๖.๔ ดอกรักสีชมพู
น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดเย็นชาก่อนหน้านี้ เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลงอนง้อเอาใจ พร้อมกับไล้มือไปตามพวงแก้มใสอย่างทะนุถนอม ราวกับเป็นคนละคนกับที่เพิ่งถาโถมจวนจ้วงใส่เธออย่างดุดันเมื่อครู่นี้
“...” อนุรดีไม่ตอบแต่ส่ายหน้าแทนคำพูด
“พี่ก็รู้ว่าหนูดีไม่โกรธ ไม่งั้นคงไม่ครางซี้ดๆ และบอกให้พี่กระแทกแรงๆ หรอก เรียนจบแล้วแต่งงานกันเลยนะ พี่ไม่อยากให้ไอ้ผู้ชายหน้าไหนมาเกาะแกะหนูดีอีก คราวหน้าพี่อาจเป็นฆาตกรฆ่าคนก็ได้” เขาขอแต่งงานหลังจากพูดจาล้อเลียนแบบโจ่งครึ่ม โดยไม่ปล่อยช่องว่างให้เธอได้โกรธได้งอนแต่อย่างใด
“ใครจะรู้ว่าพี่เตจะหึงแรงขนาดนี้”
“ถ้าไม่รักมากคงไม่หึงมาก”
“แล้วหายโกรธหนูดีหรือยังคะ”
“ตอบตกลงแต่งงานกับพี่ก่อน พี่ถึงจะหายโกรธ”
ใบหน้าหวานใสแดงซ่าน เพราะถูกขอแต่งงานในท่วงท่าที่เธอเองไม่เคยจินตนาการไว้มาก่อน
“ทำไมพี่เตถึงอยากรีบแต่งนัก”
“รีบสิ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าหนูดีเสน่ห์แรงแค่ไหน พี่ไม่ชอบให้ใครมาเกาะแกะเมียตัวเอง”
“คำก็เมีย สองคำก็เมีย”
“ถ้ากลัวเสียเปรียบก็เรียกพี่ว่าผัวสิ พี่เต็มใจ”
“พี่เตนี่เซี้ยวจริงๆ ใครจะกล้าเรียกคะ” อนุรดีมองค้อนพร้อมกับเถียงออกมาเสียงแค่อุบอิบ
“ถึงพี่จะเซี้ยวแต่ก็ทำให้หนูดีเสียวได้ตลอดนะ”
“คนหื่น คนลามก พาหนูดีไปส่งได้แล้วค่ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะสงสัยเอา”
“พี่จะไปสารภาพกับพ่อแม่ของหนูดีเอง ว่าพี่ผิดสัญญาที่รับปากท่านไว้”
คราวนี้ท่าทีขี้เล่นช่างยั่วเปลี่ยนเป็นจริงจังอีกครา ทำให้อนุรดีต้องรีบเอ่ยห้ามความคิดของเขา เพราะเธอเป็นคนทำให้เกิดเรื่องเลยเถิดในครั้งนี้ขึ้น
“อย่านะคะพี่เต หนูดีอาย เรื่องนี้หนูดีผิดเต็มๆ หนูดีเป็นคนเริ่มก่อนนะคะ”
“หนูดีเสียดายความสาวไหม”
“ไม่ค่ะ จะเสียดายทำไม ในเมื่อหนูดีได้มอบให้กับคนที่หนูดีรักมากที่สุดและตั้งใจจะให้อยู่แล้ว”
“เมียใครน่ารักเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าชอบยั่วชอบลองใจ พี่จะให้คะแนนเต็มร้อยเลยนะ ขอบคุณสำหรับความรักและหัวใจที่มีค่าของหนูดี พี่สัญญาว่าจะใช้เวลาทั้งชีวิตนับจากนี้ดูแลเมียคนนี้ให้ดีที่สุด”
“สัญญาแล้วห้ามคืนคำนะคะ”
“ไม่มีทางคืนเด็ดขาด หนูดีเองก็ห้ามหว่านเสน่ห์ใส่ผู้ชายคนไหนอีก”
“เผด็จการ”
“ทำไงได้ก็คนมันรักมาก หวงมากด้วย”
“เราดีกันแล้วใช่ไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามย้ำ เพราะยังไม่ได้ยินจากปากเขาว่ายกโทษให้เธอแล้ว แม้ว่าท่าทีของเตชินท์ตอนนี้จะไม่หลงเหลือความโกรธแล้วก็ตาม
“แล้วหนูดีตอบตกลงแต่งงานกับพี่หรือยัง รับปากพี่มาก่อนว่าเรียนจบเมื่อไหร่ก็จะแต่งกันเลย”
“หนูดียังไม่อยากรีบร้อนนี่คะ”
“ตามใจ ท้องก่อนแต่งขึ้นมาจะโทษพี่ไม่ได้นะ เพราะหลังจากนี้พี่จะไม่ห้ามใจตัวเองอีกแล้ว”
“นี่ขอแต่งงานหรือข่มขู่คะ”
“จะเรียกยังไงก็สุดแล้วแต่หนูดีจะสบายใจ เพราะพี่ต้องการแค่คำว่าตกลง”
“ตกลงก็ได้ค่ะ แต่งก็แต่ง”
อนุรดีตอบตกลงอย่างเต็มใจ ในเมื่อรักสุกงอมแล้ว ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว เธอมั่นใจแล้วว่าชีวิตนี้จะรักแต่เตชินท์คนเดียว และจะฝากชีวิตที่เหลือทั้งหมดไว้ในกำมือเขา ดังนั้นไม่ว่าแต่งช้าแต่งเร็ว เธอก็ยังจะแต่งงานกับเขาคนเดียวอยู่วันยังค่ำ
อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นคลายออกหลังจากปรับความเข้าใจกันได้ ต่างคนต่างแต่งตัวจนเรียบร้อย ก่อนที่เตชินท์จะขับรถพาคู่หมั้นสาวซึ่งตอนนี้กลายเป็นภรรยาทางพฤตินัยของเขาไปแล้ว มาส่งที่หน้าบ้านของเธอ
“หนูดี” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อเธอขึ้น ในตอนที่อนุรดีกำลังจะเอี้ยวตัวไปเปิดประตูรถ หลังจากปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว
“คะ?”
“ลืมอะไรหรือเปล่า”
“ไม่นี่คะ” อนุรดีตอบตามประสาซื่อ เพราะกระเป๋าถือของเธอที่อยู่เบาะหลัง เธอก็หยิบมาแล้ว
“ทำไมจะไม่ล่ะ หนูดีลืมจูบลาพี่”
เรียวปากสีหวานคลี่ยิ้มท่ามกลางแสงไฟสลัวที่ส่องมาจากรั้วหน้าบ้าน ก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาเป็นการร่ำลาแบบคนรัก
“จูบที่ปากไม่ใช่ที่แก้ม อย่าแกล้งทำเป็นลืม เพราะหนูดีจูบพี่ออกบ่อยไป” คนถูกหอมแก้มบอกอย่างไม่พอใจ
“ไม่เบื่อเหรอคะ วันนี้จูบกันตั้งหลายครั้งแล้ว”
“ไม่เบื่อ จะจูบไม่จูบ ถ้าไม่จูบพี่จะได้จูบเอง”
“ขู่อีกแล้วนะคะ”
“ทำไงได้ มีเมียดื้อก็ต้องขู่เก่งๆ หน่อย”
แก้มนวลแดงซ่านขึ้นท่ามกลางความมืดเมื่อถูกเรียกแบบตีตราและเป็นเจ้าของซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนนี้หัวใจของเธอเบ่งบานมากแค่ไหน สุดท้ายไม่ว่าจะบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงไปทางใด เธอก็ต้องยื่นหน้าเข้าไปประกบปากจูบกับเขาอย่างดูดดื่มอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากนั้นเตชินท์จึงยอมให้เธอลงจากรถ
