ตอนที่ 1 จ๊ะเอ๋ใครเอ่ย
แนะนำตัวละคร
ทิวากร ชายวัยสามสิบแปด มาดขรึมหล่อรวยมีเสน่ห์แต่ไม่มีเมีย คนมักลือกันว่าเขาเป็นเกย์เพราะไม่เคยเห็นเขาควงหญิงมีแต่อยู่กับเพื่อนผู้ชาย
อันนา สาวน้อยวัยยี่สิบสองนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชน ลูกเลี้ยงของชาวีพี่ชายของทิวากรที่อยากมีลูกเลยรับเธอมาเลี้ยงดูพอมีลูกอิจฉา ทางครอบครัวก็ไม่ต้องการเด็กคนนี้ ทิวากรจึงรับมาเลี้ยงตั้งแต่เธออายุสิบสาม
เกริ่นนำ
“อากรเป็นเกย์จริงเหรอคะ”
“ไปฟังใครพูดอะไรมา?”
“อันนาแค่สงสัยว่าทำไมอากรถึงไม่มีเมีย”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” เขาทำเสียงดุคล้ายตำหนิสาวน้อยตรงหน้า
“อันนาไม่เด็กแล้วนะคะ” หน้าสวยง้ำงอโผขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักแกร่ง ทิวากรตกใจแทบสร่างเมาหัวใจเต้นแรง
“ลงไปจากตัวอา” เขาทำหน้าดุกลบเกลื่อนความรู้สึกหวั่นไหวที่มีให้เธอตั้งแต่ตอนโตเป็นสาวแรกรุ่นหากใกล้ชิดมากกว่านี้กลัวว่าจะเผลอใจทำอะไรที่ไม่ควร
“อันนาอยากรู้ว่าอากรไม่ชอบผู้หญิงจริงมั้ย”
“ผู้หญิงน่ะชอบแต่ไม่ชอบหลานตัวเอง”
“เราไม่ใช่อาหลานทางสายเลือดจริง ๆ สักหน่อย” คิ้วเรียวเลิกขึ้นอมยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วค่อย ๆ แกะกระดุมชุดนอนกระโปรงออกทีละเม็ดเผยเนินอกขาวเนียน นัยน์ตาคมเบิกโพลงกายร้อนวูบวาบรีบจับกุมมือหลานให้หยุด
“อันนา.....อย่าดื้อ.....” เสียงทุ้มกดต่ำทำหน้าดุให้เธอแต่ลอบกลืนน้ำลายลงคอ อันนาจ้องตาคุณอาที่รักก่อนจะโน้มเข้าใกล้อกอิ่มแนบชิดกับอกแกร่ง หน้าสวยแนบข้างแก้มสาก
“อยากห้ามจริงเหรอคะ อันนารู้นะว่าคืนที่เจ็บข้อเท้าอากรทำอะไร.....” ริมฝีปากบางยกยิ้มเห็นตอนที่เขากลืนน้ำลายลงคอเนื้อตัวที่ชิดใกล้รู้สึกถึงหัวใจของคนทั้งสองเต้นแรง เขาขบกรามแน่นพยายามอดกลั้นความต้องการที่ไม่ควรเกิดและตกใจที่อันนารู้ตัวว่าเขาลวนลามเธอตอนหลับ
“อุ้ย! อากร.....” อันนารู้สึกได้ถึงเป้ากางเกงที่แข็งตุงเลยผละตัวออกห่างแต่แขนแกร่งกลับรวบรัดเอวเธอไว้แน่น
“ใครสอนให้หัดยั่วผู้ชาย หรือว่าอันนาของอาเป็นของคนอื่นไปแล้ว” สายตาคมหวานเยิ้มน้ำเสียงแหบพร่าจนเธอขนลุก
“ไม่บอกค่ะ ถ้าอยากรู้อากรต้องพิสูจน์เอง” ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างยั่วยวนยกนิ้วชี้ขึ้นกรีดกรายริมฝีปากหนาแผ่วเบา
ตอนที่ 1 จีะเอ๋ ใครเอ่ย
บ้านหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นสีเทาสลับขาวล้อมรอบด้วยกระจกบานใหญ่สีดำสนิทที่มองเห็นวิวข้างนอกแต่คนข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็นข้างใน พื้นบ้านสีขาวสะอาดเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นเน้นความเรียบหรูและพื้นที่โล่งกว้าง
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเวลาตีห้าครึ่ง
ร่างแกร่งนอนคว่ำศีรษะกับบ่าแกร่งโผล่พ้นผ้านวมสีน้ำเงินเข้ม มือหนาเอื้อมไปกดปิดนาฬิกาปลุกพลิกตัวนอนหงายลืมตาก่อนจะยันตัวขึ้นนั่งลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าเดินสวมกางเกงขายาวเปลือยท่อนบนเดินไปออกกำลังยามเช้าวันละครึ่งชั่วโมงที่ห้องออกกำลังกายที่แบ่งโซนเชื่อมต่อกัน ก่อนจะเข้าไปชำระร่างกายแต่งตัวเพื่อออกไปทำงาน กายหนาเดินมาหน้ากระจกเงาสูงเท่าตัวบานใหญ่สำรวจดูความเรียบร้อยจัดแต่งทรงผมให้เข้าที่กระจกสะท้อนเงาทิวากรเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคิ้วดกดำนัยน์ตาคมจมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากหนาหยักได้สีผิวน้ำผึ้งกับใบหน้าคมเข้มทำให้ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลเป็นที่หมายปองของสาวน้อยสาวใหญ่ไฮโซนางแบบเข้ามาพัวพันแต่ไม่ชายตาแลทำให้ร่ำลือกันว่าเขาไม่มองหญิง
ภายในห้องอาหารกว้างสีขาวสะอาดโต๊ะอาหารสีขาวยาวไปสุดท้ายห้องมีเก้าอี้ทรงสูงสีดำวางเรียงเป็นทางยาวเสมอโต๊ะ ทิวากรนั่งที่หัวโต๊ะหยิบมีดส้อมเตรียมหั่นอาหารเช้าที่เป็นไข่ไส้กรอกและเบคอน
“จ๊ะเอ๋ ใครเอ่ย” มือขาวนุ่มปิดดวงตาคมกริบส่งน้ำเสียงหวานสดใสข้างแก้มสาก
“ชาลอน เอ็มม่า นาตาลี” ริมฝีปากหนายกยิ้มแกล้งเอ่ยชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่หลานสาว
“พอแล้วค่ะ แกล้งทายแต่ดาราที่ตัวเองชอบ” อันนาหน้ามุ่ยคลายมือออกแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ เขาชำเลืองมองหลานสาวแสนสวยหน้าตาบ้องแบ๊วผิวขาวเนียนละเอียดน่ารักสดใสอย่างเอ็นดู หางตาเห็นกระเป๋าลากใบใหญ่วางอยู่บนพื้นข้างขาของหลานสาว
“หอบกระเป๋าใบใหญ่จะไปไหน?”
“วันนี้ไปเก็บตัวเชียร์ลีดเดอร์ไงคะ อากรลืมเหรอ”
“อ๋อ วันนี้เอง......” เสียงทุ้มลากยาวทำกลบเกลื่อนเพราะเขาจำไม่ได้ว่าเป็นวันนี้
“ลืมก็บอกมาเถอะค่ะไม่เนียนเลย” เธอโน้มหน้าเข้าไปใกล้ดวงตากลมโตจ้องมองอย่างคาดคั้น ทิวากรชะงักมองใบหน้าสวยหวานใจเต้นรัวก่อนจะหลบตาลงเอนกายถอยเล็กน้อย
“ช่วงนี้งานเยอะ”
“งานเยอะหรือเที่ยวเยอะคะ เมื่อคืนไปเที่ยวกับอาทศ อาพีกลับมาเกือบตีหนึ่งแหนะ” อันนาผละออกบ่นพึมพำหยิบมีดกับส้อมขึ้นมาหั่นไส้กรอก
“มันก็ต้องมีบ้าง.......” มือหนาเอื้อมไปหยิบขวดซอสมะเขือเทศเหยาะลงข้างจานของหลานสาว อันนาจิ้มไส้กรอกจุ่มลงซอสมะเขือเทศแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวไปคุยไป
“ไว้วันหลังอันนาขอไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนบ้างนะคะ อยากรู้ว่าสนุกแค่ไหนอากรกับเพื่อน ๆ ถึงชอบไปบ่อย ๆ ”
“ไม่ได้!”
“ทำไมล่ะคะ เพื่อนชวนมาตั้งแต่ปีสองแล้วอันนายังไม่เคยไปเลย” เธอหันมองด้วยความสงสัยหลายครั้งที่ขอไปเที่ยวกลางคืนก็ถูกปฏิเสธ
“สถานที่คับแคบคนเบียดเสียดพวกผู้ชายชอบเนียนแต๊ะอั๋งผู้หญิงหนักหน่อยก็มอมเหล้าแล้วหิ้วไปทำไม่ดี”
“น่าลองนะคะเผื่อจะโดนหิ้ว”
“อย่าดื้อ ถ้าพี่วีรู้ก็โดนดุอีกแค่เรื่องเป็นเชียร์ลีดเดอร์อาก็โดนบ่นจนหูชามากพอแล้ว” เขาสวนกลับทันควันลืมคิดไปว่าหากพูดถึงพี่ชายของเขาเมื่อไหร่หลานสาวจะหงอยทุกที
“ดุอย่างเดียว แต่ไม่เคยสนใจชีวิตอันนาเลย” น้ำเสียงสดใสเมื่อครู่อ่อนลงหลบสายตามองอาหารในจาน ทิวากรรู้ตัวว่าพูดผิดทำให้บรรยากาศการสนทนาระหว่างอาหลานชะงักเลยนึกหาเรื่องคุยอย่างอื่น
“ว่าแต่จะไปเก็บตัวกี่วัน?”
“ห้าวันค่ะ ซ้อมหนักหน่อยมีรายการแข่งอาทิตย์หน้า”
“ทำให้เต็มที่นะ อันนาหลานอาเก่งอยู่แล้ว” มือหนาลูบศีรษะหลานสาวแผ่วเบาอย่างเอ็นดู อันนายิ้มเล็กน้อยรู้ว่าอาเปลี่ยนเรื่องคุยให้เธอสบายใจ
โดมเชียร์กีฬา มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง
รถคอมมูเตอร์สีดำคันหรูแล่นมาจอดบริเวณโดมกีฬาที่มีเหล่านักศึกษาชายหญิงนั่งรวมกลุ่มพูดคุยกันมีกระเป๋าใบใหญ่วางกองรวมกันข้างสนาม อันนาลงจากรถเอื้อมไปหยิบกระเป๋าลากใบใหญ่ที่วางอยู่ตรงที่วางเท้าด้านหลัง ทิวากรเอื้อมมือไปช่วยจับหูกระเป๋าแต่ดันจับไปที่มือนุ่มของหลานสาว เขารีบดึงมือออกอย่างตกใจแต่เก็บอาการด้านอันนาเองหลบตาลงเขินแก้มชมพู
“อันนา” เบลสาวน้อยร่างเล็กหน้าตาสวยคมเพื่อนสนิทของอันนารีบวิ่งมารับเพื่อน
“เบล” อันนาหันขวับไปยิ้มให้เบล บาสกับเป้วิ่งตามมาสมทบด้วย ทิวากรเขยิบตัวลงจากรถคอมมูเตอร์ เพื่อน ๆ ของหลานต่างยกมือไหว้คุ้นเคยเพราะทิวากรมารับส่งและซื้ออาหารมาสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ เป็นประจำ
“สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ”
“ฝากอันนาด้วยนะเด็ก ๆ อาจะส่งเสบียงให้กำลังใจนะ” ทิวากรยิ้มให้เพื่อนของหลานทุกคนอย่างเป็นมิตร
“ได้เลยครับอากร” บาสกระตือรือร้นรับคำพลางนึกถึงเมนูอาหารที่อาของอันนาจะสั่งมาให้มักเป็นอาหารขึ้นห้างราคาสูงทั้งนั้น
“อากลับนะ คนเก่งของอา” ทิวากรแตะของหลานสาว อันนายิ้มหวานหันไปกอดร่างหนาแล้วผละออกยกมือบ๊ายบาย เบลยืนมองอาหลานร่ำลากันอย่างสนิทสนม ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินขึ้นไปบนรถแล้วปิดประตูลง กลุ่มเพื่อนของอันนาจึงเดินไปรวมตัวกับเพื่อนที่มาซ้อมเชียร์ เบลเดินตามไปแต่ยังคงหันหลังไปมองรถคอมมูเตอร์คันหรูแล่นห่างออกไป
ผ่านมาสามวัน
อันนาจะส่งเมนูที่อยากกินและเลี้ยงเพื่อนที่ซ้อมเชียร์มาให้ทิวากรสั่งไปให้และเย็นวันนี้ทิวากรเลิกงานเร็วเลยแวะไปดูการซ้อมของอันนาที่มหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงเขาให้คนขับรถจอดส่งไกล ๆ ไม่อยากให้หลานเห็นไม่อยากให้เสียสมาธิแล้วลงเดินไปแอบส่องดู เขาเห็นเชียร์รีดเดอร์ต่อตัวขึ้นสูงสวยงามแต่แล้วหัวใจก็ตกฮวบเมื่อเห็นเชียร์ลีดเดอร์ที่กำลังต่อตัวอยู่ร่วงตกลงมายกแผง
“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องก้องในโดมกีฬาดังมาถึงจุดที่เขากำลังเดิน ทิวากรรีบวิ่งไปในโดมอย่างตื่นตระหนกเชียร์รีดเดอร์ยังทับกันเสียงร้องโอดครวญดังระงม ผู้จัดการทีมและเพื่อนทีมงานช่วยกันประคองเพื่อนออกมา ทิวากรเข้าไปช่วยประคองด้วยแล้วเขาก็เจอเบลนั่งพับเพียบเอื้อมมือส่งมาขวางให้เขาช่วย เขาเลยช่วยประคองเบลออกไปพักข้างสนามแล้วหันมองหาอันนา
“อากร....” เสียงที่คุ้นเคยเรียกทางด้านหลัง เขาหันขวับไปมองหาเห็นอันนานั่งหน้าเสียบนพื้นเอามือจับข้อเท้า ทิวากรพุ่งตัวไปหาหน้าเครียดกวาดสายตามองด้วยความห่วงใย
“ไหวไหม เจ็บตรงไหนบ้าง!”
“เจ็บข้อเท้า” ขอบตาสวยแดงก่ำน้ำตารื้น เขาก้มดูข้อเท้าหลานสาวที่รอยช้ำเขียวขึ้นอย่างรวดเร็วแสดงว่าภายในช้ำหนักเอาการ เลยรีบโทรศัพท์ไปเรียกให้คนขับรถวนมารับทันที เมื่อสั่งงานเสร็จหยดน้ำตาร่วงลงขาเรียวเขาเงยมองสงสารยกมือลูบแก้มแดงปลอบประโลม
“ไม่เป็นไรนะคะ อาอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว”
“อันนาจะหายทันแข่งไหมคะ” เสียงหวานสั่นแววตาเศร้าน้ำตาเอ่อล้นเป็นกังวล
“ได้สิ แค่เท้าแพลงเดี๋ยวก็หาย” เขาให้กำลังใจทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูดหรือไม่แต่ตอนนี้เขาไม่อยากให้เธอกลัว ท่ามกลางความโกลาหลนักศึกษาที่มีรถขับมารับพาเพื่อนบางส่วนขึ้นรถไปโรงพยาบาล ส่วนอันนา ทิวากรช้อนตัวขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมกอดแขนเรียวคล้องลำคอหนาซุกหน้าน้ำตาไหลความชื้นจากน้ำตาซึมเสื้อผ้าเข้าไปถึงอกแกร่งรู้สึกสงสารสาวน้อยในอ้อมกอดจับใจ เขาหันไปบอกให้พาคนเจ็บขึ้นไปรถของเขา เพื่อนสองคนและเบลถูกเพื่อน ๆ กันประคองไปขึ้นรถคอมมูเตอร์ด้วย เบลนั่งที่เบาะหลังมองอันนานั่งซบอกทิวากรไม่ห่างด้วยสายตาที่ไม่พอ
