
บทย่อ
เเนวเรื่องแบบสุขนิยม นางเอกเก่งแต่พยายามซ่อนคม และชาตินี้ก็ชื่นชอบสุราเป็นพิเศษค่ะ พระเอกคือท่านแม่ทัพที่บ้าอำนาจ ติดการสั่งการเป็นชีวิตจิตใจ และพระเอกของไรท์อาจจะมีหลายอารมณ์ไปหน่อย แต่พอได้รักแล้วทุ่มสุดใจแน่นอน .................................. ตัวอย่างเนื้อหา "ไฟไหม้ที่เรือนของเจ้าได้อย่างไรกัน อนุหลิว?" เสียงของมารดาที่ดังขึ้นทำให้หลี่หยวนละสายตาไปมองต้นเสียง และหันมองเขามองสตรีแปลกหน้าที่กลับออกมาจากการวิ่งสำรวจรอบเรือนอันเป็นแหล่งกำเนิดไฟเรียบร้อย เขาเคยคิดว่า อนุของเขาอย่างหลิวฟางหลิน ผู้นี้เป็นเพียงเด็กสาวผอมซูบที่เขาถูกจับแต่งด้วยเพราะคำสั่งของมารดาเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นนางเป็นเพียงเด็กอายุสิบขวบ และเขาก็มิได้ใส่ใจจะพบหน้านางหลังจากนั้นอีกเลย แต่บัดนี้… เด็กน้อยในวันนั้นเติบโตเป็นสตรีที่งดงามสะดุดตา นางมิใช่เพียงมีผิวขาวเนียนละเอียดเช่นเครื่องหยก แต่ยังมีรูปโฉมอ่อนหวานและท่วงท่าที่สง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ ร่างอ้อนแอ้นของนางแม้จะมิได้อ่อนแอ แต่ก็ดูเย้ายวนอย่างไม่รู้ตัว คิ้วเรียวโค้งสวย ริมฝีปากระเรื่อสีชมพูอ่อน ดวงตาคมเรียวที่เปล่งประกายและเต็มไปด้วยความฉลาดเฉลียว เขาเผลอจ้องมองโดยไม่รู้ตัว ฟางหลินสำรวจในเรือนแล้วนางไม่เห็นต้นตอเกิดไฟเลย ที่น่าสงสัยคือไฟเหมือนลามมาจากบริเวณต้นเหมยใกล้ ๆ ที่ตรงนั้นมีบ่าวคุ้นตากำลังคุกเข่าหน้าซีดเผือด ท่าทางสำนึกผิดสุดขีดตัวสั่นเทาไม่กล้าสบตาใคร "บอกข้ามา เกิดอะไรขึ้น" ฟางหลินเอ่ยเสียงเย็น บ่าวผู้นั้นตัวสั่นไม่หยุดก่อนจะก้มหน้าพูดเสียงสั่นเครือ "ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ! ข้าน้อยเป็นคนทำไฟไหม้เอง!" ฟางหลินขมวดคิ้ว "เป็นเจ้า?" "ขอรับ!" บ่าวผู้นั้นพยักหน้ารัว "อนุหลิวให้ข้าน้อยไปนำไหสุราดอกเหมยที่ฝังไว้มา แต่ข้าน้อย… ข้าน้อยอดใจไม่ไหวกับกลิ่นของมัน!" ทุกคนรอบข้างต่างหันไปมองบ่าวผู้นั้นเป็นตาเดียว "อย่าบอกนะว่าเจ้า!?" ฟางเหมยเอ่ยถามอย่างที่นางพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้วแต่เหมือนคนกำลังหลอกตัวเองมากกว่า
บทนำ
กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ยามเช้าลอยอ้อยอิ่งในอากาศขณะที่หลิวฟางหลินก้าวออกจากเรือนเล็กของตน เส้นผมยาวดำขลับยังชื้นเล็กน้อยจากการอาบน้ำชะล้างกลิ่นสุราที่นางดื่มด่ำกับมันทั้งคืน ผิวขาวเนียนเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดที่ถูกกระตุ้นจากน้ำเย็นยามเช้า หลังจากปล่อยให้ตนเองเสพสุขกับสายน้ำเย็นสดชื่นจนหนำใจแล้ว นางก็มุ่งหน้าไปยังโรงครัวอย่างที่ทำประจำวัน ทว่าวันนี้กลับแปลกไปจากทุกวัน
ในจวนหลี่ที่ปกติจะเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย บ่าวไพร่ต่างเดินกันขวักไขว่ ใบหน้าแต่ละคนเคร่งเครียดและรีบเร่ง นางเอ่ยทักบ่าวคนหนึ่ง ทว่าฝ่ายนั้นเพียงค้อมศีรษะรับแล้วรีบผละไปโดยไม่มีเวลาให้สนทนา แม้แต่นางที่เป็น ‘อนุของแม่ทัพหลี่’ ยังไม่มีใครใส่ใจ นับว่าจวนหลี่แห่งนี้ก็ยังคงเหมือนเดิมดีในจุดนี้
ฟางหลิวขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเร่งฝีเท้า ดักบ่าวผู้หนึ่งที่เดินผ่าน นางเอื้อมมือคว้าชายแขนเสื้อเขาเบาๆ “เกิดอะไรขึ้นหรือ ทำไมวันนี้ทุกคนถึงดูยุ่งนัก”
บ่าวหนุ่มหันมามองนางเล็กน้อย สีหน้าฉายแววรีบเร่ง ทว่าก็ไม่กล้าขัดขืนในตอนนี้
“อนุหลิวไม่รู้หรือขอรับ วันนี้แม่ทัพหลี่กำลังเดินทางกลับเมืองหลวงแล้วขอรับ! ขบวนเกียรติยศของกองทัพกำลังมุ่งหน้าเข้าพระราชวังเพื่อรายงานองค์ฮ่องเต้ หลังจากปราบชนเผ่าขอบชายแดนได้สำเร็จ ฮูหยินใหญ่เพิ่งได้รับสารเมื่อเช้านี้เอง ตอนนี้บ่าวในจวนกำลังเร่งเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับอยู่ขอรับ”
หลิวฟางหลินนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยกยิ้มบาง ริมฝีปากกระตุกอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“เช่นนั้นหรือ” นางไม่แปลกใจที่ตนเป็นคนท้ายสุดที่ได้รับรู้เรื่องนี้ ในฐานะอนุที่ถูกลืม ไม่จำเป็นที่คนต้องมาบอกข่าวดีของสามีผู้นั้นให้นางรู้
บ่าวหนุ่มเห็นว่านางมิได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมก็รีบกล่าวต่ออย่างหวังดี
“คืนนี้โปรดอยู่แต่ในเรือนของท่านเถิดขอรับ งานเลี้ยงจะจัดที่ลานท้ายจวนซึ่งใกล้เรือนของท่าน ทหารชั้นต่ำจากกองทัพจะมาฉลองกัน น่าจะวุ่นวายพอดู ข้ากลัวว่าอนุหลิวจะได้รับความลำบาก”
กล่าวจบก็รีบผละไปทำงานของตนต่อ ทิ้งให้นางยืนอยู่ที่เดิม แววตาเปล่งประกายกว่าก่อนหน้ามากนัก ฟางหลินหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าอย่างนึกขัน
ให้นางอยู่แต่ในเรือน? เหตุใดนางต้องทำเรื่องโง่เง่าเช่นนั้นด้วย!
เมื่อคืนนี้เป็นคืนสำคัญพอดี สุราที่นางบ่มเองมาตลอดหนึ่งปีถึงเวลาหมักได้ที่พอดิบพอดี งานเลี้ยงฉลองของทหารกองทัพหลี่ก็มิใช่เรื่องของนาง ทว่าการเฉลิมฉลองของพวกเขากลับเป็นข้อดีสำหรับสุราเลิศรสโดยแท้
คิดได้ดังนั้น หลิวฟางหลินก็หมุนกายกลับเรือนของตน รีบรุดไปยังมุมลับของเรือนหลังเล็กที่ไม่มีผู้ใดใส่ใจ บริเวณนั้นมีหลุมเล็กๆ ที่ถูกปิดไว้ด้วยฝาไม้ซึ่งปูด้วยก้อนหินธรรมดาเพื่อมิให้เป็นที่สังเกต นางคุกเข่าลง ปัดฝุ่นดินออกเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ขุดมันขึ้นมา
โอสวรรค์! กลิ่นหอมของสุราที่ถูกหมักไว้ดีลอยโชยขึ้นมาทันทีที่ฝาปิดถูกเปิดออก
หลิวฟางหลินสูดลมหายใจลึก ดวงตาคู่งามทอประกายระยับ นางยกไหสุราขึ้นมาอุ้มไว้ ใช้มือปัดเศษดินออกเบาๆ ก่อนจะยิ้มอย่างพึงใจ
“ความครื้นเครงคืนนี้… ผสานกับสุรากลิ่นหอมแล้วช่างอยากเร่งเวลาให้เดินเร็วขึ้นยิ่งนัก”
เสียงเฮฮาและเสียงแก้วกระทบกันดังก้องไปทั่วลานท้ายจวน กลิ่นอาหารปิ้งย่างโชยมาแตะจมูก ผสมกับกลิ่นสุราแรงที่ทหารพากันดื่มฉลองชัยชนะของพวกเขา หลิวฟางหลินนั่งเอนกายซ่อนตัวอยู่บนหลังคา ห่างออกไปจากวงสนทนาในมุมมืดที่ไร้ผู้คนจะสังเกตเห็นได้ ใบหน้างดงามฉาบไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาพราวระยับด้วยความสนุกสนาน ไหสุราที่อุตส่าห์หมักเองมาตลอดปีถูกกระดกขึ้นจิบเบาๆ ความหวานปนขมปร่านั้นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
นางทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง มองพวกบุรุษซัดสุราเข้าปากแล้วหัวเราะเฮฮากันอย่างเมามาย ในจังหวะที่เสียงโห่ร้องดังขึ้น นางก็ใช้ช่วงเวลานั้นลงไปขโมยน่องไก่จากจานของทหารนายหนึ่งไปอย่างรวดเร็ว
“อ้าวเฮ้ย! น่องไก่ข้าไปไหน?!”
“เจ้าแย่งไปใช่หรือไม่?! เจ้ามันมือไว!”
“ไร้สาระ! ข้าจะไปขโมยของเจ้าทำไม น่องไก่ข้าก็มี!”
ทหารสองนายเริ่มทะเลาะกันเพราะอาหารที่หายไป ขณะที่ตัวต้นเหตุอย่างหลิวฟางหลินนั่งเคี้ยวอย่างสบายใจ หัวเราะคิกคักกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
นางกระดกเหล้าเพิ่มอีกคำ ก่อนจะจ้องเหยื่อชิ้นใหม่ที่อยู่ไม่ไกล จังหวะที่ทุกคนกำลังตั้งวงเล่นพนันกัน นางก็ฉวยโอกาสเอื้อมไปฉกซี่โครงหมูไปอีกชิ้น ขบกัดอย่างสำราญ ทว่าครานี้นางคงเผลอหัวเราะออกมาดังไปหน่อย เพราะเหมือนว่านางจะถูกคนจับได้เสียแล้ว
“เฮ้… ใครอยู่ข้างบนนั่นน่ะ?”
ดวงตาของทหารนายหนึ่งที่เริ่มกรึ่มๆ ช้อนขึ้นมองหลังคา ใบหน้าของเขาตึงเครียดทันทีที่รู้สึกว่ามีเงาตะคุ่มวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิวฟางหลินกลั้นหายใจ ก่อนจะกระชับไหสุราในมือแน่น รีบขยับกายเปลี่ยนตำแหน่ง ทว่าพื้นหลังคาที่มีไอน้ำค้างกลับลื่นกว่าที่คิด นางพลาดไปก้าวหนึ่ง เท้าลื่นไถลออกจากขอบกระเบื้อง ก่อนที่ทั้งร่างจะร่วงลงไปด้านล่าง
นางหล่นลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว และสิ่งที่รองรับร่างของนางก็ไม่ใช่พื้นแข็งเย็นชืด แต่เป็นร่างของบุรุษผู้หนึ่ง!
ความหนักจากแรงกระแทกทำให้บุรุษที่ยืนอยู่ถอยกรูดไปหลายก้าวและล้มลง ทว่าความตกใจของหลิวฟางหลินกลับมิได้อยู่ที่การตกลงมาทับคนจนเขาล้มหงายหลังกับพื้น แต่มันอยู่ที่ตำแหน่งที่นาง ‘นั่งทับ’ มากกว่า
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง นางรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่แข็งและแน่นหนาอยู่ใต้ร่างของตนเอง เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้นอย่างเย็นชา
“อย่าขยับ… ถ้าเจ้ายังขยับ ข้าจะบีบคอเจ้าตายเดี๋ยวนี้”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความดุดันของเบาะรองนั่งมนุษย์ หลิวฟางหลินชะงักกึก หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่จะทำอันใดไม่มากกว่านี้ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากข้างหลังไกลๆ ที่ค่อยใกล้เข้ามา...
“ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่?!”
ร่างของนางแข็งทื่อทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ก่อนที่นางจะก้มลงมองใบหน้าของบุรุษที่ตนเองกำลังคล่อมทับอยู่ ความมืดนี้ทำให้นางไม่เห็นใบหน้าของเขาอย่างที่คิด
หัวใจของนางก็กระตุกวูบ
เบาะรองนั่งมนุษย์ที่นางทับอยู่หาใช่ใครอื่น แต่คือ ‘หลี่หยวน’ แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพปราบชนเผ่าขอบชายแดนที่ทำแม่ทัพแคว้นตายไปไม่รู้กี่คนหรือนี่ ไหนจะการที่เขายังเป็นสามีของนางอีกด้วย!
ดวงตาของนางเบิกกว้าง ตอนนี้สำคัญกว่าอื่นใดคือนางต้องรีบหนีไปให้พ้นก่อนจะถูกจับได้ ฟางหลินรีบยันกายลุกขึ้นหมายจะกระโดดหนี ทว่าเพื่อไม่ให้ถูกตามทัน นางตัดสินใจทำสิ่งที่แม้แต่นางเองยังตกใจ
ฝ่าเท้าเล็กถีบเข้าไปตรง ‘จุดสำคัญ’ ของบุรุษตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
เสียงร้องต่ำแหบทุ้มดังขึ้นพร้อมกับร่างของแม่ทัพหลี่ที่งอตัวอย่างเจ็บปวด ใบหน้าคมเข้มขึ้นสีแดงก่ำท่ามกลางความมืด นางไม่รอให้เขาตั้งตัว รีบพุ่งทะยานหนีหายเข้าไปในความมืดของเรือนด้านข้างทันใด
เสียงฝีเท้าของนายกองคนสนิทวิ่งเข้ามาใกล้ หยุดยืนตรงหน้าหลี่หยวนที่ยังคงทรุดอยู่กับพื้นอย่างเป็นกีงวล
“ท่านแม่ทัพ! เกิดอะไรขึ้น?! เหตุใดท่านถึงร้องเสียงหลงเช่นนั้น?!”
หลี่หยวนกัดฟันแน่น กล้ามเนื้อทั้งร่างบิดเกร็งด้วยความเจ็บปวดจนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ เขาเพียงแค่โบกมือไล่ลูกน้องออกไปอย่างไม่ต้องการให้ใครเข้ามาใกล้ในขณะนี้
ทว่าตอนนี้มีสิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าความเจ็บปวด!
… ความรู้สึกบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในร่างกายของเขาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้ร่างกายของเขา ‘ตอบสนอง’ อย่างที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน
เพราะความมืดบริเวณนี้ทำให้เขาไม่อาจเห็นใบหน้าของนางได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ติดตรึงตอนนี้มีเพียงกลิ่นหอมหวานของดอกเหมยจากร่างของสตรีปริศนาที่ยังค้างคาใจไม่เสื่อมคลาย...
