บทที่ 1 ตอนที่ 2
“มันชื่อวงศ์ศาสตร์ครับคุณหนู...มันเป็นเพื่อนในสังคมธุรกิจของคุณท่าน ครั้งหนึ่งเคยประสบปัญหาขาดทุน คุณท่านก็เคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่พอมันเห็นว่าบริษัทขนส่งระหว่างประเทศของคุณท่านมีประโยชน์ จะใช้ทำงานผิดกฎหมายก็เลยมาเจรจาต่อรองให้คุณท่านร่วมมือกับมัน คุณท่านไม่ตกลงและโกรธมากที่มันดูถูกท่านโดยการยัดเยียดงานสกปรกให้ท่านทำ มันก็เลยคิดจะกำจัดคุณท่านเพื่อปิดปากไม่ให้เรื่องเลวๆ ของมันรั่วไหล...”
“คุณพ่อ...นี่หมายความว่ามันจะฆ่าคุณพ่อ คุณแม่แล้วก็คนของเราทั้งบ้านเหรอเนี่ย” รัชตะเอ่ยถามร่างใหญ่ที่คุกเข่าข้างเดียวรั้งตัวเขาอยู่ แล้วก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับ ทั้งที่ดวงตาดุจพญาเหยี่ยวนั้นยังมองเหตุการณ์ไม่กะพริบ
“คุณพิภพอย่าดื้อน่า เราก็คนกันเองแท้ๆ ถ้าคุณยอมเซ็นมอบทุกอย่างให้ผม...ผมสัญญาว่าจะปล่อยทุกคนไป...ตกลงไหม แต่ถ้าไม่เซ็น...” “อ๊าก!!” ปืนที่ใส่กระบอกเก็บเสียงไว้ด้วยในมือของมันลั่นไกทันที ผู้เคราะห์ร้ายเป็นคนสวนในบ้าน ที่อยู่ใกล้ตัวฆาตกรเลือดเย็นที่สุดล้มลงไปนอนกลิ้งตาเหลือกถลนบนพื้นหญ้า ได้สักพักก็แน่นิ่งไป เลือดสดๆ ไหลเจิ่งนองออกมาจากบาดแผลที่หน้าอกซ้าย พาให้คนที่เหลือกลัวตัวสั่นกอดรวมกลุ่มกันแน่น พลางส่งเสียงร้องไห้กระซิกระงม ฟังดูน่าสลดใจเหลือเกิน
“แกไอ้เลว...แกทำแบบนี้กับคนบริสุทธิ์ได้ยังไง” ดวงตาของพิภพแดงก่ำเป็นสีเดียวกับเลือดที่นองพื้น จ้องคนกระทำด้วยความอาฆาต
แต่วงศ์ศาสตร์ซึ่งกำชัยเหนือกว่ากลับแสยะยิ้มราวกับเป็นเรื่องไร้สาระก่อนจะลั่นไกปืนยิงใส่คนลำดับต่อไป มองคนที่แดดิ้นหมดลมหายใจตรงหน้าเป็นผักปลาไร้ค่าก็มิปาน คนแล้วคนเล่า...ชีวิตแล้วชีวิตเล่าที่ต้องจบลง เพียงเพราะความไม่ได้ดั่งใจของคนชั่วช้า
“พอ!! พอแล้วหยุดซะที” พิภพตวาดลั่นน้ำตาไหลพรากมองดูผู้จงรักทั้งหลายต้องมามอดม้วยเพราะตนแล้ว ทั้งแค้นทั้งเสียใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“คุณคะ...เราจะทำยังไงกันดี...” ดาเรียภรรยาชาวกรีซโดยกำเนิด กระซิบเสียงสั่นถามสามีเป็นภาษาไทย ด้วยความหวาดกลัว สำเนียงการพูดของเธอไม่ค่อยชัดนักแม้จะอยู่ในขั้นดี เนื่องจากมาอยู่บนแผ่นดินไทยได้เกือบยี่สิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีเท่าหากเทียบกับเจ้าของภาษาจริงๆ
“ผมขอโทษดาเรีย...แต่ผมสัญญาว่าลูกเราจะต้องปลอดภัย” พิภพกล่าว...มองคู่ชีวิตยิ้มให้ทั้งน้ำตา เขารู้ว่าวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้ใช้ลมหายใจอยู่บนโลก
แต่ความรักของพวกเขา มันจะต้องคงอยู่ต่อไปตลอดกาล...
“ฉันรู้ค่ะแพท...ว่านาซีจะต้องปลอดภัย” เธอกล่าวตอบกระเถิบตัวเข้าไปใกล้สามีผู้เป็นที่รัก พร้อมทั้งกวาดตามองบรรดาผู้เสียชีวิตที่เคยอยู่ร่วมกันมาหลายปี บางคนอายุการทำงานนั้นพอๆ กับคฤหาสน์หลังงามนี้ด้วยซ้ำไป
“ผมเสียดายคุณนักคุณผู้หญิง ถ้าสามีคุณฉลาดกว่านี้สักหน่อยคุณคงไม่ต้องมาจบชีวิตสวยๆ อย่างอนาถแบบนี้หรอก...ว่าไงคุณพิภพจะเซ็นได้รึยัง” มัจจุราชในมือเล็งไปยังหญิงสาวชาวกรีซหนึ่งเดียวที่เปรียบเสมือนดวงใจของเจ้าของลายเซ็นเลือด และวงศ์ศาสตร์ก็ไร้จิตสำนึกพอที่จะลั่นไกได้ทุกวินาทีหากสิ่งที่ต้องการยังคงถูกปฏิเสธ หรือแม้จะได้ทุกอย่างมาอยู่ในมือแล้ว...ก็ต้องเก็บกวาดให้เรียบอยู่ดี
“ฉันเซ็น...ฉันขอแลกทุกอย่างกับชีวิตของดาเรีย แกจะตกลงไหม”
“ช่างรักกันเหลือเกินเลยนะ”
“ว่าไง...ปล่อยเธอไปซะแล้วฉันจะยกทุกอย่างให้แกเอง” พิภพยื่นข้อเสนอ แม้ตัวเขาจะต้องพบเจอกับอะไรก็ตามแต่ถ้าหากให้อีกหนึ่งชีวิตอันเป็นที่รักได้อยู่รอดปลอดภัยมันก็น่าเสี่ยง
“ตกลงผมจะปล่อยคุณผู้หญิงคนนี้ไปทันทีที่คุณเซ็นมอบอำนาจในเอกสารให้ผมทุกฉบับ...ตกลงตามนี้นะคุณพิภพ” วงศ์ศาสตร์ยิ้มเจ้าเล่ห์...รับเอกสารจากลูกน้องที่ยื่นให้ส่งให้กับผู้มอบลายเซ็นที่ถูกแกะเชือกที่มัดมือออกแล้วอีกทอด
“เซ็นสิ...”
“ปล่อยดาเรียไปก่อน” พิภพต่อรองอีกครั้ง ดาเรียรีบคลานเข่าเข้ามาใกล้สามีแล้วส่ายหน้าเปื้อนหยาดน้ำตา สื่อให้รู้ว่าเธอไม่มีวันทิ้งเขาไปในสภาพอย่างนี้แน่ๆ
“ตกลง...แกะเชือกให้คุณผู้หญิงซิ ทีนี้ก็เซ็นซะทีเสียเวลามากแล้ว...”
“ได้” หนุ่มใหญ่รับแผ่นกระดาษ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญมาไว้ในมือ มองภรรยาสาวสวยแล้วพยักหน้าให้เธอออกไปจากที่นี่โดยเร็ว เขารู้ว่าวงศ์ศาสตร์ไม่ได้มีสัจจะพอที่จะรักษาคำพูด เขาจึงต้องถ่วงเวลาโดยการค่อยๆ เซ็นชื่ออย่างไม่รีบร้อนนักเพื่อให้ดาเรียไปได้ไกลที่สุดเท่าที่กำลังของเธอจะทำได้ หญิงสาวมองหน้าสามีแล้วร้องไห้เสียงสะท้อนไปถึงก้นบึ้งหัวใจ ใจหนึ่งห่วงคู่ชีวิตเสียยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง แต่เธอก็พอจะรู้จุดประสงค์ของเขาว่า ต้องการให้เธอรอดเพื่อจะได้ดูแลรัชตะต่อไป
“แพท...ฉันรักคุณ...ชีวิตฉัน หัวใจฉัน จิตวิญญาณของฉันมอบให้คุณคนเดียว” ดาเรียกลั้นหายใจบอกสามี มองหน้าผู้เป็นที่รักยิ่งครั้งสุดท้าย แล้วรีบหันหลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เธอหารู้ไม่ว่า ต่อให้หนียังไงก็ไม่มีทางรอดพ้นจากเงื้อมมือคนชั่วอย่างวงศ์ศาสตร์ไปได้
“เอามานี่...จะมาว่าผมไม่ได้หรอกนะคุณพิภพก็ในเมื่อเจรจากันดีๆ คุณก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ โชคร้ายของคุณเองนะที่มารู้ความลับสำคัญแล้วไม่รับข้อเสนอของเรา...ลาก่อน...ตลอดกาล...”
“...” ผู้ถูกยิงตาเบิกค้างเติ่ง มีเพียงรอยยิ้มร้ายกาจส่งลาในวาระสุดท้าย ก่อนจะลั่นไกปืน
“คุณพ่อ!!...”
“คุณหนูอย่าออกไปครับ...เข้มแข็งไว้ครับ...”
เสียงเรียกจากบุตรในอุทรซึ่งอยู่ห่างกันไม่กี่เมตร ไม่สามารถส่งถึงผู้ให้กำเนิดที่กำลังล้มลงกับพื้นหญ้าได้ ทิมรีบดึงตัวนายน้อยของเขามาจับไว้ ไม่ให้ผลุนผลันออกไปด้านนอก เพราะตอนนี้ มันอันตรายเสียยิ่งกว่า วิ่งอยู่บนหอกหนามแหลมคมเสียอีก
“เก็บนังผู้หญิงซะ...อย่าให้มีใครรอดออกไปแม้แต่คนเดียว”
“คุณวงศ์ศาสตร์ครับ...ลูกน้องคนสนิทของนายพิภพหายไปครับ” ชายชุดดำคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานกับตัวหัวหน้าใจทมิฬ
“หือ...ออกหาสิวะมันคงอยู่แถวๆ นี้แหละเพราะมันไม่อยู่ห่างตัวเจ้านายมันแน่ เกิดเรื่องในบ้านแบบนี้ด้วยมันคงจะมุดหัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง แล้วรีบตามไปจัดการเมียไอ้พิภพให้เรียบร้อยด้วย”
“ครับ!!” ลูกน้องในชุดดำสองสามคนรับคำสั่งแล้วรีบแยกย้ายกันออกทำหน้าที่ ทางด้านทิมเมื่อเห็นว่าพวกมันรู้ตัวแล้วว่ามีเขาที่หายตัวไปก็หันมองใบหน้าคมสันของรัชตะ เขาต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างก่อนที่พวกมันจะมาพบตัวเด็กหนุ่มอีกคน
“น้าทิม...ช่วยคุณแม่ด้วย...แม่กำลังหนีไปทางนั้นเราต้องไปช่วยคุณแม่”
“ครับคุณหนู...ผมจะออกไปช่วยนายผู้หญิงเอง คุณหนูรีบหนีไปก่อนนะครับ มุดช่องกำแพงแตกนี่ออกไป แล้วปีนรั้วหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเข้าใจไหมครับ...ผมจะล่อพวกมันให้เอง”
“แล้วคุณแม่ล่ะ...”
“แล้วผมจะรีบตามไปช่วยครับ...แต่คุณหนูต้องสัญญากับผมนะว่าจะต้องเอาชีวิตรอดไปจากที่นี่ให้ได้”
“น้าทิม ผม...” รัชตะกัดฟันกรอด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นและรับรู้ มันจุกแน่นอัดอยู่ในอกจนแทบหายใจไม่ออก เหนือกว่าความเจ็บปวด ยิ่งกว่าเจ็บแค้น มันสุดจะสรรพรรณนาความรู้สึกที่เขามียามนี้ ใจอันห้าวหาญของเด็กหนุ่มมิได้อยากเอาตัวรอดเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่อยากหลบหดหัวอยู่ในกระดองเช่นนี้ด้วย อยากพุ่งทะยานออกไปจัดการกับพวกมันเสียให้สิ้นซาก ให้สาสมในสิ่งที่พวกมันได้กระทำการอันโหดเหี้ยมอำมหิตนั้นเหลือเกิน แต่ก็รู้ว่า...ถ้าทำเช่นนั้นก็เหมือนตัวเองเป็นแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟซึ่งกำลังลุกโชน
“คุณหนู...คุณหนูต้องสาบานกับผมเดี๋ยวนี้ว่าจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามให้ผมห่วงหน้าพะวงหลังเด็ดขาด จะไปจากที่นี่ทันทีที่ผมออกไปหลอกล่อพวกมัน สาบานสิครับว่าจะรักษาชีวิตไว้แก้แค้นให้พวกเราทุกคน คุณหนู...คุณนาซี คุณคือความหวังเดียวที่พวกเรามี” ทิมจับแขนสองข้างของเด็กหนุ่มแล้วเขย่าตัวเร่ง สายตาแดงก่ำจ้องมองอย่างเคร่งขรึม เขาไมได้ขลาดกลัวเลยหากต้องเอาชีวิตตัวเองแลกกับชีวิตตรงหน้านี้
“ผมสาบาน...ผมสาบานน้าทิมว่าผมจะต้องรอดให้ได้ ผมจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเอาเลือดของไอ้คนชั่วนั้นมาสังเวยวิญญาณของทุกคน” “คุณหนู รีบมุดออกไปนะครับ แล้วผมจะจัดการทางนี้เอง” ทิมกล่าว พร้อมทั้งดันตัวเด็กหนุ่มให้หมอบลงกับพื้นเพื่อจะให้ลอดผ่านช่องโหว่ที่เกิดจากการผุพังของผนังได้
