ไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ต้องมาลุ้นว่าจะจบแหล่มิจบแหล่ด้วยชิ้นงานชิ้นใหญ่ที่จะเป็นตัวกำหนดว่าผมจะอยู่หรือจะไปเนี่ยแหละ จะหกปีหรือเจ็ดปี เดี๋ยวรู้เรื่องเลย แต่ที่แน่ ๆ ผมไม่จบพร้อมเพื่อนที่เรียนหมอหรอกเว้ย
ส่วนตอนนี้ผมก็ต้องเดินออกมาจากหอพักไปยังหอสมุดมหาวิทยาลัย เพื่อมาหาวิทยานิพนธ์เก่า ๆ และแรงบันดาลใจเอาไปทำงานของตัวเอง ตอนนี้ผมเรียนจนเพื่อนคณะอื่นเรียนจบมีงานทำรอรับปริญญากันแล้วแต่ตัวเองยังต้องเช่าหออยู่จนป้าเจ้าของหออยากจะไล่ออกเต็มทนแล้วเนี่ย
Rrrrrrr
แล้วพอเดินออกมาได้สักพัก โทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายมันก็ร้องรอคนกดรับพอดีเลย
"เออว่า"
หน้าจอแสดงชื่อ 'ฝุ่น' เพื่อนสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มที่เซอร์ที่สุดในบรรดาผู้หญิงทั้งภาค
[มึงอยู่ไหนอะ]
"เดินอยู่แถวมอเนี่ย"
[ไปหอสมุดปะ]
"ไปดิ เนี่ยกำลังเดินอยู่"
[เชี่ย กูไปด้วย จองที่ให้กูด้วยนะเดี๋ยวกูแว้นไป แป๊บเดียวถึง]
คบกันมาเป็นปีที่ห้ามันก็อย่างนี้แหละครับ บางทีผมก็คิดว่ามันไม่ใช่ผู้หญิงเสียด้วยซ้ำไป
"สัด มารับกูด้วย อย่าให้กูเดินตากแดดอยู่คนเดียว"
[เออ ๆ รอแถวนั้นก่อนนะ]
"แถวเซเว่นหน้าเศด’ศาสตร์นะ"
[เออ]
ครับ เป็นผู้หญิงที่เซอร์และติดดินที่สุด แต่ถึงจะเซอร์ยังไงหน้าตามันก็น่ารักนะ ไปวัดไปวาไปโบสถ์ไปสุเหร่าได้แล้วก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนคบกันมาปีสองปีแล้วมั้งนับกับมันไม่ถูกด้วย แล้วเขาบอกว่าคนมีความรักมักจะหน้าตาสดใสทำห่าอะไรก็ดูมีความสุข ดูแลตัวเอง บลา ๆ แต่เปล่าครับ ไอ้นี่มันก็ยังเซอร์และชิวเหมือนเดิมเป็นตัวของตัวเองสุด ๆ จัดว่าแฟนมันก็รักแบบที่ไม่ได้รักแค่หน้าตาของมันอย่างเดียว
แต่ช่วงนี้ปี 5 ทั้งคณะคงชิวไม่ออก ถ้าไม่มีอาจารย์สุดที่รักของทุกคนไง! สั่งงานทีไม่ต้องหลับต้องนอน โปรเจ็กต์ปีที่แล้วอดนอนกันคนละห้าวันทั้งภาค คิดแล้วน้ำตาจะไหลขอแชร์นะครับ กูผ่านจุดนั้นมาได้ยังไงวะ ปี 5 ก็คงไม่เว้นนะดูจากรูปการณ์แล้ว
ปี๊นนนน! ปี๊นนนน! ปี๊น ๆ ๆ ๆ
"มึงจะบีบหาญาติมึงเหรอฝุ่น!" บีบเหมือนไม่เคยเห็นแตรมอเตอร์ไซค์อะ
แล้วอย่างที่มันบอกจริง ๆ แว้นมาแป๊บเดียวถึงมาบีบแตรปิ๊น ๆ ใส่หูผมนี่ไง
"มารับแล้วยังจะมาด่าอีก เร็ว ๆ ร้อน"
หมวกกันน็อกก็ไม่ใส่ มันน่านัก
"มึงทำหัวข้ออะไรนะ" ขี่รถลมตีหน้าฝุ่นยังหันครึ่งหน้ามาคุยกับผมได้
"สนามบิน"
"เชรดดดดดดดดด" เชรดมึงนี่พันรอบโลกได้แล้วนะ "สนามบินก็มาว่ะ ตัดโมครึ่งปีปะเนี่ย"
"สองวันก็เสร็จแล้วเหอะ"
"ทำเป็นพูด รีสอร์ตมึงตอนนั้นกูยังต้องไปช่วยอยู่เลยนะ จำไม่ได้แล้วเหรอ"
ก็จริงของมันครับ เวลางานมันเดือดจวนเจียนจะถึงกำหนดส่ง พอมีใครยื่นมือมาช่วยก็รับหมดแหละ ปฏิเสธไม่ได้ เกลียดใครตอนนั้นก็ต้องลดทิฐิตัวเองไปก่อนเพราะงานที่ต้องส่งในวันรุ่งขึ้นสำคัญกว่า
แต่...ธีสิสมันเป็นตัวตัดสินชีวิตนักศึกษาทุกคนว่าจะอยู่หรือจะไปไม่เหมือนงานที่ผ่าน ๆ มา ผมคงต้องตั้งใจให้มากกว่างานที่ผ่านมาจริง ๆ นั่นแหละ
คิดเสียใหญ่โต เกิดทำไม่ได้ขึ้นมาทำไงอะ
ก็เพราะกลัวว่าจะทำไม่ได้เหมือนอย่างที่คิดไง ผมเลยต้องไปหาผลงานของรุ่นพี่ในหอสมุดมาปูทางให้ตัวเองก่อน
แล้วตอนนี้ผมกับไอ้ฝุ่นเราก็มาถึงหอสมุดโดยสวัสดิภาพ คือมึงแว้นมายิ่งกว่าพี่วินที่ผมเคยนั่งบ่อย ๆ อีก ขับขี่ยวดยานแบบนี้แฟนปล่อยได้ไงวะ
"แล้วกูต้องเริ่มจากอะไรก่อนอะ"
เข้ามาแล้วแต่ดันหาทางไปต่อไม่ถูก เพราะด้านหน้ามีแต่ชั้นหนังสืออยู่เต็มไปหมด ไม่รู้จะไปล็อกไหนก่อนดี ทำให้ผมต้องยืนโง่ ๆ อยู่หน้าเคาน์เตอร์ยืมคืนเสมือนว่าอยู่มาสี่ซ้าห้าปีไม่เคยเหยียบหอสมุดเลย
"ไปดูโมเดลก่อนปะล่ะ เขามีโมเดลเจ๋ง ๆ ให้ดูที่ชั้น 5 นะ...มึงไม่เคยไปอะดิ"
"กูเข้าหอสมุดกี่ครั้งตั้งแต่เรียนที่นี่" ไม่นอนอยู่บ้านก็นอนอยู่หออะชีวิตผม
"ไปไหมล่ะ กูจะไปหาอินสไปร์ให้ตัวเองด้วย" ว่าแล้วไอ้ฝุ่นก็เดินนำทางผมไปทางลิฟต์เพื่อขึ้นไปชั้น 5 ตามคำแนะนำของมัน
แล้วผมกับไอ้ฝุ่นเราก็เดินเข้ามาในห้องกว้าง ๆ เหมือนเป็นห้องที่เอาไว้จัดวางชิ้นงานโดยเฉพาะ ไม่มีหนังสือหรือแม้กระทั่งชั้นวางของ มีแต่คนดูแลที่นั่งกดโทรศัพท์ไม่เงยหน้าขึ้นมามองผู้มาเยือนอย่างพวกผมเลยเท่านั้น แต่จะพิเศษหน่อยก็ตรงที่มีตู้กระจกขนาดเท่าเอวจำนวนหลายสิบตู้ที่ภายในมีโมเดลสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ วางเรียงกันเป็นแถว
"โห นี่กูเพิ่งเคยมานะเนี่ย" ความรู้สึกเหมือนมางานบ้านและคอนโดอะไรแบบนั้นน่ะครับ มีงานเก่า ๆ ของรุ่นพี่แต่ละรุ่น แล้วแต่ละงานก็เป็นโมเดลที่ได้เกรดเอพร้อมทั้งชื่อเจ้าตัวทั้งนั้น
"กูชอบมาหาแรงบันดาลใจที่นี่บ่อย ๆ อะ"
"ไม่ชวนกูบ้างวะ"
"ไอ้เหี้ย โทรไปก็หลับเหอะไอ้สัด" อย่าด่าดิ สำนึกไม่ทัน
ถึงเวลาที่ผมต้องแยกกับเพื่อนสาวเพื่อหาแรงบันดาลใจของใครของมัน ซึ่งผมจะสร้างสนามบิน ส่วนไอ้ฝุ่นมันจะทำสวนสนุก คิดดูเถอะครับ งานใหญ่ขนาดนี้เป็นใครมันก็ต้องมีเครียดกันทั้งนั้น
สายตาของผมกวาดมองไปรอบ ๆ เผื่องานของรุ่นพี่ชิ้นใดชิ้นหนึ่งจะไปตรงจริตผมบ้างสักงาน แต่ก็ไม่เห็นมีของใครให้ผมได้รู้สึกว่ามันจะทำให้กรอบทางความคิดของผมมันขยายตัวได้เลย มีแต่จะฝ่อลง ฝ่อลงเรื่อย ๆ เนี่ยว่าทำไมเขาทำกันได้อลังการล้านแปดขนาดนี้
หือ?
หลังจากที่ผมเดินดูงานไปเรื่อย ๆ อยู่ ๆ ใจผมก็เหมือนโดนกระชากไปทางด้านหลัง รู้สึกเหมือนมีอะไรมากระตุกความรู้สึกเมื่อเห็นชิ้นงานของคนคนหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้า โดยที่ชิ้นงานของเขามีชื่อและรุ่นสลักเอาไว้ที่แผ่นไม้ด้านนอกกรอบกระจก
เชี่ยเอ๊ย...
เห็นชื่อนี้ทีไร ทำผมเสียศูนย์ตลอดเลย
จะลืมก็ลืมไม่สุด อยากจะลืมแค่ไหนแต่พอมาเจออะไรแบบนี้แล้วมันกลายเป็นการตอกย้ำความทรงจำในอดีตแทน
แล้วทำไมต้องมายืนลูบหน้าอกสงบจิตสงบใจตรงหน้าชิ้นงานเขาด้วยวะ
"บอร์น" รู้ตัวอีกที ไอ้ฝุ่นก็ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้ว
ป่านนี้ไอ้เพื่อนสายแมน ๆ เตะบอลคนนี้คงรู้หมดแล้วแหละว่าอาการตอนนี้ผมเป็นยังไง
"กูเห็นงานอาจารย์เขาหลายรอบแล้วแหละ แต่ไม่อยากบอกมึงให้มาดูหรอก กลัวมึงยังลืมเขาไม่ได้"
ขอบใจว่ะ "แค่กูเห็นชื่อ เหตุการณ์มาเป็นไทม์ไลน์เลยแม่ง" ผมพูดพลางเอามือมานวดแถว ๆ ขมับก่อนจะทอดสายตาลวก ๆ ไปยังผลงานของบุคคลในอดีต และถือว่าเป็นคนหนึ่งที่สร้างความทรงจำร่วมกันกับผมครั้งหนึ่งในชีวิต
"งานอาจารย์เขาสวยจริงเนอะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมได้ส่งเข้าประกวดแล้วได้รับรางวัลด้วย"
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเห็นผลงานของคนที่ผม 'รัก' จะว่ารักในอดีตก็คงไม่ใช่ เพราะปัจจุบันผมยังไม่เคยลืมเรื่องราวที่เคยสร้างด้วยกันมาเลย ผลงานที่ชื่อว่า 'โรงเรียนในฝัน' แค่เห็นโมเดลของเขา ทั้งใบหน้าทั้งน้ำเสียง ทั้งไออุ่นจากมือคู่นั้นที่ผมคุ้นเคยลอยเข้ามาจากเศษเสี้ยวความทรงจำจนหยุดไม่ได้
อา...คิดถึงเขาจนจะร้องไห้อีกแล้วเนี่ย
"มึงจะอยู่ในห้องนี้นานปะ" ผมหันไปถามอีกคนที่ยังไม่เลิกชื่นชมผลงานตรงหน้าเสียที
กูไม่อยากอยู่ตรงนี้นานเข้าใจปะ เดี๋ยวร้องไห้!
"เดี๋ยวแม็กมันจะมาอะ แล้วมึงจะไปไหน"
"ไปหาไรแดก"
"สัด เห็นชื่ออาจารย์แล้วหิวเลยเหรอ" เอ๊ะไอ้นี่ เห็นผมบ้า ๆ บอ ๆ งี้แต่ผมก็มีน้ำโหเหมือนกันนะเว้ย "ไปร้านกาแฟใช่มะ เดี๋ยวกูตามไปตอนแม็กถึงแล้วก็ได้ ยังไม่ได้อะไรเลยเนี่ย"
"เออ ๆ รีบ ๆ ตามมานะ เหงา"
"จ้า"
ขนาดใช้วิธีเดินลงบันไดแทนการลงลิฟต์มาถึงร้านกาแฟที่ชั้น 1 แล้วใจมันยังไม่หายสั่นเลย ถ้ากินกาแฟเสริมเข้าไปอีกไม่ช็อกเลยเหรอ
พอที ๆ แรงบันดาลใจอะไรไม่ได้กลับมาสักอย่าง ได้แต่อะไรก็ไม่รู้ มีแต่อดีต ไอ้เหี้ยเอ๊ย
"ลาเต้หวานน้อยแก้วหนึ่งครับ" รีบ ๆ สั่งรีบ ๆ กิน เผื่ออะไรอร่อย ๆ มันจะทำให้ผมหายใจสั่นมือสั่นได้บ้าง
"สี่สิบห้าบาทค่ะ"
"คาปูชิโน่ปั่นแก้วหนึ่งครับ"
ใขขณะที่ผมยืนรอน้ำที่สั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ไปเรื่อย ๆ ก็มีลูกค้าอีกคนเข้ามาสั่งข้าง ๆ ผม นี่ก็ไม่ได้สนใจอะไรไง อีกอย่างเขาก็เป็นลูกค้าที่มาสั่งของเหมือนกัน ทำได้แค่มองดูนั่นดูนี่ ซึมซับบรรยากาศของมหาวิทยาลัยเข้าไป เพราะอีกหน่อยผมเรียนจบก็คงไม่ได้มาเห็นบรรยากาศแบบนี้อีกแล้ว
อืม...อีกหน่อยก็จบแล้ว
พูดแล้วเศร้าเนอะ ห้าปีเด็กสถาปัตย์ จะว่าสั้นก็สั้นเหมือนกันแฮะ
หืม?
เมื่อหันซ้ายหันขวาไปเรื่อยจนหันมาเจอลูกค้าที่สั่งคาปูแก้วเมื่อกี้ สายตาผมกลับหยุดไปที่ใบหน้าของเขาเหมือนตัวเองถูกสตั๊ฟไว้ทั้งอย่างนั้น เพราะเสี้ยวหน้าเพียงครึ่งหนึ่งของลูกค้าคนนี้...
ผู้ชายตัวสูงร้อยแปดสิบกว่า ผิวสีน้ำผึ้ง จมูกเป็นสันเห็นชัดเจนเวลามองด้านข้าง ยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูคมขึ้นกว่าเดิม และยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายที่คุ้นเคย กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อน ๆ ที่เคยรู้สึก มันยิ่งตรึงผมให้อยู่ในอิริยาบถนั้นนานขึ้น
ชัดเลย ตอนที่เขาหันหน้ามามองผม
"อะ...อาจารย์"
ดูเขาจะเบิกตากว้างไปก่อนที่จะ... "บอร์น...ใช่ไหม"
หน้าตาอาจารย์ที่ผมเพิ่งเรียกเขาไป ดูไม่ได้แตกต่างจากผมเท่าไหร่นัก นึกสภาพผมที่ตกใจจนพูดไม่ออกยังไง อาจารย์คนที่ผมคิดถึงที่สุดก็คงจะตกใจเหมือนผมอย่างนั้น
"อาจารย์ปราชญ์จริงปะเนี่ย"
เชี่ย...
อยู่ดี ๆ อารมณ์ทุกอย่างทุกความรู้สึกไปกระจุกรวมกันที่คอ อยากจะกลืนลงไปก็ทำได้แค่ยืนนิ่ง ๆ และกวาดสายตาไปยังร่างกายที่ผมพยายามจะลืมอยู่ทุกวัน แต่ยิ่งมอง ก็ยิ่งทำให้ผม...
อยากกระโดดกอดเขาใจจะขาด
"มา...มายังไงครับ" ไม่เจอกันเกือบสี่ปี กาลเวลาไม่เคยทำอะไรผู้ชายคนนี้ได้เลยเหรอ
"พอดีว่าง ๆ ครูเลย...แวะมา"
"แล้วตอนนี้..." โอ๊ย! มึงจะอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ทำไมอีก คิดอะไรก็พูดออกไปสิไอ้เชี่ยบอร์น ใครไปอุดปากมึงไว้เล่า
ยิ่งอยากเค้นคำพูดออกมาเท่าไหร่ ความอึดอัดมันยิ่งตีขึ้นมาที่ลำคอจนพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้ผมเลยทำได้แค่ใช้สีหน้าที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังทำหน้ายังไงอยู่ เป็นตัวสื่อสารในสิ่งที่ผมอยากจะพูดออกไปแทน
คิดถึงว่ะ...มึงก็พูดออกไปสิบอร์น แค่คิดถึงมึงพูดไม่เป็นเหรอ
“ผะ...ผะ...ผม...”
"เดี๋ยวกาแฟผมมาเอานะครับ"
ร่างสูงหันไปบอกกับพนักงานร้านกาแฟก่อนที่จะรวบไหล่ผมให้เดินออกมาจากร้านไปพร้อมกัน และตรงดิ่งจนเกือบจะเรียกว่าวิ่งไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดินของหอสมุดนี้ และมาหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งที่ผมมั่นใจว่ามันเงียบและปลอดคนที่สุดในชั้นนี้แล้ว
"เกือบจะจำไม่ได้แล้วนะ...ดูทำสีผมเข้าสิ" คนตัวสูงตรงหน้าพูดก่อนจะยกมือเกลี่ยผมสีน้ำตาลอ่อนประกายทองที่เพิ่งไปทำใหม่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
ใบหน้าของเขาไม่เคยเปลี่ยนไป อ่อนโยนยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น รอยยิ้มที่ทำให้ผมหลงแทบบ้า ตอนนี้ผมก็ยังไม่ชินสักที
จังหวะนี้ผมเองก็ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป ได้แต่มองหน้าคนตัวสูงสลับกับเลิ่กลั่กไปมาจนหยุดสายตาไม่ได้เลย มือสั่นเทิ้ม อยากจะพูดในสิ่งที่อยากจะสื่อ แต่ปากมันกลับไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว
"บอร์นเป็นไงบ้าง เกือบสี่ปีเลยนะที่ไม่ได้เจอกัน"
“อาจารย์...”
“.......”
"อาจารย์ไปอยู่ไหนมาอะ ทำไมตอนนั้นผมติดต่ออะไรไม่ได้เลย" เมื่อได้สติ ผมเลยซัดคำถามแรกที่สงสัยมานานเกือบสี่ปีใส่เขาไป
"........"
"รู้ไหมว่าตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นผมพยายามติดต่ออาจารย์ทุกทาง แต่ผมติดต่ออาจารย์ไม่ได้เลย”
“........”
“ผมไปหาอาจารย์ที่หอแต่เจ้าของเขาก็บอกว่าอาจารย์คืนหอไปแล้ว ผมไปถามใครก็ไม่มีใครอยากตอบ..."
"....."
“อาจารย์รู้ไหมครับ...ว่าตอนนั้นผมต้องทนกับสภาพแบบไหนบ้าง...”
ดราม่ามาเต็มขนาดไหนผมไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ ความคิดถึงที่ผมมีต่อผู้ชายเบื้องหน้า มันกำลังเอ่อล้นออกมาเป็นน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม
"คิดจะไปก็ไป คิดจะมาก็มา ไม่รู้เหรอว่าคนรอมันเหนื่อยนะ! อาจารย์ทิ้งผมให้อยู่ตรงนั้นคนเดียวอะจิตใจทำด้วยอะไรเหรอ" ผมเริ่มพูดไม่เป็นภาษาเพราะตอนนี้ทั้งเสียงสะอื้น ทั้งน้ำตามันมาจุกอยู่จนไม่รู้ว่าสิ่งที่อยากพูดมีกี่เรื่องกันแน่ "อาจารย์รู้ไหมว่าผมคิดถึงอาจารย์มากขนาดไหน ทุกวันนี้พยายามจะลืมยังทำไม่ได้เล..."
ฟุ่บ!
ยังไม่ทันจะได้พูดจบหรือได้ระบายความรู้สึกที่ผ่านมาตลอดเกือบสี่ปีใส่เขา ภาพตรงหน้ากลับเปลี่ยนไปกลายเป็นร่างสูงสวมกอดผมก่อนจะกระชับกอดนี้แน่น จนผมอดไม่ได้ที่จะปล่อยน้ำตาล็อตใหญ่ที่สุดออกไปจนมันไหลเปียกแขนเสื้อของอีกคน พร้อมทั้งเสียงสะอื้นที่เหมือนกับว่าทั้งชีวิตไม่ได้ร้องไห้มานาน
"ขอโทษ..." เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหู มันอู้อี้เสียจนเกือบจะไม่ได้ยิน "ขอโทษที่ครูทิ้งให้บอร์นต้องอยู่คนเดียว"
หมดเรี่ยวแรงจะตอบอะไรออกไป ได้แต่ยกมือทุบไหล่และหลังอีกคนด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด เสียงสะอื้นของผมดังขาด ๆ หาย ๆ ตามลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกที่ไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะซุกหน้าไปบนไหล่กว้างของผู้ชายคนนี้
"มาหาแล้วนี่ไง" อาจารย์ปราชญ์ บุคคลที่สอนทุกอย่างให้กับผมคนนี้ค่อย ๆ คลายอ้อมกอดออกก่อนจะเผยถึงดวงตาที่มีน้ำใสคลออยู่
คนที่ผมเรียกว่าอาจารย์มาตลอดทั้งชีวิต ตอนนี้เขาเชิดคางผมขึ้นเบา ๆ ก่อนจะประกบริมฝีปากลงมา กลิ่นอายรสจูบในตอนนี้มันไม่เคยแตกต่างจากวันนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ความอ่อนโยนที่เขามักจะมอบให้ผมทุกครั้งที่เราจูบกัน ความร้อนแรงที่มักจะตามมาหลังจากนี้ ลิ้นอุ่นที่สัมผัสจนเกือบจะหลอมรวมเรียวปากของเราให้เป็นเนื้อเดียวกัน และสัมผัสจากมือหนาที่ไล่มาตามร่างกาย...
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ สัมผัสจากเขาไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนไปเลย
จนกระทั่งอาจารย์ปราชญ์จับมือให้ผมเดินตามเขาเข้าไปในห้องน้ำในชั้นลานจอดรถที่หายากนักที่จะมีคนเข้าไปใช้ ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้นภายในห้องน้ำห้องเล็กและแคบเกินกว่าที่ผู้ชายสองคนจะเข้าไปพร้อมกันได้
แต่สำหรับอารมณ์ที่ปะทุจนถึงขีดสุดตอนนี้ มันไม่มีสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคและไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับความต้องการของเรา และไม่มีสิ่งไหนที่สามารถห้ามปรามทุกสิ่งทุกอย่างที่มันกำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้อีกแล้ว
ไม่ใช่เพราะความอยาก แต่เพราะมันมาจากความคิดถึงต่างหาก ที่ทำให้มีเหตุการณ์อย่างวันนี้เกิดขึ้นมาได้
???
“ยังเจ็บอยู่ไหม”
“ไม่แล้วครับ”
“งั้นต่ออีกรอบได้น่ะสิ”
“พอ ๆ”
อ่านแล้วคิดว่ายังไงกันเหรอ อืม...ก็ตามที่คิดนั่นแหละ หลังจากที่ผมกับอาจารย์ปราชญ์เสร็จสิ้นความต้องการของแต่ละคนที่ห้องน้ำลานจอดรถชั้นใต้ดินเมื่อตอนกลางวันแล้ว เขาก็ดันลากผมให้กลับมาที่คอนโดของตัวเองที่อยู่ในกรุงเทพแล้วก็ต่อยกที่สองจนผมลงไปนอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูงนี้
ยังมีหน้ามาขอต่ออีกรอบอีก นับว่าวันนี้เขาดิบเถื่อนที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยนะ
“อาจารย์กลับมาตั้งแต่ตอนไหนเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นไปถามเขาก่อนที่จะก้มลงมาหลับตาพิงหัวกับหน้าอกเขาเหมือนเดิม
“กลับมาพักใหญ่แล้ว”
“แล้วไม่คิดจะกลับไปสอนต่อเหรอครับ”
“ครูยังจะมีหน้ากลับไปอีกเหรอ หืม?” อาจารย์ปราชญ์พูดก่อนจะเอาจมูกมาดุน ๆ ที่หัวของผม “แล้วนี่อยู่ปี 5 แล้วใช่ไหม ไวเนอะ เดี๋ยวก็จบแล้ว”
มานงมาเนอะ ทำมาเปลี่ยนเรื่อง
“กลับมาสอนผมอีกสิ” ไอ้เรื่องวกกลับมาเรื่องเก่านี่ไว้ใจไอ้บอร์น เรื่องไม่จบกูตบกลับเข้าที่เหมือนเดิม
“จะจบแล้วยังจะให้สอนอะไรอีก อีกอย่างเราเก่งออกจะตาย ตั้งใจทำธีสิสดี ๆ เดี๋ยวเอก็ลอยมาแล้ว”
“เหอ ๆ” หัวเราะแห้งเลย รอบที่แล้วเกือบได้เอฟ น้ำตาจะไหลเป็นสายเลือด “ผมไม่ใช่อาจารย์นี่”
ถึงจะหมดแรงจนอยากจะจมไปกับเตียงนุ่ม ๆ ก็เถอะ แต่การที่ต้องมาก้ม ๆ เงย ๆ เพื่อคุยกับอีกคนมันก็ลำบากคอผมเหมือนกันนะ ขอลุกขึ้นนั่งสักหน่อยแล้วกัน
“แล้ว...อาจารย์กลับมาทำอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าคิดถึงผมน่ะ”
“อืม”
“ฮั่นแน่...”
“อันนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่จริงก็กลับมาทำงานส่วนตัวของตัวเองน่ะ พอว่างเลยอยากจะกลับมาหาบรรยากาศเก่า ๆ”
“แล้วก่อนหน้านี้?”
ผมต้องการรู้ความจริงทั้งหมดว่าก่อนหน้านี้ผู้ชายคนนี้เขาหายไปไหนมา ไม่มีช่องทางไหนที่จะเอาไว้ติดต่อเขาได้เลย เกือบจะเป็นบ้าเพราะเขาด้วยซ้ำไป
“กลับไปทำงานที่บ้านน่ะ พออะไรมันเข้าที่เข้าทางก็เลยกลับมาทำงานที่ตัวเองรักเหมือนเดิมดีกว่า”
พอนึกไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งตัวผมต้องเสียศูนย์และชีวิตของคนที่ชื่อว่าอาจารย์ปราชญ์ต้องเปลี่ยนไป มันทำให้แววตาของคนกวน ๆ อย่างผมเปลี่ยนไป เปลี่ยน...จนตัวเองยังรู้สึกได้
“ขอโทษครับ...”
“ไม่เอาสิ บอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่ความผิดของบอร์น ถ้าตอนนั้นครูห้ามใจตัวเองได้ เรื่องมันก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก”
แย่ชะมัด อดีตที่ผมเคยทำร่วมกันกับอาจารย์ปราชญ์ไม่มีเหตุการณ์ไหนที่ไม่ดีเลย แต่พอมันใกล้จะถึงจุดจบเท่านั้นแหละ...
โคตรพัง
“คิดถึงตอนนั้นเหมือนกันเนอะ วันที่ครูกับเรายังคุยกันแบบอาจารย์กับนักศึกษา” คนที่ได้ชื่อว่าอาจารย์ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนหรือเขาจะเปลี่ยนอาชีพไปแล้วก็ตาม ความอบอุ่นและมาดความเป็นอาจารย์ของเขาก็ยังอยู่ และตอนนี้เขาเองก็กำลังลูบหัวผมเบา ๆ ก่อนจะเขี่ยจมูกผมเล่น
“ไม่อะ...ตอนนั้นไม่เห็นมีไรดีเลย”
“จริงเหรอ”
“อืม”
“งั้นมารื้อฟื้นกันหน่อยไหม จำได้หรือเปล่าว่าเรากับครูมาถึงขั้นนี้ได้ยังไง”
“จำได้สิ มีเหรอที่คนอย่างผมจะลืมน่ะ”
เขาก็เอาแต่หัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะซุกหน้าขบไหปลาร้าผมจนร่างกายอ่อนปวกเปียกจวนเจียนจะหมดแรงนี้ล้มลงไปกับเตียง
รื้อฟื้นอดีตดี ๆ กันบ้างก็น่าสนุกดีเหมือนกันเนอะ
TBC
บทแรกก็แซ่บเลยย
