บที่ 1 ลิขิตฟ้าชะตาแรกพบ
ตำหนักเซียนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ตำหนักเทพซือมิ่ง
"มู่ตัน ท่านคิดดีแน่เหรอที่จะทำแบบนี้"
เทพกุมดวงชะตาเอ่ยถาม พลางมองไปที่ดวงตาอันสดใสของเด็กน้อยในอ้อมแขนของเทพบุพผา แล้วรู้สึกสะเทือนใจ ไม่แตกต่างจากมู่ตันผู้เป็นมารดาแม้แต่น้อย
หยาดน้ำตาของนาง ที่หยดลงบนแก้มขาวอมชมพูน้อยๆนั้น แปรเปลี่ยนเป็นกลีบมู่ตันทองคำทันทีที่แตะต้องแก้มเด็กน้อยไร้เดียงสา
ราวกับทารกน้อยจะรู้ถึงความรู้สึกของมารดา มือเล็กๆพยายามเอื้อมสุดแขน เพื่อที่จะสัมผัสแก้มที่เปียกชุ่มของมู่ตัน พลางส่งยิ้มอันสดใสที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมาให้
"ข้าจำเป็นอี้เจ๋อซ่างจวิน ชาติกำเนิดเด็กคนนี้จะต้องไม่ถูกเปิดเผย ขอให้ท่านได้โปรดทำลายบันทึกชะตาเด็กน้อยผู้นี้ หากเป็นท่าน ก็จะสามารถเปลี่ยนชะตาของลูกข้าได้ไม่ยากเย็น"
เทพซือมิ่งส่ายหน้าพลางหันหลังให้มู่ตัน เทพบุพผารีบคุกเข่าให้เทพดวงชะตาหมายให้เขารับปาก
"เจ้าทำอะไรของเจ้ามู่ตันลุกขึ้นเดี๋ยวนี้"
"ไม่ หากท่านไม่รับปากข้า ข้าจะไม่ลุกขึ้นเด็ดขาด ชาติกำเนิดเด็กคนนี้จะเป็นภัยแก่นางในภายภาคหน้า มีเพียงท่านที่ช่วยเด็กคนนี้หลุดพ้นจากชะตากรรมอันโหดร้ายได้"
"มู่ตัน เจ้ากำลังบังคับข้าให้ฝืนกฏสวรรค์ ภายภาคหน้าเด็กไร้เดียงสาผู้นี้จะต้องเป็นเทพบุพผาต่อจากเจ้า หากทำเช่นนี้ก็เท่ากับตัดชะตา ตัดอนาคตของนาง"
อี้เจ๋อให้เหตุผล เผื่อนางจะรับฟัง ทว่าในใจเทพบุพผานั้นรู้สึกสิ้นหวังเหลือจะกล่าว
"ได้ ท่านไม่ทำ เป็นข้าเองข้าจะทำเอง"
"อย่ามู่ตัน!"
เทพบุพผาไม่ฟังคำทัดทาน นางรวบรวมพลังเซียนใช้อาคมบีบบังคับเอาแก่นเซียนของเด๊กน้อยออกมา
แสงเรืองรองสีรุ้งส่องสว่าง ปรากฏแก่นเซียนผลึกหลิวลี่ 7 สีขึ้นเหนือร่างไร้เดียงสา เด็กน้อยได้แต่หัวเราะอ้อแอ้ไม่รู้ถึงชะตากรรมตน
"เจ้าจะทำอะไร คิดจะทำลายแก่นเซียนของนางเหรอ หากทำเข่นนั้น นางคืนร่างที่แท้จริง ไม่อาจบำเพ็ญเพื่อเลื่อนขั้นเซียนหรือได้ร่างเซียนอีกนะ"
"อี้เจ๋อซ่างจวิน แม้ข้าจะไม่ใช่แม่ที่ดี แต่ข้าก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นทำร้ายสายเลือดของตนได้ ท่านวางใจเถอะข้าเพียงแต่จะใช้พลังเซียนทั้งหมดของข้าเปลี่ยนร่างที่แท้จริงของนาง และผนึกนางเอาไว้ รอเมื่อนางซึมซับไอสุริยันจันทราในแดนเซียน จนถึงเวลาที่เหมาะสม นางจะคืนร่างเซียนเอง"
มู่ตันรีดเร้นพลังเซียนทั้งหมดบังคับฝืน จนร่างเด็กน้อยคืนร่างที่แท้จริงเป็นดอกมู่ตันสีรุ้ง แล้วใช้คาถาต้องห้ามเปลี่ยนร่างที่แท้จริง ทำลายลิขิตชะตาเดิมของเด็กนัอย
อี้เจ๋อซือมิ่งซ่างจวิน ถึงกับเบิกตากว้าง นี่เป็นการฝืนลิขิตสวรรค์ จะต้องโทษทัณฑ์สายฟ้าจากแดนสวรรค์ผ่าร่าง
เมฆเหนือตำหนักสวรรค์ ของซือมิ่งเริ่มมืดครื้ม สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ปรากฏแสงเหนือท้องฟ้า สว่างไสว
"หยุดมู่ตัน ไม่เช่นนั้นแล้วร่างของเจ้าต้องถูกทัณฑ์สวรรค์ลงทัณฑ์นะ เวลานี้พลังบำเพ็ญของเจ้าไม่เหลือแล้ว เจ้าไม่อาจต้านทานมันได้แน่"
คำเตือนนั้นไม่อาจหยุดความตั้งใจของมู่ตัน ที่สุดดอกมู่ตันสีรุ้งก็แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นกล้วยไม้ดินดังที่เทพบุพผามู่ตันหวัง
"ลูกแม่ "
มู่ตันกล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบาเพราะหมดแรง นางเอื้อมมือจะไปสัมผัสดอกกล้วยไม้สีชมพูสดใสที่ล่องลอยตรงหน้าทั้งน้ำตาด้วยมืออันสั่นเทา
ฉับพลันเหมือนกับมีพลังงานบางอย่างดึงดูด ร่างเทพบุพผาถูกกระชากออกจากตำหนักไปยังกลางลานหน้าตำหนักสวรรค์
โซ่สีทองยึดตรึงร่างนางเอาไว้กลางอากาศ ซือมิ่งเหยียบอากาศลอยขึ้นสู่ร่างเทพบุพผาหมายจะช่วยเหลือ
ทว่าราวกับมีกำแพงกั้น ซือมิ่งไม่อาจผ่านเข้าไปเพราะเขตอาคมที่มองไม่เห็นกั้นขวาง
"มู่ตัน! มู่ตัน!"
สายฟ้าแปดสายผ่าลงผ่านร่างเทพธิดาบุพผาต่อหน้าต่อตา ซือมิ่งได้แต่เบือนหน้าไม่กล้ามองร่างอันทนทุกข์ที่ชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน
"มู่ตัน เจ้า.....ข้าเตือนเจ้าแล้วเหตุใดจึงไม่เชื่อข้า"
เมื่อทัณสวรรค์จบลง โซ่ตรวนปลดปล่อยร่างที่ไร้ซึ่งปราณเซียนตกลงสู่กลางลาน อี้เจินซ่างจวินเหาะขึ้นรับร่างอันน่าเวทนาของมู่ตันไว้ในอ้อมแขน
"ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร ทัณฑ์นี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก แก่นเซียนของเจ้าถูกทำลายแล้วมู่ตัน ข้านั้นช่างไร้สามารถ ทำเจ้าผิดหวังแล้ว"
ทั้งสองเป็นสหายมานานถึง 8 หมื่นปี ความเศร้าโศกจึงมากเหลือคณานับ อี้เจ๋อถึงกับหลั่งน้ำตาไม่ขาดสาย เขากอดสหายรักเอาไว้ในอ้อมแขนเพื่อมอบความอบอุ่นสุดท้ายให้กับมู่ตัน
"อย่าเสียใจไปเลยอี้เจ๋อ ข้ามีท่านเป็นสหาย 8 หมื่นปีที่ผ่านมา ท่านไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยสักครั้ง ครั้งนี้เป็นข้าที่ผิดต่อท่าน "
"อย่ากล่าวเช่นนั้น เจ้าไม่มีสิ่งใดผิดต่อข้า ให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ"
อี้เจ๋อพยายามถ่ายพลังปราณเซียนเข้าร่างมู่ตัน ทว่าร่างนั้นเปรียบดังผืนทราย ไม่ว่าจะส่งพลังเข้าไปเท่าไหร่ ก็เหือดหายไปทันที
ดวงดาวเริ่มร่วงจากฟากฟ้า อี้เจ๋อเงยหน้าขึ้นมอง มันคือสัญญาณบอกให้รู้ว่าจะมีเทพเซียนกำลังดับขันธ์ เขาหลั่งน้ำตามองใบหน้าอิดโรยของมู่ตานอย่างเศร้าเสียดาย
"ท่านอย่าเปลืองพลังอีกเลย ตัวข้านั้นไกล้ดับสูญแล้ว และข้าไม่คิดจะเสียใจเพียงแต่มีสิ่งจะขอท่านเป็นครั้งสุดท้าย"
"กล่าวมาได้เลยมู่ตัน หากมีสิ่งใดที่ข้าจะทำได้จงบอกมาเถิด"
มู่ตันเหม่อมองเข้าไปในตำหนัก ดอกกล้วยไม้ดินส่องแสงสีชมพูระเรื่อขยับไหว ราวกับจะรับรู้การจากไปของมารดา
"รับนางไว้ยังตำหนักของท่านด้วยอี้เจ๋อ ข้าขอมอบดวงใจของข้าไว้กับท่านด้วย สั่งสอนนาง ปกป้องนางแทนข้า...."
เทพบุพผาคืนร่างจริง ดอกมู่ตันสีทองสิ้นแสงสว่างกลับกลายเป็นสีเทา แล้วสลายเป็นเถ้าปลิดปลิวไปตามสายลม ภายในอ้อมแขนซือมิ่ง
"ข้ารับปากเจ้า ข้าจะเลี้ยงดูนางอย่างดีไม่ให้เจ้าผิดหวัง มู่ตัน"
ห้าพันปีต่อมา....
"หลิงเซียว! หลิงเซียว! หายไปไหนอีกเจ้าเด็กดื้อ เหตุใดสายป่านนี้แล้วยังไม่จุดกำยานสงบจิต ฝึกวิชาเวทอีก เก่งแต่ซุกซน ไม่รู้จักรักดีเสียเลย น่าตีนัก"
ซือมิ่งซ่างจวินเดินตามหาศิษย์น้อยจอมซนทั่วตำหนักก็หาไม่เจอ
"ซ่างจวิน ท่านต้องการสิ่งใดหรือขอรับ"
เซียนกวานตำหนักซือมิ่งรีบรุดวิ่งหน้าตั้งมาเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกลั่นตำหนัก
"ข้าไม่ได้เรียกเจ้า หลิงเอ๋อไปที่ใดเจ้าเห็นรึไม่"
"อ่า ข้าน้อยไม่พบนางตั้งแต่เช้าตรู่แล้วขอรับที่ห้องก็ไม่อยู่ ซ่างจวินมีสิ่งใดสั่งข้าน้อยมาก็ได้"
ซือมิ่งซ่างจวินรู้สึกแปลกใจ ธรรมดาหากไม่มาเรียนช้าก็น่าจะอยู่ที่โรงครัวหาของกิน ไม่งั้นก็ตื่นสาย เหตุใดวันนี้ถึงไม่มีผู้ใดพบ เมื่อครุ่นคิดดีๆ เขาก็พลันนึกได้ เขารีบวิ่งไปที่ห้องเก็บม้วนดวงชะตาทันที
"เทียบเชิญข้าล่ะ เทียบเชิญข้า..."
โต๊ะเขียนอักษรช่างว่างเปล่า เทียบเชิญร่วมงานที่แดนหมื่นบุพผาหายไปเสียแล้ว
"เจ้าเด็กซนนี่ ข้ากำชับนักหนาแล้วว่าห้ามไปแดนหมื่นบุพผาเหตุใดไม่เชื่อข้า ถ้าจับได้ล่ะก็ข้าจะให้คัดตำราเวทให้เข็ดเลยทีเดียวเชียว"
แดนหมื่นบุพผา......
"หน้าละอ่อนอย่างเจ้าเนี่ยนะ จะเป็นศิษย์เอกของซือมิ่งซ่างจวิน ข้าไม่เห็นเคยได้ยินว่าเทพลิขิตชะตาจะมีศิษย์เป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานเช่นดังเจ้ามาก่อน"
นางฟ้าแดนบุพผาตั้งข้อสงสัย เทียบเชิญของตำหนักซือมิ่งเป็นของจริง แต่ในเทียบมิได้กล่าวว่าเชิญศิษย์ตำหนักเซียน หากแต่เป็นอี้เจ๋อซ่างจวินต่างหากที่ได้รับเชิญ
"เช่นนั้นแล้วเจ้ารอข้าส่งเสียงหมื่นลี้ไปสอบถามซ่างจวินก่อน แล้วเรื่องจะให้เจ้าเข้าแดนบุพผาได้หรือไม่นั้นค่อยว่ากัน"
คำตัดสินของนางฟ้าแห่งแดนบุพผาทำเอาหลิงเซียวเสียวสันหลัง
"นางฟ้าบุพผา ท่านแต่ละคนช่างงามยิ่ง อาจารย์ข้ามักเอ่ยชมอยู่เสมอ ว่าบุพผาทั่วทั้งสามโลกมิได้มีบุพผาใดงามเกินบุพผาแห่งแดนหมื่นบุพผาอีกแล้ว เสียดายอาจารย์ข้างานยุ่งปลีกตัวมาไม่ได้ ข้าเลยอาสามาแทน ตั้งใจจะมาชื่นชมความงามของเทพบุพผาคนใหม่ว่างามยิ่งเพียงใด นี่ก็ไกล้เวลาแล้ว พวกท่านก็ปล่อยข้าผ่านเข้าไปเถอะนะ"
หนุ่มน้อยหน้าละอ่อนใช้น้ำเสียงออดอ้อนกล่าวเยินยอจนเหล่านางฟ้าพากันเขินอายบิดม้วน
"วาจาเจ้ารื่นหูนัก อยากรู้จริงเจ้ามีนามว่าอะไร บอกได้รึไม่"
"ข้าน้อยมีนามอันต่ำต้อยว่าหลิงเซียว เทียบเชิญก็ดูแล้ว ครานี้ ปล่อยข้าเข้าไปได้รึยัง"
หลิงเซียวส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ให้สาวๆ เหล่าเทพธิดาแพ้ให้กับรอยยิ้มนั้นต่างใจอ่อนจะปล่อยผ่านอยู่แล้ว
"ยัง เจ้ายังไปไม่ได้ รอข้าสอบถามไปยังตำหนักเซียนก่อนเถอะ ข้าจะดูว่าเจ้าเป็นศิษย์ซ่างจวินจริงหรือไม่"
ผู้คุมกฏจื่อเถิงมาถึงพอดี หลิงเซียวเริ่มกระสับกระส่าย หากเรื่องที่นางมานี่รู้ถึงหูซ่างจวิน นอกจากจะไม่ได้เที่ยวให้ทั่วแดนบุพผา ยังต้องใช้พู่กันเซียนคัดคัมภีร์จนมือหงิกเป็นแน่
"ถ้างั้นคงต้องหนีแล้ว"
หลิงเซียวไม่มีทางเลือกนางใช้พัดหยกปิดเมฆาปัดแย่งดอกลำโพงจากมือนางฟ้าที่กำลังจะส่งเสียงหมื่นลี้
"ขออภัยแม่นางข้าจำเป็นน่ะขืนเจ้ารายงานอาจารย์ ข้าคงแย่"
หลิงเซียวตั้งใจจะรีบหนี แต่ติดผู้คุมกฏเข้าขัดขวาง เพียงไม่กี่กระบวนท่านางก็ซึ้งแก่ใจว่าสู้ไม่ไหว จึงเล่นเล่ห์กลด้วยการเป่าผงกำยานเข้าใส่เพื่อหลอกล่อหาทางไปจากที่นั้น
ทว่าลูกไม้ตื้นๆ ไม่อาจใช้ได้ ผู้คุมกฏแดนหมื่นบุพผาตวัดแส้เถาวัลย์หยกโลหิตหมายจะรัดตัวหลิงเซียวเอาไว้ มีหรือนางจะอยู่เฉยให้โดนจับ
หลิงเซียวแม้ซุกซนแต่ฝึกปรือวิชาเซียนกับซือมิ่งมาไม่น้อย คาถาควบคุมเป็นหนึ่งในคาถาที่นางถนัดที่สุด
"หยินผกผันหยางแปรเปลี่ยน ล่วงเกินท่านแล้ว"
หลิงเซียวใช้คาถาควบคุมบังคับแส้หยกโลหิต ให้ตวัดกลับไปรัดตัวผู้คุมกฏ แล้วรีบใช้คาถาไร้ลักษณ์หายตัวไปจากที่นั้นจนได้
ผู้คุมกฏสลายอาคมควบคุมได้ไม่ยากเย็นแต่ก็ไม่ทันการณ์เพราะผู้บุกรุกหนีไปแล้ว สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงแค่ความรู้สึกที่ทั้งเจ็บใจและอับอายที่สุด
"หนอย เป็นปีศาจจากที่ใดกันกล้ามาก่อกวนในงานสถาปนาเทพบุพผา บังอาจแอบอ้างเป็นคนของตำหนักซือมิ่ง หาตัวมันให้เจอ จะต้องนำตัวไปลงโทษให้ได้"
เหล่านางฟ้าแห่งแดนบุพผาและเหล่าภูติออกตามล่าตัวหลิงเซียวตามคำสั่ง
"โอยหัวใจจะวาย วุ่นวายถึงเพียงนี้ ขืนกลับไปตอนนี้ ข้าก็ขาดทุนแย่น่ะสิ เอาไงดีล่ะ เปลี่ยนชุดดีมั้ยนะ เอ๋อที่นี่มัน"
หลิงเซียวหนีความวุ่ยวายมาถึงบ่อน้ำพุสระมรกตเหยาฉือเมื่อใดก็ไม่รู้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางจึงก้าวเข้าไปในเขตน้ำพุ
"สระมรกต ได้ยินว่าหากได้มาแช่น้ำพุที่นี่จะช่วยเพิ่มพลังวัตร แถมยังบำรุงผิวให้ผุดผาด ของดีแห่งแดนบุพผา ข้าต้องลองสักหน่อยแล้ว"
หลิงเซียวก้าวเดินเข้าไปข้างใน อากาศในที่แห่งนี้เย็นสบายสดชื่น กลิ่นดอกไม้นานาพันธ์ที่กำลังเบ่งบานนั้นช่างหอมตรึงใจ อีกทั้งยังแข่งสีสันกันงามจับตา
น้ำพุแห่งสระมรกตงดงามยิ่ง ความร้อนของน้ำพุร้อนก่อตัวเป็นไอหมอกหลั่งไหลออกจากสระมรกตทำให้บรรยากาศยิ่งงดงาม หินรอบๆเป็นมรกตสีเขียวระยิบระยับ สมกับเป็นแดนที่งดงามที่สุดในสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
หลิงเซียวมองไปรอบๆ ไม่เห็นผู้ใด คาดว่าคงไปรวมตัวกันที่ลานพิธีสถาปนาเทพบุพผาคนใหม่กันหมด
"สบายแล้วเราขอนอนแช่สักหน่อยเถอะ อย่างงี้ให้คัดตำราหมดทั้งหอตำราก็คุ้มอยู่"
ไม่รอช้า หลิงเซียวรีบถอดสายคาดเอว เตรียมจะถอดชุดบุรุษของเซียนกวานที่ยืมมาออก แต่มาหยุดชะงักเพราะได้ยินเสียงคนซะก่อน
"อะไรเนี่ยมีคนอยู่เหรอ"
หลิงเซียวรีบหนีไปซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ แอบดูว่าใครกันเข้ามาในสระมรกตในเวลานี้ได้
เรียวขางดงามสมส่วน ผิวขาวราวหยกขาวชั้นเลิศ ทุกท่วงท่าก้าวย่างงามสง่าดุจนางพญา ทำเอาหลิงเซียวซึ่งเป็นสตรียังใจเต้น
นางมองเห็นแค่เพียงเรียวขา และส่วนสัดเอวบางอกอิ่ม ผ่านชุดผ้าใหมเบาบางสีขาวเหลือบม่วงพริ้วไหวตามสายลมเท่านั้น แต่ไม่เห็นใบหน้า เพราะจุดที่ใช้หลบซ่อนไม่เอื้ออำนวยให้
แต่เพียงแค่นี้ก็บอกได้ว่าเป็นหญิงงามที่หาได้ยากยิ่ง
"ฝ่าบาท นี่ก็ถึงเวลาพิธีแล้ว ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ หากไม่ไปตอนนี้เกรงว่า..."
ผู้ติดตามกล่าวกับผู้เป็นนาย นางถอดเสื้อคลุมเปิดเผยสรีระอันงดงามหมดจดแล้วก้าวลงสระมรกตก่อนจะตอบผู้ติดตามด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงเปี่ยมด้วยพลัง
"กลัวสิ่งใดงั้นรึ ลู่ชิง งานโอ้อวดตนเช่นนี้ปกติข้าก็ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว เอาไว้รอข้าแช่น้ำให้สบายใจเสียก่อนค่อยปรากฏตัวก็ยังไม่สาย"
หลิงเซียวพยายามองใบหน้านั้นให้ได้ นางก้มๆ เงยๆ หาช่องทางส่องดู แต่ก็ได้เห็นแค่ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มกับเส้นผมสีเงินดุจแพรไหมของหญิงงาม
"ใครน่ะ บังอาจนัก กล้าแอบดูนายหญิงข้างั้นเรอะ"
ลู่ชิงตวัดกระบี่ในมือ เพียงแค่ปราณกระบี่ก็ตัดพุ่มไม้ที่ซ่อนตัวได้ในทันที
"ตายล่ะ ขืนอยู่อีกขาดสองท่อนแน่ กรี๊ดดด"
หลิงเซียวรีบหนี ทว่าช้าไป ไม่ทันไรร่างบางก็ถูกดึงกลับมาที่สระมรกตแล้วทิ้งลงในบ่อน้ำพุอย่างไม่ทันตั้งตัว
"ฮ้า พู่ ใคร ใครทำข้า"
กล้วยไม้น้อยหลิงเซียวรีบลุกขึ้นยืน ไม่อย่างงั้นคงจะต้องดื่มน้ำในสระจนท้องอึดแน่ นางหันไปยังที่มาของปราณเซียนที่กลั่นแกล้งนาง
ดวงตาสีแดงเพลิง มีประกายราวกับดวงดาวระยับปรากฏตรงหน้า คิ้วคมโก่งดังคันศร ขนตายาวงอนเรียงเป็นแผง สันจมูกโด่งคมได้รูป
ยามที่ยกยิ้ม ริมฝีปากอวบอิ่มยิ่งงดงามตราตรึง ชวนหลงไหล หลิงเซียวยืนอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นใบหน้าที่งดงามนี้
เป็นความงามที่กล่าวได้ว่า ไม่อาจหาความงามใดในโลกหล้ามาทัดเทียม
"ไม่จริงน่า หรือว่าท่านคือ...."
